เอเชียผงาดเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ จีนยังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
วิกฤติศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเปรียบเหมือนคนเป็นไข้หวัดที่เวลาจามแต่ละทีก็กระทบไปทั่วทั้งในยุโรปและเอเชีย ส่วนยุโรปก็เกิดวิกฤติหนักแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นมะเร็ง มีเพียงบางประเทศเท่านั้นที่มีปัญหาหนัก เช่น กรีซ ซึ่งก็มีสัดส่วนในเศรษฐกิจยุโรปเพียงแค่ 2% ในขณะที่เยอรมันซึ่งอยู่ในยุโรปเหมือนกันกลับไม่เป็นหวัดเลยและดูมีแนวโน้มการเติบโตดียิ่งขึ้นไปเสียอีก

สำหรับ เอเชียนั้น ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในซีกโลกตะวันตกมากน้อยแตกต่าง กันไป ซึ่งบางประเทศก็ได้รับผลกระทบมาก บางประเทศได้รับผลกระทบน้อย และบางประเทศก็ไม่ได้รับผลกระทบเลยและในขณะที่สหรัฐฯและยุโรปซึ่งมีประชากรรวมกันเพียง 1,000 กว่าล้านคนกำลังเผชิญวิกฤติอยู่นี้ เอเชียซึ่งมีประชากรกว่า 3,000 ล้านคนก็ได้ผงาดขึ้นมา และดูมีโอกาสดียิ่งกว่าสหรัฐฯและยุโรป ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแม้ในวิกฤติจึงยังมีโอกาส นักธุรกิจต้องมองวิกฤติให้เป็นโอกาส
จีนมีเกษตรกรจำนวน 700 ล้านคนซึ่งกำลังจะร่ำรวยขึ้น รัฐบาลจีนตระหนักดีถึงศักยภาพที่โดดเด่นของตนเองในการเป็นประเทศที่มี ประชากรมากกว่า 1,300 ล้านคนซึ่งเป็นที่สนใจของทั่วโลก แต่ปรากฏว่ารัฐบาลจีนกลับไม่ให้ความสำคัญกับตลาดภายในประเทศมีขนาดใหญ่เช่น นี้เท่าที่ควร กลับไปเน้นเรื่องการส่งออก ซึ่งแนวทางนี้ถูกต้องในอดีตที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันจีนมีเงินทุนสะสมมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก และยังมีความพร้อมกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชียหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ท่าเรือ ทางด่วน สนามบิน รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ด้วยเหตุนี้จีนควรมีนโยบายมุ่งเน้นและกระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศ ด้วยการยกระดับราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้น และในขณะเดียวกันต้องรักษาสมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ ควรสนับสนุนและส่งเสริมธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่เป็นของภาคเอกชน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจจีนในอนาคตเติบโตอย่างมั่นคง
เมื่อ 33 ปีก่อนที่เข้ามาลงทุนในจีน จีนไม่มีเงินตราต่างประเทศ ถ้าเปรียบเป็นเด็ก วันนี้จีนก็เติบโตมีอายุกว่า 30 ปีแล้ว หรือถ้าตอนนั้นเป็นเด็กอายุ 7 ขวบเริ่มเรียนชั้นประถม ตอนนี้ก็เป็นผู้ใหญ่อายุ 40 ปีแล้ว ดังนั้นในด้านความรู้ ในด้านบุคลากร ก็ถือได้ว่ามีความพร้อม จึงเป็นโอกาสและช่วงเวลาสำคัญที่จีนจะได้ทะยานขึ้นบินแล้ว
นอกจากนี้ผู้นำรุ่นใหม่ในจีนที่กำลังจะก้าวขึ้นมาบริหารประเทศล้วน มีความสามารถเพราะเป็นผู้ที่ทำงานไต่เต้าตั้งแต่ระดับต้น ๆ จนเติบโตเป็นผู้นำ ด้วยเหตุนี้จึงมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าในอีก 10 ปีข้างหน้าจีนจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าเดิมเป็นหลายเท่าตัว
เครือเจริญโภคภัณฑ์มีประสบการณ์ทำธุรกิจในจีนร่วม 30 ปีมีขึ้น มีลง จึงเข้าใจภาคชนบทเป็นอย่างดีว่าเกษตรกรมีความขยันอดทน แต่ภาครัฐกดราคาสินค้าเกษตร เพื่อช่วยเหลือคนจนในเมืองให้ได้ซื้อสินค้าราคาถูกโดยการใช้เงินมหาศาลมาอุด หนุน ซึ่งควรจะนำเงินดังกล่าวมาชดเชยให้คนจนในเมืองดีกว่าใช้วิธีช่วยเหลือด้วย การไปอุดหนุนเกษตรกร ควรเพิ่มรายได้ให้คนในเมือง และต้องขึ้นราคาสินค้าเกษตร ทั้งนี้เพื่อให้เกษตรกรและคนจนในเมืองมีกำลังซื้อ เท่ากับเพิ่มกำลังซื้อในประเทศ
ทั้งนี้เพราะสินค้าเกษตรเป็นน้ำมันบนดิน ที่สำคัญกว่าน้ำมันใต้ดิน จึงต้องเพิ่มราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นอย่างเหมาะสมสอดคล้องราคาน้ำมันที่ เพิ่มสูงขึ้น จะให้สินค้าเกษตรมีราคาต่ำกว่าน้ำมันได้อย่างไร ซึ่งรัฐบาลในประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่มักมีนโยบายให้เกษตรกรไปอุดหนุนคน จนในเมือง ประเทศจึงมีฐานะยากจน ดังนั้นการที่สหรัฐอเมริกากดดันจีนอยู่ในขณะนี้ จึงทำให้จีนก็มีทางออกเดียวคือ เพิ่มกำลังซื้อในประเทศ ซึ่งหากดำเนินตามวิธีก็จะเกิดเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโลกด้วย
นอกจากนี้ต่อไปต้องพัฒนาการค้าโลกให้เป็นการค้าสองทาง ไม่ใช่แค่ผลิตสินค้าส่งไปขายสหรัฐอเมริกาและยุโรปเพียงอย่างเดียว จะต้องผลิตสินค้าจากสหรัฐอเมริกาและยุโรปกลับมาขายที่เอเชียให้ได้ ซึ่งวิธีนี้จะเป็นแนวทางใหม่ของเครือเจริญโภคภัณฑ์
ปัจจุบันมองเห็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะผลิตสินค้าในอเมริกา และยุโรป เครือเจริญโภคภัณฑ์ลงทุนในเอเชียตะวันออกซึ่งมีประชากรกว่า 3,000 ล้านคน ปัจจุบันกำลังวางแผนผลิตอาหารในสหรัฐอเมริกาและยุโรปส่งกลับมาขายในเอเชีย โดยผ่านเครือข่ายการขายที่มีอยู่ และในเวลาเดียวกันก็นำสินค้าที่ผลิตสินค้าในเขตประชากร 3,000 ล้านคนไปขายที่สหรัฐอเมริกาและยุโรป
อย่างเช่นประเทศไทยส่งกุ้งไปขายที่สหรัฐอเมริกามากเป็นอันดับหนึ่ง แต่ปรากฏว่าหลังจากส่งกุ้งเรียบร้อยต้องนำคอนเทนเนอร์ที่ว่างเปล่ากลับมา เอเชีย ขณะนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์กำลังเจรจากับสหรัฐอเมริกาเพื่อผลิตสินค้าอาหารที่ มีความต้องการในกลุ่มประเทศเอเชียแต่คนอเมริกันไม่รับประทานส่งกลับมาขายใน เอเชีย
เอเชียเต็มไปด้วยโอกาส ประเทศไทยก็ยังเต็มไปด้วยโอกาส ประเทศไทยมีสินค้าเกษตรที่ส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก ได้แก่ ยางพารา กุ้ง ข้าว และมีมันสำปะหลัง น้ำตาล เป็นอันดับสอง นอกจากนี้ไทยยังผลิตยานยนต์เป็นอันดับสองในเอเชียอาคเนย์ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีมากเป็นอันดับที่ 13 ของโลก ในขณะที่ฮ่องกงมีทุนสำรองมากเป็นอันดับที่ 10 สิงคโปร์อันดับที่ 11 เยอรมันอันดับที่ 12 ฝรั่งเศสอันดับที่ 14 ถ้ารัฐบาลไทยรู้จักนำเงินทุนสะสมมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยการนำเข้าเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน ก็จะทำให้ธุรกิจยานยนต์แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ขึ้น บริษัทรถยนต์ชั้นนำล้วนแต่ต้องการที่จะมาเปิดโรงงานในไทย เพราะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน รัฐบาลก็มีความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ เชื่อมั่นว่ายังมีโอกาสอีกมากในประเทศไทย หวังว่าทุกคนจะมาลงทุนในประเทศไทย
อินโดนีเซียก็เป็นอีกประเทศหนึ่งในเอเชียที่น่าสนใจที่จะไปลงทุน ซึ่งเครือเจริญโภคภัณฑ์ก็มีการลงทุนทั้งที่อินโดนีเซียและฟิลิบปินส์ ทั้ง2ประเทศมีประชากรกว่า 90 ล้านคน นอกจากนี้เวียดนาม 90 ล้านคน ยังมีพม่าซึ่งเพิ่งเปิดประเทศ มีประชากร 60 ล้านคน มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยโอกาส
ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อมั่นว่าเอเชียเต็มไปด้วยโอกาส และมีความพร้อมที่จะเติบโตเป็นศูนย์กลางทางการค้าของโลกได้ในที่สุด
เรียบเรียงจาก : การประชุม Forbes Global CEO Conference 2012 ณ โรงแรม มาดิแนท จูไมรา (Madinat Jumeirah) เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งนายธนินท์ เจียรวนนท์ ได้แสดงวิสัยทัศน์ภายใต้หัวข้อ Enlarging the Winners Circle
