“ไม่ว่า ปธน.เป็นใคร สหรัฐฯก็ไม่มีทางเปลี่ยน นบ.ต่อโลกอาหรับ” จรัญ มะลูลีม
EXCLUSIVE! "อ.จรัญ มะลูลีม" ฟันธง ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พ.ย.นี้ จะไม่ทำให้นโยบายต่อโลกอาหรับของสหรัฐฯ เปลี่ยนแปลง

ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 45 จะเป็นใคร ระหว่าง “บารัก โอบามา-มิตต์ รอมนีย์” ชาวอเมริกันจะให้ “คำตอบ” ในการหย่อนบัตรเลือกตั้ง วันที่ 6 พ.ย.นี้
ขณะที่ชาวโลกจับตาการเลือกตั้งดังกล่าว เพราะเชื่อว่า “หน้าตา” ของผู้นำแดนอินทรี ไม่ว่าเก่าหรือใหม่ จะสะท้อนนโยบายต่อประเทศในภูมิภาคต่างๆ
1 ในนั้นรวมถึงกลุ่มประเทศอาหรับ
อย่างไรก็ตาม “จรัล มะลูลีม” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันออกกลางศึกษา กลับเชื่อไปอีกทาง โดยกล่าวกับ "สำนักข่าวอิศรา" ว่า ไม่ว่าผลการเลือกตั้งวันอังคารนี้ สหรัฐฯจะได้ผู้นำจากพรรคที่มีสัญลักษณ์เป็น “ช้าง” (รีพับลิกัน) หรือ “ลา” (เดโมแครต) นโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ต่อประเทศในคาบสมุทรอาหรับ ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง
“นโยบายของสหรัฐฯจะวางอยู่บนพื้นฐานไม่กี่อย่าง เวลาสอนนักศึกษาผมก็จะบอกไว้เช่นนี้ คือ 1.รักษาอิสราเอลไว้ 2.ปกป้องผลประโยชน์ด้านน้ำมัน และ 3.ปกป้องอิทธิพลในภูมิภาค”
อ.จรัญ อธิบายว่า เหตุที่การ “รักษาอิสราเอล” เป็นนโยบายอันดับต้นๆ ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ เพราะคนยิวถือเป็นผู้มีอิทธิพลในสังคมอเมริกัน โดยสมาชิกรัฐสภากว่า 30% มีเชื้อสายยิว ขณะที่ผู้มีชื่อเสียงในวงการต่างๆ ทั้งอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มาลิรีน มอนโร เอลวีส เพรสลีย์ สตีเว่น สปีลเบิร์ก ฯลฯ ต่างก็เป็น “คนยิว”
นักวิชาการมุสลิมรายนี้ ยังตัวอย่างจากงานเขียนหลายชิ้นของชาวตะวันตกว่า “ผมไม่ได้พูดเองนะ แต่หลายๆ คนเขียนไว้ว่า สหรัฐฯกับอิสราเอล เปรียบเหมือนสุนัข แต่เป็นสุนัขที่แปลก ที่ตามปกติต้องหัวส่ายก่อนหางถึงกระดิก แต่นี่หางกระดิกก่อนหัวถึงจะส่าย แสดงให้เห็นว่าอิสราเอลมีความสำคัญต่อสหรัฐฯมาก เพราะเป็นประเทศของคนยิว”
“ดูง่ายๆ ว่า ไม่มีผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนไหนเลย ที่ไม่พูดถึงคนยิวในช่วงของการหาเสียง” อ.จรัญ กล่าว
อีกเหตุผลที่เขาฟันธงว่า อย่างไรเสีย สหรัฐฯก็ไม่มืทาง “ปล่อยมือ” จากภูมิภาคนี้แน่ เพราะมีผลประโยชน์มหาศาลให้ตักตวง นั่นคือ “น้ำมัน”
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์อาหรับสปริงที่ทำให้รัฐบาลของ “อียิปต์” ของนายฮอสนี มูบารัค ที่ทำตัวเป็น “โบรกเกอร์” คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้กับสหรัฐฯ มาหลายสิบปี ต้องพ้นจากอำนาจ
ทำให้สหรัฐฯต้องมองหา “โบรกเกอร์” รายใหม่ ซึ่ง อ.จรัญกล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ประเทศนั้นจะเป็น “ตุรกี” เพราะมีความเป็น “รัฐฆราวาส” (Secular State) มากกว่า “รัฐศาสนา” (State Religion) เช่นประเทศมุสลิมอื่นๆ
“คือประเทศในภูมิภาคนี้ ที่ปกครองด้วยระบบกษัตริย์ ทั้งซาอุดีอาระเบีย โอมาน กาตาร์ จอร์แดน บาห์เรน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผู้ปกครองจะค่อนข้างชื่นชมสหรัฐฯ เพราะต้องใช้อำนาจของสหรัฐฯ ในการรักษาความมั่นคง เนื่องจากหลายๆ ประเทศในภูมิภาคนี้ ก็มีการโค่นล้มระบบกษัตริย์ไปหมดแล้ว ทั้งอียิปต์ ซูดาน อิรัก และอิหร่าน
“ในขณะที่ประชาชนระดับล่างส่วนใหญ่จะไม่เอาด้วย เพราะเห็นสหรัฐฯ ว่าเป็นผู้ที่มาตักตวงผลประโยชน์ และร่วมมือกับชนชั้นนำกดขี่พวกเขา” อ.จรัญให้ภาพทัศนคติที่แตกต่างกัน ระหว่างชนชั้น “อำมาตย์-ไพร่” ในสังคมอาหรับ ต่อมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการรวมตัวกันประท้วงภาพยนตร์หมิ่นศาสดามุฮัมหมัด เรื่อง Innocence of Muslims หน้าสถานทูตสหรัฐฯ กว่า 20 ประเทศทั่วโลก เพราะเชื่อว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
เราถามว่า การที่ “บารัก โอบามา” คนผิวสี ลูกครึ่งเคนย่า-สหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 44 ได้ แล้วมีโอกาสหรือไม่ที่คนมุสลิมจะมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในอนาคต
ผู้เชี่ยวชาญอิสลามศึกษาตอบว่า “จริงๆ แล้ว คนอเมริกันกว่า 30% ก็คิดว่าโอบามาเป็นมุสลิมนะ เพราะมีพ่อเป็นชาวเคนย่า จนเจ้าตัวต้องรีบประกาศว่าเป็นคริสเตียนแน่นอน เพราะฐานเสียงในการเลือกตั้ง คนมุสลิมเป็นเพียงคนกลุ่มน้อย ต่างกับคนยิว”
แต่ถึง "เหตุการณ์สมมุติ" ดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต อ.จรัลก็ไม่เชื่อว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ของนโยบายสหรัฐฯ ต่อโลกอาหรับ
“ไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำสหรัฐฯ ก็ต้องทำตามแนวทางที่วางไว้เดิม คือครองความเป็นเจ้าต่อไป และต้องขยายอิทธิพล โดยจะต้องปกป้องอิสราเอลในทุกๆ กรณี เพราะทั้ง 2 ประเทศเป็นคู่แฝดกัน เห็นได้จากเมื่อมีประเด็นของอิสราเอลเข้าในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติทีไร ตัวแทนสหรัฐฯก็จะใช้สิทธิวีโต้ไม่ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในทุกครั้ง”
หลังจากไล่เรียงเหตุผลมาพอให้เห็นภาพ อ.จรัลจึงฟันธงว่า ไม่ว่า “ตัวผู้นำ” ของชาวอเมริกันหลังวันที่ 6 พ.ย.นี้ จะเป็นใคร หน้าใหม่หรือหน้าเก่า นโยบายต่อโลกอาหรับของ “ประเทศ” สหรัฐฯ ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง !!!
