เจาะมหากาพย์อภิมหาโปรเจ็กท์“น้ำ”โคราช3 พันล. แร้งรุม- นักการเมืองขายฝัน?
"... โครงการระบบประปาใหม่ จะ ต้องสูบน้ำจากเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี มาให้คนในตัวเมืองนคร ราชสีมาใช้ในปริมาณ 30 ล้าน บ.ม.ต่อปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในพื้นที่ อ.ครบุรี และ อ.โชคชัย ซึ่งใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมมากกว่า 40,000 ไร่ เขตชลประทานของเขื่อนลำแชะ และทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของคนในพื้นที่...."

เป็นมหากาพย์อีกเรื่องหนึ่ง สำหรับ โครงการระบบประปาขนาดใหญ่ขึ้นในทศบาลนครนครราชสีมา มูลค่าก่อสร้าง 3,154 ล้านบาท
สืบเนื่องจาก รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ( ปี 2548) ได้อนุมัติก่อสร้างโครงการนี้
แต่ปรากฏว่า โครงการฯ เดินหน้าได้เฉพาะโครงการสาขาย่อยเท่านั้น
ในส่วนโครงการหลัก ซึ่งเทศบาลฯ ที่มี รศ.เชิดชัย โชครัตนชัย เป็นนายกเทศมนตรี ได้ทำสัญญาจ้างเลขที่ 3/2550 ว่าจ้างกิจการร่วมค้าเอสเอ (บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท อาควาไทย จำกัด) เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2550 โดยวิธีการวางท่อสูบน้ำจากเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา มาใช้ในการผลิตน้ำประปา โดยได้รับอนุญาตจากกรมชลประทาน ตามหนังสือที่ กษ 0310/5203 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2538 เพื่อให้ใช้น้ำได้ปีละประมาณ 30-48 ล้าน ลบ.ม.
ยังมีปัญหาเกิดการฟ้องร้องระหว่างกลุ่มคนรักษ์ลำแซะและเทศบาลเมืองนครราชสีมา
ล่าสุด ศาลปกครอง ได้มีคำสั่งให้ระงับการดำเนินการตามโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของเทศบาลนครนครราชสีมาเฉพาะส่วนของการดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำดิบอ่างเก็บน้ำลำแชะ และการวางท่อน้ำดิบที่ต่อจากสถานีสูบน้ำดิบอ่างเก็บน้ำลำแชะไว้เป็นการชั่วคราว ส่วนการดำเนินการก่อสร้าง ในส่วนอื่นๆ ตามโครงการที่พิพาทให้ดำเนินการก่อสร้างได้ต่อไป
@@ สัญญาโครงการฯส่อขัดรธน.-ปมศาลสั่งระงับโครงการ
นายธีรพล รัตนประยูร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.วงษ์ชวลิตกุล จ.นครราชสีมา ในฐานะประธานกลุ่มคนรักษ์ลำเซะพร้อมชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ต้องออกมาคัดค้านเมื่อเห็นสัญญาดังกล่าว
โดยให้เหตุผลว่า โครงการระบบประปาใหม่ จะ ต้องสูบน้ำจากเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี มาให้คนในตัวเมืองนคร ราชสีมาใช้ในปริมาณ 30 ล้าน บ.ม.ต่อปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรในพื้นที่ อ.ครบุรี และ อ.โชคชัย ซึ่งใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรมมากกว่า 40,000 ไร่ เขตชลประทานของเขื่อนลำแชะ และทำให้ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคของคนในพื้นที่
รวมทั้งอาจจะมีผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ในลำน้ำแชะและลำน้ำมูล เพราะที่ผ่านมาเขื่อนลำแชะจะต้องปล่อยน้ำลงสู่แม่น้ำปีละประมาณ 30-60 ล้าน ลบ.ม. เพื่อรักษาสภาพของลำน้ำและรักษาสิ่งมีชีวิตในลำน้ำ

ที่สำคัญการดำเนินโครงการดังกล่าว เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 46 มาตรา 56และมาตรา 59 และขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 57 มาตรา 58 และมาตรา 67 ที่ไม่ได้จัดให้มีกระบวนการประชาพิจารณาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากคนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และไม่ศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ให้องค์กรอิสระให้ความเห็นประกอบก่อนดำเนินโครงการ นอกจากนี้ยังขัดต่อระเบียบอีกหลายข้อของทางราชการส่วนท้องถิ่น
ต่อมานายธีรพลและชาวบ้านจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองนครราชสีมา เพื่อให้ยกเลิกโครงการ โดยฟ้องเทศบาลนครนครราชสีมา เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 และฟ้องกรมชลประทานเป็นผู้ถูกฟ้องที่ 2 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2551
อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ศาลได้มีคำสั่งรับเรื่องในคดีหมายเลขดำที่ 174/2552 คดีหมายเลขแดงที่ 287/2552 เรื่องคดีพิพาทเกี่ยวกับหน่วยงานทางปกครองกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง กรณีการคัดค้านโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค -บริโภค เทศบาลนคร นครราชสีมา ให้ระงับการก่อสร้างระบบประปาตามโครงการแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภค ฯ ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
โดยยกเหตุผลว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (กรมชลประทาน) ให้ถ้อยคำต่อศาลว่า การใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำลำแชะเพื่อการผลิตน้ำประปาตามที่แสดงความประสงค์ขอใช้น้ำจากกรมชลประทานปีละ 30 ล้าน ลบ.ม. จะมีผลให้ไม่อาจปล่อยน้ำเพื่อเกษตรกรทำเกษตรกรรมในฤดูแล้งได้ ประกอบกับปรากฏข้อเท็จจริงจากคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ว่าการสร้างเขื่อนลำแชะและอ่างเก็บน้ำลำแชะ เป็นโครงการเก็บกักน้ำเพื่อการชลประทาน มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งน้ำช่วยเหลือพื้นที่เกษตรกรรมในเขต อ.ครบุรี อ.โชคชัย และ อ.ปักธงชัย นครราชสีมา
ดังนั้นกรณีนี้จึงมีเหตุเพียงพอที่ศาลจะมีคำสั่งกำหนดมาตรการหรือบรรเทาทุกข์ ชั่วคราวก่อนการพิพากษาได้ และคำสั่งกำหนดมาตรการเพื่อบรรเทาทุกข์ชั่วคราวก่อนการพิพากษา ยังไม่มีผลต่อความรับผิดชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการจัดทำบริการสาธารณะ เพราะการจัดทำโครงการเป็นการนำน้ำจากอ่างเก็บน้ำลำแชะมาผลิตน้ำประปาเป็นการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของประชาชนในเขตเทศบาลนครนครราชสีมาในอนาคต โดยในขณะที่มีการดำเนินการตามโครงการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (เทศบาลนครนครราชสีมา) ตามข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าได้มีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด
ประกอบกับข้อเท็จจริงรับฟังได้จากคำคัดค้านของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่คัดค้านคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ว่าในปีใดหากมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำลำแชะเหลือน้อยมีปริมาณไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ในการผลิตน้ำประปาได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ก็จะไม่ใช้น้ำในอ่างเก็บน้ำลำแชะ ด้วยเหตุผลดังที่ได้วินิจฉัยมาจึงมีคำสั่งให้ระงับโครงการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้ศาลมีคำสั่งระงับโครงการภายใน 30 วัน แต่เทศบาลนครนครราชสีมา ในยุคที่นายสุรวุฒิ เชิดชัย นั่งแท่นเป็นนายกเทศมนตรี และคณะผู้บริหาร ได้ออกตอบโต้กลุ่มของนายธีรพล โดยใช้สิทธิยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองชั้นต้นไปยังศาลปกครองสูงสุด โดยอ้างเหตุผลว่า มีความจำเป็นต้องเดินหน้าโครงการต่อ เนื่องจากได้ดำเนินการก่อสร้างโครงการไปแล้วกว่า 70% ใช้งบประมาณในการก่อสร้างไปแล้วร่วม 2,600 ล้านบาท หากโครงการยุติลงกลางคัน จะสร้างความเสียหายกระทบต่อการบริหารราชการ
ต่อมาศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งที่ 74/2553 ตามคำร้องที่ 678/2552 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2553 มีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (เทศบาลนครนครราชสีมา) ระงับการดำเนินการตามโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของเทศบาลนครนครราชสีมาเฉพาะส่วนของการดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบน้ำดิบอ่างเก็บน้ำลำแชะ และการวางท่อน้ำดิบที่ต่อจากสถานีสูบน้ำดิบอ่างเก็บน้ำลำแชะไว้เป็นการชั่วคราว จน กว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ส่วนการดำเนินการก่อสร้าง ในส่วนอื่นๆ ตามโครงการที่พิพาทให้ดำเนินการก่อสร้างได้ต่อไป
ทันตแพทย์ศุภผล เอี่ยมเมธาวี นักเคลื่อนไหวทางสังคมแกนนำสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด และแกนนำกลุ่มภาคีมวลชนคนโคราช เปิดเผยว่า ประชาชนในเขต อ.ครบุรี ได้คัดค้านมาตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุผลว่าน้ำในเขื่อนลำแชะนั้นมีปริมาณไม่มากพอที่เทศบาลนครนครราชสีมา นำน้ำมาหล่อเลี้ยงคนเมืองได้ ซ้ำยังถูกประกาศเป็นพื้นที่เขตภัยพิบัติในฤดูแล้งทุกปี ทางกรมชลประทานก็ทราบปัญหาดังกล่าวดี
“เราในฐานะฝ่ายผู้คัดค้านได้เสนอทางออก โดยขอให้ก่อสร้างโครงการแก้มลิงที่ ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย ซึ่งราคาการก่อสร้างจะถูกกว่าโครงการระบบประปาถึง 3 เท่า แต่ฝ่ายบริหารเทศบาลโคราชยังดันทุรังทำกันเรื่อยมา ดังนั้น เทศบาลนครนครราชสีมา รวมถึงรัฐบาลต้องร่วมกันรับผิดชอบความเสียหายในทาง และกรณีถือเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับให้กนักการเมืองรุ่นนี้หรือรุ่นต่อไป หากจะดำเนินการทำโครงการใหญ่ อย่านำพฤติกรรมแบบมักง่าย เข้ามาใช้ในการบริหาร งาน ต้องสอบถามประชาชนเสียก่อน”แกนนำสมัชชาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัดกล่าว
@@ แกะรอยระบบประปาใหม่ 3 พันล้านใครได้ประโยชน์
หากพลิกสัญญาและรายละเอียดของโครงการขนาดใหญ่ของเทศบาลนครนครราชสีมา มูลค่าก่อสร้าง 3,154 ล้านบาท ในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้าง นายสายัน นุพันธ์ ผู้รับจ้าง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หัวหน้าและผู้จัดการโครงการก่อสร้างระบบประปาแห่งใหม่ เปิดเยว่า โครงการนี้เป็นสัญญาจ้างเลขที่ 3/2550 ลงวันที่ 13 สิงหาคม 2550 เริ่มสัญญาวันที่ 18 กันยายน 2550 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 1 พฤศจิกายน2553 รวมระยะเวลาดำเนินการ 1,140 วัน โดยเป็นการดำเนินการโดย กิจการร่วมค้า เอสเอ ( บริษัท ซิโน-ไทย และ บริษัท อาคาวาไทย จำกัด ) ที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง โดย บริษัท ไทยเอ็มเอ็ม จำกัด งบประมาณก่อสร้างรวม 3,154 ล้านบาท ดำเนินการก่อสร้างสถานีสูบจ่ายน้ำที่เขื่อนลำแชะ ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา สถานีสูบจ่ายน้ำอ่างหนองบอน ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย จ.นครราชสีมา และโรงกรองน้ำอัษฎางค์ ในเขตเทศบาลนครราชสีมา โดยก่อสร้างระบบท่อส่งน้ำจากเขื่อนต่อกันเป็นทอดยาว ตั้งแต่สถานีลำแชะเชื่อมมายังสถานีหนองบอนและโรงกรองน้ำอัษฎางค์ รวมระยะทางยาว 67 กิโลเมตร
“โครงการนี้ เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2537 กรมโยธาธิการ (ในขณะนั้น) จ้างบริษัทที่ปรึกษา (บริษัท พอล คอนซัลแตนท์ จำกัด ร่วมกับบริษัท ครีเอทีฟ เทคโนโลยี จำกัด) วางแผนหลักและศึกษาความเหมาะสมเพื่อการปรับปรุงขยายกำลังผลิตการประปาเทศบาลนครเพื่อหาแหล่งน้ำดิบใหม่ในปีเดียวกัน เพื่อรองรับการแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในอนาคต เนื่องจากตัวเมืองนครราชสีมา มีการขยายตัวด้านเศรษฐกิจการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และในปี พ.ศ. 2539 ว่าจ้างบริษัท โปรเกรส เทคโนโลยี คอลซัลแตนส์ กับบริษัท Metcalf & Eddy International Inc. ทำการสำรวจออกแบบรายละเอียดปรับปรุงระบบประปาเทศบาลนครนครราชสีมา จ.นครราชสีมา โดยวางแผนใช้น้ำดิบจากเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี มาผลิตน้ำประปาใช้ในเขตตัวเมืองนครราชสีมา แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการก่อสร้างใด ๆ เนื่องจากติดขัดด้านงบประมาณ”นายสายัน ให้ข้อมูล
นายสายัน กล่าวว่า ในปี พ.ศ.2548 จ.นครราชสีมา เกิดสถานการณ์วิกฤติภัยแล้งคุกคาม ปริมาณน้ำในเขื่อนลำตะคองเหลือน้อยมาก มีน้ำดิบที่สามารถนำมาใช้ผลิตน้ำประปาไม่ถึง 20 ล้าน ลบ.ม. จากความจุเขื่อน 310 ล้าน ลบ.ม.เมตร เกิดภาวะขาดแคลนน้ำ ที่ส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำดิบมาผลิตประปาที่ปกติมีกำลังผลิตประปา 100,000 ลบ.ม.ต่อวัน ทำให้เหลือระยะ เวลาที่จะใช้น้ำได้เพียงแค่ 20 วันเท่านั้น
ทั้งนี้ มีข้อมูลระบุว่า ในห้วงเวลาดังกล่าว นายพงศ์โพยม วาศภูติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา (ขณะนั้น) ได้ทำหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ มท 0834.2/9719 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2548 ขอรับเงินอุดหนุนเพื่อดำเนินการก่อสร้างตามโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเมืองนครราชสีมา และคณะรัฐมนตรีอนุมัติเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการก่อสร้าง ตามโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคในเมืองนครราชสีมา ซึ่งต่อมาก็ได้รับอนุมัติเงินงบประมาณเพื่อดำเนินการก่อสร้าง โดยขอผ่านคณะกรรมกระจายอำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2,600 ล้านบาท และเทศบาลนครนครราชสีมาช่วยออกสมทบอีก 30% คือ 1,200 ล้านบาท สรุปงบประมาณ 3,800 ล้านบาท ก่อนเปิดประมูลโครงการและสรุปงบก่อสร้างสุทธิ 3,154 ล้านบาทในที่สุด
@@ นักการเมืองขายฝันชาวบ้าน”อ้างโครงการสำเร็จ-จ่ายน้ำแล้ว

เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2555 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ผลักดันโครงการได้เดินทางไปเป็นประธานเปิดสถานีจ่ายน้ำประปาอัษฎางค์ใหม่ ตามโครงการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภคในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา บอกว่า แม้ในอดีตเมืองโคราชจะมีโรงกรองน้ำประปาอัษฎางค์เป็นแห่งแรกที่สามารถแจกจ่ายน้ำให้ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมา และต่อมาได้มีการขยายโครงการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในยุคพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่วได้สนับสนุนงบประมาณจำนวน 600 ล้านบาท ให้สร้างโรงกรองน้ำประปาแห่งใหม่ที่บ้านมะขามเฒ่า อ.เมือง โดยเดินท่อสูบน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้วฯ ระยะทาง 60 กม. ซึ่งโครงการนี้ทำให้ จ.นครราชสีมา มีโรงกรองน้ำ 2 แห่ง คือ โรงกรองน้ำอัษฎางค์ 2477 และโรงกรองน้ำมะขามเฒ่า ต.บ้านใหม่
“จากเดิมที่โรงกรองน้ำผลิตน้ำได้วันละ 600 คิว และเพิ่มเป็น 50,000 คิว และปรับปรุงระบบการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ตามลำดับ ถ้าไม่มีโรงผลิตแห่งใหม่น้ำก็คงไม่พอ เพราะโคราชขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีทั้งนิคมอุตสาหกรรม ศูนย์การค้า มีกิจการต่างๆ ถ้าไม่ทำโครงการใหม่ฯประปาก็จะไม่พอใช้ บางปีต้องใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำลำตะคอง ซึ่งจุได้ 300 ล้านคิว ตะกอนอย่างเดียวเข้าไป 30 ล้านแล้ว ต่ำกว่า 30 ล้านก็คือสูบได้แต่โคลน บางปีระดับน้ำเหลือเพียง 40 ล้านเหลือผลิตน้ำประปา 10 ล้านคิวเท่านั้น ซึ่งไม่พอ”นายสุวัจน์ กล่าว
ดังนั้นอ่างเก็บน้ำลำแชะ อ.ครบุรีจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะมีการก่อสร้างเพิ่มเติม เนื่องจากของเดิมมีความจุ 300 ล้านคิว และดึงน้ำมาใช้ในตัวเมืองได้ประมาณ 30 ล้านคิวต่อปี ต่อมาจึงมีการเสนอคณะรัฐมนตรีผ่านกระทรวงมหาดไทยของเงิน 3,800 ล้านบาทเพื่อสร้างโรงผลิตน้ำประปาแห่งใหม่เกิดขึ้น โดยงบประมาณจำนวนนี้ขอผ่านคณะกรรมกระจายอำนาจมาจำนวน 2,600 ล้าน และอีก 1,200 ล้านบาทจากเทศบาลนครฯ จากนั้นจึงเปิดประมูลการก่อสร้างในงบ 3,800 ล้านประมูลแล้วเหลือประมาณ 3,200 ล้านบาท ประหยัดเงินให้คนโคราชไปได้ 600 ล้านบาท ใช้ระยะเวลาประมาณ 5 ปีในการก่อสร้าง
โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการขนาดใหญ่ แยกเป็นส่วนขยายหลายแห่ง โครงการ 3,800 ล้าน เริ่มต้นจากการนำน้ำที่อ่างเก็บน้ำลำแชะ แล้วจึงก่อสร้างอาคารสูบน้ำดิบ และทำการสูบน้ำจากที่เก็บน้ำเหนือเขื่อนแล้วเข้าอาคารสูบน้ำดิบ จากนั้นจะปล่อยน้ำดิบที่สูบเข้ามามาตามท่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 เมตร 20 ซม.ระยะทางยาวมาที่ อ.โชคชัย 33 กิโลเมตร และเดินท่อต่อมายังพื้นที่บ้านใหม่ หนองบอนระยะทาง 28 กิโลเมตร รวมระยะเส้นทางน้ำดิบ 61 กิโลเมตร โดยสูบน้ำชั่วโมงละ 5,000 คิว หรือวันละ 120,000 คิว นำมาผลิตเป็นน้ำประปาที่โรงกรองน้ำประปาบ้านใหม่หนองบอน จากนั้นเดินท่อมาอีกช่วงมายังโรงกรองน้ำอัษฎางค์
“โรงกรองน้ำบ้านใหม่ รวมทั้ง 2 แห่งนี้ด้วยท่อประปาขนาด 90 ซม.ระยะทาง 13 กม. นี่คือภารกิจที่เป็นเรื่องที่ยาก แต่เราสามารถผลักดันโครงการให้เกิดขึ้นได้ และตั้งแต่นี้ไปน้ำจะอยู่ไปอีก 20-30 ปี ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะขาดแคลนอีกต่อไป" นายสุวัจน์ ระบุ
อย่างไรก็ตาม แม้นายสุวัจน์ และนายสุรวุฒิ จะยืนยันผลสำเร็จของโครงการระบบประปาใหม่ของเทศบาลนครนครราชสีมา แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงการเท่านั้น ซึ่งสถานีจ่ายน้ำอัษฎางค์แห่งใหม่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองนครราชสีมา มีความสำคัญเป็นสถานีจ่ายน้ำที่ถูกส่งตรงมาจากสถานีสูบจ่ายน้ำอ่างหนองบอน ต.ด่านเกวียน อ.โชคชัย ซึ่งเป็นสถานีจ่ายน้ำอีกแห่งที่เชื่อมกลางระหว่างสถานีอัษฎางค์ในตัวเมือง และสถานีเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี โดยน้ำประปาที่ผลิตขึ้นที่สถานีอัษฎางค์ เป็นน้ำประปาสูบส่งตรงมาจากโรงกรองน้ำสถานีอ่างหนองบอน
แต่จากการ ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า สถานีสูบน้ำอ่างหนองบอนใช้น้ำจากลำน้ำมูล แหล่งน้ำธรรมชาติในพื้นที่ อ.โชคชัย เป็นน้ำดิบมาผลิตน้ำประปา ไม่ได้ใช้น้ำจากสถานีสูบน้ำเขื่อนลำแชะที่ถูกศาลสั่งระงับก่อสร้างแต่อย่างใด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งศาลออกมาเป็นอย่างอื่น
อย่างไรก็ตาม แม้ นายอารมณ์ ทางตะคุ ปลัดเทศบาลนครนครราชสีมา พยายามไขข้อข้อกังขาของโครงการระบบประปาแห่งใหม่ของเทศบาลนครนครราชสีมาว่า ระบบน้ำประปาที่ใช้ในตัวเมืองโคราช จะใช้แหล่งน้ำดิบจากเขื่อนลำตะคอง อ.สีคิ้ว เพียงด้านเดียว แต่เมื่อมีโครงการระบบประปาแห่งใหม่ ซึ่งสามารถดึงน้ำออกมาจากเขื่อนลำแชะ อ.ครบุรี ก็จะสามารถใช้น้ำดิบจากเขื่อนได้ทั้ง 2 ทาง ชาว อ.ครบุรี ที่อยู่ตามแนวเขื่อนลำแชะ ที่พอจะแบ่งปันน้ำมาให้ชาวเมืองได้ใช้ ก็สามารถแบ่งได้ ทำให้น้ำต้นทุนที่ถูกแบ่งมาให้ชาวเมืองจากทั้งเขื่อนลำตะคองและเขื่อนลำแชะ ก็จะเหลือน้ำให้ประชาชนที่อาศัยตามแนวทั้ง 2 เขื่อนได้ถือเป็นการแบ่งปันกันใช้น้ำ
“ที่ผ่านมา เทศบาลนครนครราชสีมา มีการใช้น้ำประปาเฉลี่ยปีละ 36 ล้าน ลบ.ม.หรือวันละ 100,000 ลบ.ม. ซึ่งเดิมทีเป็นน้ำจากเขื่อนลำตะคอง สูบเข้ามายังโรงกรองน้ำมะขามเฒ่า ต.บ้านใหม่ อ.เมือง ก่อนส่งมายังสถานีจ่ายน้ำอัษฎางค์ ถ้ามีการแบ่งน้ำจากเขื่อนลำแชะมาผลิตประปาก็น่าจะใช้ไม่เกินปีละ 18 ล้าน ลบ.ม. หรือครึ่งต่อครึ่ง หากสูบน้ำจากลำมูลที่สถานีอ่างหนองบอนติดต่อกันหลายเดือน ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระการใช้น้ำจากเขื่อนลำแชะได้มาก ทำให้อาจจะใช้น้ำจากลำแชะปีละไม่ถึง 10 ล้านลูกบาศก์เมตร”ปลัดเทศบาลเมืองนครราชสีมาอธิบายประโยชน์ที่จะได้รับ
“แม้ขณะนี้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งระงับการก่อสร้างโครงการที่เขื่อนลำแชะแล้ว แต่โครงการทั้งหมดก็จะต้องเดินหน้าต่อไป ดังนั้นระหว่างนี้จึงยังอยู่ระหว่างรอคำสั่งศาลว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ดังนั้นทางออกของปัญหาจึงถือเป็นเรื่องอนาคตที่พวกเราทุกคนยังรอคำตอบอยู่”ปลัดเทศบาลนครนครราชสีมา ระบุ
ทั้งหมด นี้ คือ ปมปัญหาของโครงการระดับเมกกะโปรเจ็กท์ในระดับภูมิภาค ที่ใช้เงินลงทุนมหาศาลมากกว่า 3 พันล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของการดำเนินโครงการ และไม่ว่าบทสรุปท้ายที่สุดนั้น จะเป็นไปตามเป้าประสงค์ของฝ่ายการเมืองหรือไม่นั้น ยังคงต้องรอลุ้นคำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่จะชี้ชะตาความสำเร็จของโครงการหรือจะปล่อยโครงการให้แขวนอยู่บนเส้นด้ายต่อไป
-------------------
หมายเหตุ : ข่าวชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพให้แก่บุคคลากรวิชาชีพสื่อมวลชน ของสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
