“จำนำข้าวไม่มีทางเจ๊ง” ดร.โอฬาร ไชยประวัติ การันตี
“โครงการรับจำนำข้าว” ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ทำเพื่อคนรากหญ้า กำลังประสบปัญหาอย่างวิกฤต ถูกเสียงสะท้อนต่อต้านถึงความล้มเหลวของโครงการ ทั้งเรื่องการขายขาดทุน พบทุจริตอย่างต่อเนื่อง ถึงขั้นที่นักวิชาการออกมาวิเคราะห์ว่า จะเป็นนโยบาย “ชี้ชะตา” รัฐบาล ว่าจะอยู่หรือไปช้า-เร็วแค่ไหน

“ดร.โอฬาร ไชยประวัติ” ประธานผู้แทนการค้าไทย หนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังคิดนโยบายรับจำนำข้าวให้กับรัฐบาล เปิดใจกับ ทีมข่าวอิศรา ยืนยันว่า “โครงการรับจำนำข้าวไม่มีเจ๊ง แถมยังจะต่อยอดปี 2 ด้วยชื่อโครงการรับจำนำข้าวพลัส”
.............................................
@ รัฐบาลทำอย่างไรเพื่อสร้างความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องโครงการรับจำนำข้าว
จากนี้ไปเรื่องที่เกี่ยวกับข้าว ท่านนายกรัฐมนตรีสั่งให้ตั้งคณะทำงาน ประมาณ 20 คน ที่มาจากทุกกระทรวง ทบวง กรม และนำโดยผมเป็นที่ปรึกษา และท่าน ดร.คณิต แสงสุพรรณ ผอ.สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้นำทีม จะคอยรวบรวมมูลความก้าวหน้าเกี่ยวกับเรื่องโครงการรับจำนำข้าวทุกประการตั้งแต่ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จนกระทั่งการระบายข้าวต่างๆ
นอกจากนี้ยังจะต้องติดตามประเด็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลทั้ง 16 นโยบายที่รัฐบาลได้ประกาศต่อรัฐสภาไว้ ซึ่งคณะทำงานชุดนี้จะนำเสนอข้อมูลที่นำมาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ฯลฯ โดยเราจะนำเสนอเป็นประจำทุกอาทิตย์ เพื่อให้ประชาชนรับทราบว่าความก้าวหน้าไปถึงไหนอย่างไร และเป็นการตอบคำถามเพื่อให้ประชาชนรับรู้มองเห็นมุมมองสองฝ่าย หลังจากที่มีฝ่ายต่อต้านนโยบายของรัฐบาล
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ยังได้มอบโจทย์ให้คณะทำงานคิดนโยบายปีที่ 2 และ 3 ด้วย ซึ่งนโยบายโครงการต่างๆ ตอนนี้ในความคิดของผมนั้นมีอยู่เยอะ โดยเฉพาะนโยบายรับจำนำข้าวที่จะต่อยอดเป็น “นโยบายรับจำนำข้าวพลัส”
@ แต่โครงการรับจำนำข้าวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำลายระบบเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อภาคเอกชน
การรับจำนำข้าวนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล โดยมี 2 หน่วยงานหลักที่เข้ามารับผิดชอบ คือ พณ.และ ธกส. และจะมีสถาบันการเงินของรัฐอื่นๆ เช่น ธนาคารออมสิน เข้ามาช่วยแบกรับสินเชื่อ ซึ่งเป็นการให้เครดิตกับพ่อค้าและโรงสี ที่จะไปรับจำนำข้าวของชาวนา ซึ่งเราส่งเสริมและไม่ได้ไปค้าขายแข่งกับใคร แต่กลับกลายเป็นรัฐบาลช่วยเหลือเอกชนในการค้าขายข้าวเสียมากกว่า
โดยเชื่อว่า ปีนี้ข้าวนาปีที่ออกมา % ในการซื้อของโรงสีจะมากกว่าปีที่แล้ว เพราะโครงการรับจำนำข้าวได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การซื้อราคาจำนำสามารถขายได้ตามปกติ และอาจจะขายได้กำไรดีกว่าด้วยซ้ำไป เพราะตอนนี้ข้าวในตลาดเมืองไทยเริ่มขาดแคลน เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้ซื้อไว้ก่อนใน 4 เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้โดยเฉพาะพ่อค้ารายเล็กต้องมาขอกระทรวงพาณิชย์ให้ระบายข้าวเพื่อขายในเมืองไทย และเรื่องราคาตอนนี้ไม่เกี่ยง เนื่องจากเกิดการขาดแคลน แต่ขณะเดียวกันเราก็จะดูแลให้เกิดความพอดี เมื่อชาวนาขายได้ในราคาที่ควรจะได้แล้ว ในส่วนของผู้บริโภคก็ต้องไม่ขาดแคลน สามารถซื้อได้ในราคาใกล้เคียงกับความเป็นจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาสารข้าวไม่ได้ขึ้น
@ การรับจำนำข้าวในราคาที่สูงทำให้การส่งออกข้าวไปต่างประเทศลดน้อยลง
ก่อนอื่นเราต้องรู้โครงสร้างข้าวก่อนซึ่งประเภทข้าว มีทั้งข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิเกรดเอ ซึ่งข้าวจำพวกเหล่านี้เป็นของดีมีคุณภาพ ราคาตลาดสามารถขายได้มีกำไรตามปกติ ชาวนามีรายได้ดี ซึ่งการขายข้าวคุณภาพดีที่ส่งออกคือกลุ่มพ่อค้าที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ เช่น ซีพี กลุ่มพ่อค้าโรงสีที่ปรับตัวตามตลาด กลุ่มคนเหล่านี้จะไม่ใช่คนที่ออกมาบ่น ไม่ต่อว่ารัฐบาล เพราะเป็นกลุ่มที่จะร่วมกันเดินทางไปยังต่างประเทศ เพื่อขายข้าวหอมมะลิคุณภาพดี และข้าวขาวคุณภาพดี 100% กับต่างชาติ ซึ่งข้าวคุณภาพดีจะไม่มีปัญหาในการขาย และขณะนี้เราได้ติดต่อการขายไปแล้วหลายสิบประเทศและขายมานานแล้วด้วยไม่ใช่ของใหม่
@ หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าในอนาคต หากรัฐบาลรับจำนำในจำนวนที่มากและระบายไม่ทัน ข้าวที่ถูกเก็บไว้ในโรงสีเป็นเวลานาน จะเสื่อมคุณภาพ และราคาตก การขายทอดตลาดก็จะขาดทุน
ก่อนอื่นเราจะต้องจำแนกการขายข้าวแต่ละประเภทให้ชัดเจน เริ่มจากข้าวเหนียวที่เรามีการผลิตในแต่ละปีได้ประมาณ 6.5 ล้านตัน และขายได้ดี โดยเฉพาะการขายในประเทศ จึงไม่ต้องกังวล ส่วนข้าวหอมมะลิที่ผลิตเป็นข้าวเปลือกในเมืองไทยในแต่ละปี ประมาณ 6.5 ล้านตัน อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ซึ่งจากข้าวเปลือกมาเป็นข้าวสารได้แค่ 4 ล้านตัน ดังนั้นความต้องการของคนไทยที่ต้องการบริโภคเกิน 2 ล้านตัน ที่เหลือส่งออกเกือบ 2 ล้านตัน คือต้องเจียด เท่ากับเราไม่ต้องเก็บอะไรเลย อีกทั้งข้าวหอมมะลิจะมีช่วงฤดูการเก็บก็จะแบ่งออกเป็นข้าวใหม่ กลางปี และข้าวหอมมะลิเก่า ซึ่งสามารถมีความต้องการของตลาดได้ทุกช่วงเวลา ดังนั้นข้าวหอมมะลิไม่วันที่จะขายไม่ได้ มีแต่ไม่พอ ข้าวหอมมะลิไม่เคยเก็บเกิน 1 ปี เพราะขายหมด หมดประเทศ
สำหรับข้าวเจ้านาปีที่ผลิตในภาคใต้และภาคกลาง เป็นข้าวที่แห้งมีคุณภาพ เช่น ข้าวเสาไห้ ซึ่งมีปริมาณข้าวอยู่ที่ 7 ล้านตันต่อปี ข้าวชนิดนี้สามารถส่งออกและขายในประเทศได้ตามจำนวนการผลิต ทั้งหมดนี้จึงเห็นได้ว่าไม่ว่าข้าวประเภทใดก็จะไม่มีปัญหา โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ เพราะสามารถขายได้ทั้งข้าวเก่าและข้าวใหม่ วันนี้จึงมีกลุ่มพ่อค้าต้องมาขอร้องให้ พณ.ระบายขายข้าวให้ ขณะเดียวกันปัจจุบันจำนวนข้าว 21 ล้านตันโดยประมาณคนไทยกินหมดไม่พอที่จะส่งออก แต่การทำข้าวเจ้าข้าวนาปรังครั้งที่ 2 ซึ่งทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 15 ล้านตัน สามารถส่งออกได้เช่นกันดังนั้นจึงไม่มีข้าวค้างสต็อกและขายขาดทุนแน่นอน
@ โครงการรับจำนำข้าวส่งผลให้ขายข้าวหอมมะลิขาดทุน
พ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่มีปัญหาและออกมาวิจารณ์เรื่องการรับจำนำข้าว คือกลุ่มพ่อค้าที่ไม่ได้ขายข้าวในกลุ่มข้าวหอมมะลิ ทั้งในประเทศและส่งออก และไม่ใช่พ่อค้าที่ค้าข้าวเหนียวเพราะไม่เคยส่งออกเลย ซึ่งก็จะเหลือพ่อค้ากลุ่มหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญในการขายข้าวคุณภาพที่ไม่สูงนักให้กับประเทศที่มีจำนวนประชากรมาก และค่อนข้างยากจน ซึ่งไม่สามารถนำเงินมาซื้อข้าวคุณภาพดีในประเทศไทยได้ และประเทศเหล่านี้คือประเทศที่มีหน่วยงานผู้ซื้อข้าวเข้าประเทศเป็นหน่วยงานของรัฐทั้งหมด เป็นจีทูจีทั้งหมด เป็นรัฐบาลทั้งหมด
เมื่อผู้ขายฝั่งไทยเป็นแบบนโยบายรัฐบาลไทย คือผู้ขายข้าวคุณภาพต่ำเหล่านี้ขายให้กับเพื่อนบ้านเราซึ่งมีประชากรเยอะแต่ยากจน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ จะขายด้วยพ่อค้าเอกชนและไปติดต่อกับผู้ซื้อซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ พณ.หรือรัฐวิสาหกิจทั้งหมด หรือจะขายด้วยองค์กรของรัฐ เช่น พณ.ของไทย และองค์กรคลังสินค้า บางช่วงรัฐบาลก็ตัดสินใจว่าให้ พ่อค้าเอกชนไทยเป็นผู้ขาย รัฐบาลต่างประเทศเป็นผู้ซื้อ ถ้าเปรียบก็เหมือนกับพ่อค้าเอกชนไปเป็น "เอเย่นต์" ของไทย และเอเย่นต์ของผู้ซื้อคือรัฐบาล และถ้าเป็นคุณ คุณจะรักษาผลประโยชน์ของใครในการที่เป็นคุณเอเย่นต์ให้โปรโมชั่นคุณในการขาย เมื่อต้องการข้าวจำนวนมากแต่ราคาต้องถูก นั่นคือพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เมื่อตัวแทนผู้ขายสินค้าคุณภาพด้อยเหล่านี้ขายให้กับผู้ที่เป็นตัวแทนองค์กรของรัฐเป็นผู้ซื้อ เมื่อเกิดขึ้นมานานจนกระทั่งพ่อค้าเอกชนกลุ่มนี้ที่ทำธุรกิจมาไม่ใช่แค่ 1 หรือ 2 หรือ 3 ชั่วอายุคน ก็จึงติดนิสัยที่ต้องหาข้าวราคาถูกที่สุดของประเทศไทย
@ คิดอย่างไรหลังจากที่นโยบายโครงการรับจำนำข้าวเดินหน้าได้ถึงจุดหนึ่ง ประเทศไทยเสียแชมป์ในการส่งออกข้าว
แม้ขณะนี้เพื่อนบ้านสามารถผลิตข้าวเองได้ เราก็มีความยินดีที่เขาจะมีโอกาสผลิตข้าวขายออกบ้าง แต่เราถือว่าประเทศเวียดนามไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นผู้ที่ผลิตข้าวบางประเภทที่ออกขายให้อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ซึ่งก็ยากจน และเป็นเพื่อนเราเช่นเดียวกัน เราก็ดีใจ เราไม่ได้อิจฉาริษยา ไม่ได้ต้องการเป็นแชมเปี้ยน หรือเน้นปริมาณ แต่เราเน้นคุณภาพและมูลค่าเป็นหลัก นั่นคือที่มาของการที่รัฐบาลหนึ่งในอดีตคือรัฐบาลพรรคไทยรักไทย
และเมื่อพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกมาเราก็นำเอานโยบายที่เคยทำได้ผลมาแล้ว แต่ในระหว่างทางนั้นรัฐบาลก่อนหน้านี้ใช้ระบบอื่นอย่างไรผมคงไม่ต้องพูดถึง เพราะมีนักวิชาการอิสระหลายคนได้วิเคราะห์ วิจัยระบบรับประกันรายได้ของรัฐบาลที่ผ่านมา ว่าชาวนาเป็นอยู่อย่างไรมีความสุขหรือไม่ และระบบรับจำนำข้าว ต่างกันอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่ผมไม่ต้องไปอธิบายอะไรทั้งสิ้น
แต่ขออธิบายข้าวที่อาจจะมีปัญหาคือข้าวนาปรัง กรณีนี้เนื่องจากภาคเอกชนและโรงสีไม่เข้าไปซื้อข้าวนาปรังจาก จ.ภาคกลาง โดยตรงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น รัฐบาลจึงถูกบังคับด้วยสถานการณ์ให้เข้าไปรับจำนำเข้าไว้ค่อนข้างสูงประมาณ 90% ของ 15 ล้านตัน ซึ่งรัฐบาลรู้ดีว่าเอกชนบางรายอาจจะมีความคิดว่านโยบายนี้อาจจะมีการยุติ จึงหวังว่าจะรอดักซื้อในราคาที่ถูก หลังจากจบฤดูกาลรับจำนำ ซึ่งท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ และทุกคน รวมทั้งผมบอกได้เลยว่านโยบายนี้ไม่มีวันเปลี่ยน ยังไงก็ไม่เลิกจะจำนำราคานี้ต่อไป พอถึงตอนนี้เมื่อทุกอย่างชัดเจนแล้ว ผมได้รับการร้องขอจากพ่อค้าเอกชนรายเล็กที่ขายในประเทศ ว่าตอนนี้ทุกส่วนเข้าใจกันหมดแล้ว ว่าเราต้องมาทำงานร่วมกัน เขาอาจจะพูดขอโทษด้วยว่า ที่ผ่านมาไม่เชื่อน้ำยาว่ารัฐบาลนี้ทำสำเร็จ เพราะมีคนอยากจะให้โครงการนี้มันล้ม เลยไมได้ซื้อไว้ในราคาข้าวเปลือก 15,000 บาท ลดหลั่นตามความชื้น
@ ขณะนี้รัฐบาลถูกโจมตีจากทุกด้าน และรัฐบาลก็ยังยืนยันที่จะทำต่อ ได้เตรียมทางออกไว้หรือยังเพื่อให้เกิดความชัดเจน
เราจะต้องทำต่อแน่นอน และสิ่งที่เราได้ดำเนินการไปแล้วขณะนี้ คือผู้ส่งออกข้าวที่มีคุณภาพดี มีโอกาสที่จะตกลงร่วมมือกับ รมว.กระทรวงพาณิชย์ จะร่วมกันขายข้าวคุณภาพดีส่งออกไปยังตลาดทุกตลาด ทั้งกลุ่มอิรัก ไนจีเรีย ฮ่องกงและจีน โดยท่านนายกฯได้ประกาศแต่งตั้งให้ผมช่วยเรื่องการขายข้าว ในฐานะผู้แทนการค้าไทย ซึ่งเราก็ต้องช่วยพ่อค้าส่งออกข้าวไทยที่มีคุณภาพไปขายยุโรปและจีน ในเดือน พ.ย.นี้
สำหรับกลุ่มพ่อค้าที่มีปัญหาจะมีสักกี่ % ในพ่อค้าส่งออกรายใหญ่ของไทย ผมถือว่าเป็นกลุ่มเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มรุ่นคุณพ่อ รุ่นเก่า ที่คุ้นเคยการส่งออกข้าวที่คุณภาพไม่สูงนักไปยังประเทศที่ยากจน และพ่อค้าเหล่านี้ก็จะไปซื้อจากเวียดนามและประเทศอื่นๆ ที่มีข้าวราคาถูก โดยพ่อค้าเหล่านี้เรียกว่าเสียงดังที่สุด นอกจากพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ว่ายังไงเขาต้องด่าเราทุกอย่าง ซึ่งคนเหล่านี้คือกลุ่มคนที่ต้องบอกว่า อย่าคิดว่าสิ่งที่ท่านกำลังพยายามทำอยู่ขณะนี้ว่าจะสำเร็จ มาร่วมมือกันเถอะ
ถ้าท่านอยากจะขายกับประเทศที่เป็นลูกค้าที่ท่านเคยให้บริการในฐานะที่เขาว่าจ้างท่านเป็นเอเย่นต์ วันนี้รัฐบาลได้เปลี่ยนนโยบายแล้วว่า ตัวแทนผู้ขายข้าวฝ่ายไทยคือ พณ. เมื่อเปลี่ยนนโยบายแล้วต้องไปเจรจาขายข้าวจีทูจี ซึ่งกลุ่มผู้ซื้อคือหน่วยงานราชการและรัฐบาลเช่นเดียวกัน และเป็นพันธมิตรกันด้วยไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ ก็เป็นพันธมิตรกับประเทศไทย เราเป็นพันธมิตรกับทุกประเทศ ในเอเชีย สามารถตกลงกันได้ในเงื่อนไขที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เราต้องเห็นว่าเขาเงินน้อยคนเยอะ แต่เราก็ขายให้เขา แต่เมื่อได้สัญญาจีทูจีมาแล้ว การที่จะแพ็คข้าวเรามาร่วมกัน เราต้องมาช่วยงานกันในวันนี้แน่นอนรายได้ท่านอาจไม่เหมือนเดิม แต่อย่างน้อยก็เป็นผลตอบแทนตามผลงานที่ได้ ขอเชิญท่านมาทำงานไปด้วยกัน
@ ทีดีอาร์ไอบอกโครงการรับจำนำข้าว จะขาดทุนกว่าแสนล้านบาท จะชี้แจงอย่างไร
คิดดูเอาเองว่า เมื่อข้าวสารในประเทศตอนนี้ไม่มี ทำให้พ่อค้าเอกชนต้องมาขอซื้อราคาตามตลาด เพราะเป็นราคาที่พ่อค้าเอกชนซื้อขายกัน แล้วจะขาดทุนที่ไหน คำว่า "เจ๊ง" ไม่มีแน่นอนและข้าวหอมมะลิทุกวันนี้ราคาก็ขึ้นมาโดยตลอด รับรองว่าไม่ขาดทุนแน่นอน แต่ยอมรับว่าค่าใช้จ่ายมี เพราะต้องเก็บข้าวแล้วเกิดการเสื่อมสลายไปตามอายุของมัน 1-2% ต้องมี อีกทั้งดอกเบี้ยก็ต้องมี เพราะฉะนั้นคงมีในส่วนต่างระหว่างสินเชื่อที่ปล่อยกับเงินส่วนที่ได้รับ แต่เรียนแล้วว่าจะยังไงก็ตามไม่มีการขาดทุนถึงปีละ 7-8 หมื่นล้านบาทอย่างที่รัฐบาลก่อนทำ โดยที่ไม่มีข้าวติดยุ้งฉาง ที่สำคัญสุดเมื่อบวกกับค่าชดเชยกับที่รัฐบาลก่อนให้ไปแล้ว ราคาข้าวขาวภาคกลาง ไม่เกิน 10,000 บาท และถ้าปีนี้นำมาจำนำกับรัฐบาลได้ 15,000 บาท เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราปีนี้จะต้องบอกคนที่เกี่ยวข้องรวมทั้งโรงสี
ปีนี้โรงสีจะต้องซื้อข้าวจากชาวนาในราคา 15,000 บาท เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะไม่ขาดทุนต้องได้กำไรตามปกติ เพราะรัฐบาลต้องไม่ให้ผู้ประกอบการเอกชนขาดทุนแน่นอน การรับจำนำข้าวของรัฐบาลในปีนี้จะลดน้อยลง ตอนนี้ความต้องการข้าวไทยสูง ส่วนจีทูจีนั้นรัฐบาลไทยก็ไปพูดกับรัฐบาลพันธมิตรที่เขาอาจจะไม่ค่อยมี และเราก็อาจจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อนบ้านแต่ทำโดยรัฐบาลไทย ไม่ใช่ขายข้าวคนไทยราคาแพงแล้วไปช่วยประเทศเหล่านั้นให้ได้เราคาข้าวเปลือกถูกมันจะผิดธรรมชาติ
@ ทำไมรัฐบาลจึงไม่เปิดเผยขั้นตอนการรับจำนำข้าว การระบายข้าว โดยเฉพาะเรื่องจีทูจี
ระบบจีทูจี จริงๆ ไม่มีปัญหาอะไร เป็นแค่ระบบที่ซื้อขายกับประเทศเพื่อนบ้าน และตอนนี้ก็มีการทำสัญญาซื้อขายไป แล้วอย่างที่ รมว.กระทรวงพาณิชย์ประกาศไป แต่ว่าการที่ฝ่ายต้านนำออกมาโจมตี จะด้วยเหตุผลอะไรคงทราบกันดีอยู่แล้ว แต่ว่าบางครั้งประเทศผู้ร่ำรวยในเอเชียก็ซื้อข้าวคุณภาพกลางๆ หรือคุณภาพด้อยลงมาหน่อยไปบริจาคให้ประเทศที่ยากจน ทั้ง 2 ประเทศคือประเทศผู้ซื้อแจกและประเทศผู้รับแจก เขาจะอยากให้คุณเปิดเผยชื่อไปบอกหรือว่าใครซื้อไปบริจาคให้ใคร
แต่ถ้าพ่อค้าจะบอกจริงอีก 5-6 เดือนมาเปิดดู ก็รู้อยู่แล้ว่าใครซื้อและไปไหน แต่จะให้รัฐบาลไทยที่ไปเจรจากับเขาแล้วมาประกาศ มันทำไม่ได้ และเท่าที่ผมพูดไปคนในโลกนี้ที่พอเข้าใจเรื่องตลาดข้าวนิดหน่อยก็รู้แล้วว่า หมายถึงประเทศอะไร คงไม่ต้องไปเอ่ยชื่อ และการที่ประเทศที่มีฐานะและมีเงินใน เอเชีย ซื้อข้าวไทยไปบริจาคใหม่ใช่จะเพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ แต่เกิดขึ้นมานานแล้วและที่ติดหนี้ก็ยังเหลืออยู่ด้วย จริงๆเรื่องนี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วแต่ถ้าอยากให้รัฐมนตรีประกาศผมก็ประกาศแทนไปแล้วนี่ไง ถ้าพูดขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกว่าตรงไหนก็ไม่รู้ว่าจะไปตีความยังไงแล้ว
@ นโยบายนี้นายกฯพูดเสมอว่าเป็นนโยบายที่ดี แต่มียังมีปัญหาการทุจิต จะทำอย่างไร
เรื่องนี้เราต้องแก้เป็นจุดๆ ตั้งแต่ที่โรงสี ใครที่มีเบาะแสต้องรีบแจ้งทันทีอย่าปล่อยไว้ เราจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐและตำรวจไปเฝ้าติดตามอยู่ ปีแรกคนไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะเอาจริงก็เห็นใจ แต่ปีที่2เราต้องแก้ไขปิดช่องโหว่ทั้งหมด เพราะเป็นนโยบายเพื่อประชาชนชาวนา
@ จำนำข้าวไม่ทั่วถึง เข้าถึงแต่ชาวนาที่มีฐานะ
ต้องถามก่อนว่าชาวนาที่ร่ำรวยคือชาวนาที่มีกี่ไร่ บางสถาบันบอกว่าชาวนา 1 ครอบครัวที่มีที่นา 20 ไร่ถือว่าเป็นชาวนาที่ร่ำรวย แต่ตามข้อเท็จจริงแล้ว ในประเทศไทยมีครอบครัวชาวนาทั้งหมด 3.7 ล้านครอบครัว ซึ่งชาวนาที่มีที่ดินมากกว่า 60 ไร่ถือว่ารวย แต่ถ้าน้อยกว่า 60 ไร่จะถือว่าจนลดหลั่นกันไป ขณะนี้มีอยู่ 3.58 ล้านครอบครัว ที่มีการครอบครองที่ดินทำนาน้อยกว่า 60 ไร่ ซึ่งถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ ผมเป็นนักวิชาการที่เป็นปัจจุบัน การลงไปสัมผัสกับทุกระดับประทับใจตั้งแต่เจ้าสัวส่งออกข้าวจนถึงชาวนาเชื่อเถอะว่าส่วนใหญ่ทั่วถึง
@ นโยบายนี้ทำได้แต่ไม่ยั่งยืน เพราะจะเพิ่มหนี้ให้กับสาธารณะ
จะเพิ่มหนี้สาธารณได้ยังไง เพราะขายแล้วไม่ขาดทุนจะมีหนี้สาธารณะได้ไง ก็เหมือนกับโรงสีถ้ามีการซื้อมาขายไปแล้วไม่ขาดทุน จะเพิ่มหนี้สาธารณะได้อย่างไรหนี้ต้องลดลง
@ หลายคนพูดว่า จำนำข้าวจะพารัฐบาล “พัง”
ผมประกาศไปแล้วว่า ไม่พัง 100% ผมฟันธงไปแล้ว อีกทั้งในปีที่ 2 ยังจะมีนโยบายจำนำข้าวพลัส ด้วยเพื่อความต่อเนื่อง และต่อยอดโครงการ
@ ทางทีดีอาร์ไอให้คำนิยามกับโครงการนี้ว่า “อาชญากรรมไร้เจ้าทุกข์” รู้สึกอย่างไร
ผมไม่รู้สึกอะไรกับคำคำนี้ คนที่มีความรู้ไม่เป็นปัจจุบันและติดยึดอยู่ในอคติ เนื่องจากเกิดความชอบหรือไม่ชอบย่อมแสดงออกมาตามนั้น ผมมีโอกาสธรรมมะจาก พระอาจารย์ ชยสาโร เป็นชาวอังกฤษ ท่านบอกว่าคนเราที่เรียกว่ามีโมฆะจริต คือกิเลสมันติดยึด ทำให้การดูโลกเราฝ้าฟาง เพราะฉะนั้นให้นั่งตรวจดูสภาพความเป็นจริงและธรรมชาติว่าอะไรเกิดขึ้น อะไรไม่เกิดขึ้นและจงวินิจฉัย
@ คิดว่าเสียงสะท้อนปัญหาที่ดังกังวานของโครงการรับจำนำข้าว มาจากกลุ่มใดบ้าง
1.กลุ่มพ่อค้าส่งออกที่คุ้นเคยกับการทำหน้าที่เป็นเอเย่นต์กับผู้ที่ซื้อข้าวคุณภาพต่ำในบางแห่ง ซึ่งทำมาก่อนที่จะมีข้าวหอมมะลิ แต่เมื่อมีข้าวหอมมะลิเกิดขึ้นมาโครงสร้างการค้าข้าวของไทยก็เปลี่ยนไป และท่านไม่ได้ปรับเข้าสูตลาดใหม่ แต่ก็ยังมีบางท่านที่กลุ่มพ่อค้ารุ่นลูกหรือรุ่นใหม่ หันมาปรับการค้าแบบใหม่ขายข้าวมีคุณภาพ เช่น ท่านธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งท่านเพิ่งจะหันมาค้าข้าวได้ไม่นานมานี้ จะเห็นว่า โรงสี เทคโนโลยี การค้าข้าวทั้งในประเทศและนอกประเทศเขาเน้นคุณภาพและทำให้ได้ข้าวราคาดีมาก นี่คือผลของการปรับตัวให้เป็นปัจจุบัน เพราะฉะนั้นกลุ่มพ่อค้ากลุ่มเก่าจะต้องหันไปดูคนข้างๆที่เขาปรับตัวและไปสู่ความเจริญก้าวหน้า
2.กลุ่มทางการเมือง ซึ่งรู้กันอยู่แล้วว่าการที่เขาออกมาต่อต้านเพื่ออะไร เพราะการดำเนินนโยบายเราทำกันคนละแบบ ตรงกันข้ามกับที่เขาเคยทำเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งข้อมูลยิ่งชัดขึ้นทุกวันว่าชาวนาชอบอะไรมากขึ้น ท่านก็จะต้องทำให้ดูแย่แน่นอน นี่คือเหตุผลทางการเมือง
และ 3.กลุ่มนักวิชาการที่ไม่ดูข้อมูล หลายท่านบอกว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ แต่กลับไม่เห็นประเด็นเหล่านี้ ซึ่งแย่กว่านักรัฐศาสตร์ นักกฎหมายหลายท่านที่ไม่มีความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ ที่ออกมาบอกว่า นักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้นำเอาเรื่องนโยบายจำนำข้าว ไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ซึ่งตามหลักที่ถูกต้องเราต้องนำเอาความเป็นจริงมาพูดกัน บางครั้งวิชาการกับความเป็นจริงก็ต่างกัน เราต้องมาวิเคราะห์ในเชิงความจริง นักวิชาการหลายคนที่ออกมาพูดเรื่องโครงการรับจำนำข้าง บางคนไม่ได้ศึกษาเรื่องข้าวมาด้วยซ้ำ
@ รู้สึกอย่างไรที่มีกลุ่มคัดค้านเรื่องโครงการรับจำนำข้าวออกมารายวัน
ไม่เป็นไรเรื่องแบบนี้สามารถหักล้างได้ และอยู่ที่ผลของมัน และ รมว.กระทรวงพาณิชย์เองก็ยืนยันแล้วว่าโครงการนี้จะใช้จ่ายน้อยกว่ารัฐบาลที่แล้วใช้แน่นอน และรู้อยู่แล้วว่า ทางทีดีอาร์ไอเป็นผู้ที่ช่วยรัฐบาลที่แล้วคิดเรื่องนโยบายรับประกันราคาข้าว การที่ออกมาคัดค้านจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
.............................................
