เจาะขบวนการ“ปั้น”สถานการณ์ภัยพิบัติ-งาบงบจัดซื้อยาฆ่าแมลง 48 ล้าน ?
“.....จากการสอบถ้อยคำผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่างให้ถ้อยคำว่าโรคที่เกิดขึ้นมีเพียงจำนวนน้อย เกิดขึ้นทุกปี สามารถกำจัดเองหรือเมื่อพ้นฤดูกาลจะหายไปเอง และในปี 2544 ก็ไม่ได้เกิดโรคร้ายแรงกว่าปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด สอดคล้องกับเกษตรกรผู้รับสารเคมีจำนวน 17 ราย พบว่า 13 ราย ต่างให้ถ้อยคำว่าจนปัจจุบันยังไม่ได้ใช้สารเคมีแต่อย่างใด...”

@@ ประกาศภัยพิบัติ โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
ขั้นตอนการประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ในวันที่ 30 กันยายน 2554 จ.บึงกาฬ เกิดจากขึ้นจากบิ๊กข้าราชการ ตัวย่อ ส. ได้แจ้งในที่ประชุมนายอำเภอว่าให้แต่ละอำเภอสำรวจว่าได้เกิดโรคระบาดยางพาราในพื้นที่หรือไม่ หากเกิดให้สำรวจและรายงานความเสียหาย
นายอำเภอแต่ละอำเภอทั้ง 8 อำเภอของจังหวัดบึงกาฬ ได้แก่ อำเภอศรีวิไล อำเภอพรเจริญ อำเภอบึงโขงหลง อำเภอบุ่งคล้า อำเภอโซ่พิสัย อำเภอเมืองบึงกาฬ อำเภอปากคาด และ อำเภอเซกา จึงสั่งการให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือสำนักงานเกษตรอำเภอ สำรวจข้อมูลพื้นที่การเกิดโรคระบาด
ต่อมาจึงได้มีการรวบรวมรายชื่อผู้ปลูกยางพารา โดยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จะประกาศทางหอกระจายข่าวให้ผู้ปลูกยางพาราที่เกิดโรค มาลงชื่อเพื่อรับแจกสารเคมี ดังนั้นเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราจึงมาลงชื่อที่บ้านกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือที่สำนักงานเกษตรอำเภอ และแจ้งพื้นที่ปลูกยางพาราของตนทั้งหมดโดยเข้าใจว่าเพื่อรับแจกสารเคมี
หลังจากนั้นผู้ได้รับแจ้งได้รวบรวมรายชื่อและรวบรวมพื้นที่ความเสียหายเบื้องต้นเป็นจำนวนไร่ทั้งหมดที่มีการแจ้ง มอบให้นายอำเภอเพื่อรายงานเหตุด่วนสาธารณภัย โดยแต่ละอำเภอส่งรายงานเหตุด่วนสาธารณภัยในระยะเวลาเดียวกันคือระหว่าง วันที่ 21 กันยายน ถึงวันที่ 3 ตุลาคม 2554
ต่อมาสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดบึงกาฬได้จัดทำประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแยกเป็นแต่ละอำเภอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดบึงกาฬประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน ลงวันที่ 30 กันยายน 2554 ทั้ง 8 อำเภอ (อำเภอเซกา ประกาศฯวันที่ 7 ตุลาคม 2554 เพิ่มเติมด้วย)
โดยมิได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อวินิจฉัยโรคว่าเป็นโรคใดและถึงขนาดต้องประกาศภัยพิบัติฉุกเฉินหรือไม่ เช่น ศูนย์วิจัยยางหนองคาย(ตั้งอยู่ที่อำเภอรัตนวาปีรอยต่อจังหวัดบึงกาฬ) ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่การปลูกยางพาราจังหวัดบึงกาฬด้วย และมีหน้าที่ในการค้นคว้า วิจัย และตรวจสอบแปลงที่เกิดโรคในยางพาราโดยตรง
หลังจากนั้นมีการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ(ก.ช.ภ.อ)แต่ละอำเภอได้จัดทำรายงานการประชุม ทั้งที่ข้อเท็จจริงบางอำเภอมิได้มีการประชุมจริง และมีการนำพื้นที่ความเสียหายมาคำนวณเป็นปริมาณการใช้สารเคมีโดยระบุซื่อสารเคมีเบโนมิล 50 % WP 1 ไร่/250 ซีซี/960 บาท) นอกจากนั้นผู้เกี่ยวข้องต่างให้ถ้อยคำว่าโรคที่เกิดขึ้นมีเพียงจำนวนน้อย เกิดขึ้นทุกปี และสามารถกำจัด หรือเมื่อพ้นฤดูกาลจะหายไปเอง
จากข้อมูลดังกล่าวน่าเชื่อว่าการที่นายอำเภอแต่ละอำเภอทั้ง 8 อำเภอของจังหวัดบึงกาฬ ได้รายงานเหตุด่วนสาธารณภัยโรคระบาดยางพารา ในระหว่างวันที่ 21-30 กันยายน 2554 โดยน่าเชื่อว่าเกิดจากนโยบายของจังหวัดบึงกาฬในการสั่งการให้แต่ละอำเภอแจ้งภัยพิบัติโรคยางพารา ซึ่งต่อมาจังหวัดบึงกาฬ ได้ประกาศภัยพิบัติฉุกเฉินในวันที่ 30 กันยายน 2554 หรือกรณีอำเภอเซกา รายงานเหตุด่วนสาธารณภัยครั้งที่ 2 วันที่ 3 ตุลาคม 2554 มีการประกาศภัยพิบัติฉุกเฉินในวันที่ 7 ตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นการประกาศฯ ในห้วงเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่มีการตรวจสอบพื้นที่
ต่อมามีรายงานการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ(ก.ช.ภ.อ) ในห้วงวันที่ 4-7 ตุลาคม 2554 รวมรวมข้อมูลผู้ปลูกยางพาราด้วยเวลาอันรวดเร็ว พื้นที่ความเสียหายทุกตำบลอำเภอละ 3,505-15,000 ไร่ ย่อมไม่อาจสำรวจพื้นที่ความเสียหายได้ทัน
@@ ให้ข้อมูลโดยไม่มีการสำรวจ -รวบรัด
แต่ข้อมูลดังกล่าวเกิดจากการรวบรวมของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ตามที่อำเภอสั่งการ ไม่มีหลักฐานใดว่ามีการสำรวจความเสียหายว่าเกิดขึ้นจริงหรือไม่แต่อย่างใด เช่น กรณีอำเภอเซกา สำนักงานเกษตรอำเภอเซกามิได้สำรวจความเสียหายเนื่องจากการจัดซื้อสารเคมีโรคข้าวที่ผ่านมา ราคาสูงเกินจริง
เมื่อสอบยันกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน และเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอ ต่างยืนยันว่ารวมรวมรายชื่อผู้ปลูกยางพาราโดยไม่ได้สำรวจความเสียหายแต่อย่างใด เช่นอำเภอเมืองบึงกาฬ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ตำบลนาสวรรค์ ให้ถ้อยคำว่ารวบรวมรายชื่อโดยมิได้สำรวจความเสียหาย อีกทั้ง ในวันรับสารเคมีตนได้ถัวเฉลี่ยสารเคมีให้ผู้ไม่ได้ลงชื่อรับแจกด้วย หรืออำเภอศรีวิไล ผู้ใหญ่บ้าน ให้ถ้อยคำว่าตนมิได้แจ้งเรื่องโรคยางพารา
แต่ปลัดอำเภอศรีวิไลโทรศัพท์ให้ตนส่งข้อมูล และอำเภอ บุ่งคล้า ผู้ใหญ่บ้าน ให้ถ้อยคำว่าอำเภอสั่งให้ตนหาพื้นที่การเกิดโรคยางพาราให้มากที่สุดตนจึงเสนอพื้นที่การปลูกยางพาราทั้งหมดในหมู่ที่ 5 หรือในรายของผู้ใหญ่บ้าน อำเภอปากคาด ไม่มีสวนยางพารา แต่ได้รับแจกสารเคมี 3 กล่อง เป็นต้น
จากการสอบถ้อยคำผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ต่างให้ถ้อยคำว่าโรคที่เกิดขึ้นมีเพียงจำนวนน้อย เกิดขึ้นทุกปี สามารถกำจัดเองหรือเมื่อพ้นฤดูกาลจะหายไปเอง และในปี 2544 ก็ไม่ได้เกิดโรคร้ายแรงกว่าปีที่ผ่านมาแต่อย่างใด สอดคล้องกับเกษตรกรผู้รับสารเคมีจำนวน 17 ราย พบว่า 13 ราย ต่างให้ถ้อยคำว่าจนปัจจุบันยังไม่ได้ใช้สารเคมีแต่อย่างใด
เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินสอบถามศูนย์วิจัยยางหนองคาย ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ที่อำเภอรัตนวาปี รอยต่อระหว่างจังหวัดบึงกาฬและจังหวัดหนองคาย ให้ข้อมูลสรุปได้ว่า ศูนย์วิจัยยางมีหน้าที่รับผิดชอบในการค้นคว้า วิจัยและพัฒนายางพาราในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด (รวมจังหวัดบึงกาฬ) หากเกิดโรคระบาดยางพาราในพื้นที่รับผิดชอบ ศูนย์วิจัยยางหนองคายจะทราบจากเกษตรกร องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการด้านการเกษตรในพื้นที่ เช่น สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง สำนักงานเกษตรจังหวัดหรือเกษตรอำเภอ โดยศูนย์ฯ มีหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในแปลงที่พบการระบาดของโรคยางพาราทันที และรายงานหน่วยงานต้นสังกัดคือ สถาบันวิจัยยาง ในปี พ.ศ.2554 ศูนย์ฯ ไม่ได้รับรายงานจากหน่วยงานใดว่าเกิดโรคระบาดในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ
แต่ได้รับแจ้งจากเกษตรกรบางรายถึงการเข้าทำลายของโรคราแป้งช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ยางแตกใบอ่อน ทำให้ใบอ่อนร่วงและเกิดรอยแผลบนใบแก่ แต่การระบาดจะหายไปเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน และในห้วงปี 2550 ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยเคยเกิดโรคระบาดยางพารา เพียงโรคเดียวคือ โรคใบจุดก้างปลาในต้นกล้ายางที่เกิดจากการเพาะเมล็ดในถุง อายุ 7 เดือน ที่เตรียมไว้เป็นต้นตอสำหรับติดตาที่จังหวัดระยอง เท่านั้น
การประกาศพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ในวันที่ 30 กันยายน 2554 ไม่เป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้เกิดความเสียหายจนเกษตรกรต้องการความช่วยเหลือแต่อย่างใด
ขณะที่ประเด็นเรื่องการจัดซื้อสารเคมีราคาแพงกว่าราคาที่มีขายในท้องตลาด
สืบเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ(ก.ช.ภ.อ.)ระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2554 ปรากฏข้อเท็จจริงว่าแต่ละอำเภอเห็นชอบให้กำหนดพื้นที่เสียหายและระบุชื่อสารเคมี เบโนมิล 50% wp ขนาดกล่องละ 500 กรัม ราคากล่องละ 1,920 บาท ต่อพื้นที่ 2 ไร่ มาแล้ว
ต่อมาในวันที่ 11 ตุลาคม 2554 นายสมพงศ์ จังหวัดบึงกาฬ เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคากลางสารป้องกันเชื้อรา เบโนมิล 50% wp โดยให้อำเภอเป็นหน่วยดำเนินการจัดซื้อและแจกจ่ายให้แก่เกษตรกร ประกอบด้วย นายอ. ข้าราชการระดับสูงเป็นประธาน
คณะกรรมการฯ อ้างว่าได้พิจารณาราคาตามท้องตลาดที่ผู้ประกอบการในพื้นที่เสนอราคา สารป้องกันเชื้อรา เบโนมิล 50% wp ขนาด 500 กรัม ราคาไม่เกิน 1,920 บาท จึงกำหนดราคากลางสารป้องกันเชื้อรา เบโนมิล 50% wp ไม่เกิน 384 บาท/100 กรัม (1,920 บาท/500 กรัม)
@@ ตลาดขาย 480 บ. แต่ตั้งราคาซื้อ 1,920 บ.
แต่จากการสอบปากคำพยานผู้เกี่ยวข้อง อาทิ นาย ส. หนึ่งในคณะกรรมการ อ้างว่า ไม่เคยเห็นคำสั่งแต่งตั้งเป็นกรรมการกำหนดราคากลาง แต่นาย ป. นำราคากลางซึ่งเป็นกระดาษเพียงแผ่นเดียวให้ลงลายมือชื่อ จึงเห็นว่าราคากลางของสารป้องกันเชื้อรา เบโนมิล 50% wp ขนาด 500 กรัม ราคา 1,920 บาท ตนจึงไม่สบายใจ
และสอบถามนาย ป. ว่าทำไมราคาสูงมาก พร้อมแจ้งว่า ราคาควรอยู่ที่ 420-480 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและผู้ซื้อ
เหตุที่ตนทราบราคาดังกล่าวเนื่องจากตนเคยเป็นกรรมการสหกรณ์กองทุนสวนยางชาวหนองคาย จำกัด และเคยนำสารป้องกันเชื้อรา เบโนมิล 50% wp ขนาด 500 กรัม มาขายให้เกษตรกร ในราคา 420-480 บาท/500 กรัม
ขณะที่นาย ป. ให้ถ้อยคำว่า ทราบแล้วว่าราคาสารเคมีเบโนมิล 50% wp ของร้านค้าในพื้นที่ต่ำกว่าราคาของร้านนอกพื้นที่ แต่ประธานคณะกรรมการฯ ให้ความเห็นว่าจะดูเฉพาะเรื่องราคาไม่ได้ต้องดูมาตรฐานและคุณภาพของสารเคมีด้วย
ขณะที่ นาย อ. ประธานคณะกรรมการกำหนดราคากลาง อ้างว่าได้สอบถามราคาร้านค้าในท้องถิ่น 2 ร้าน คือร้านสมสมัยการประมง และร้านนิคมสัตวแพทย์
แต่ทั้ง 2 ร้าน ไม่มีสารเคมีดังกล่าวจำหน่าย แต่มีการเสนอราคาจากผู้ประกอบการใกล้เคียงจำนวน 5 รายที่ให้มาเสนอราคา คือ
หจก.รับทรัพย์รุ่งเรือง ถิ่นที่อยู่จังหวัดกาฬสินธุ์ เสนอราคา 1,920 บาท (ยื่นเสนอราคาที่อำเภอและได้เป็นคู่สัญญา 4 อำเภอ)
หจก.นำทรัพย์เจริญ ถิ่นที่อยู่จังหวัดมหาสารคาม เสนอราคา 1,990 บาท (เสนอราคาที่อำเภอและได้เป็นคู่สัญญา 4 อำเภอ)
บริษัท โชครับทรัพย์อนันต์ ถิ่นที่อยู่ จังหวัดขอนแก่น เสนอราคา 1,920 บาท (ไม่เสนอราคาที่อำเภอ แต่ปรากฏหลักฐานว่าส่งมอบสารเคมีก่อนการทำสัญญาหลายอำเภอ)
หจก.เมืองเลยเพิ่มทรัพย์รุ่งเรือง ถิ่นที่อยู่จังหวัดเลย เสนอราคา 1,970 บาท (เสนอราคาแต่ไม่ได้เป็นคู่สัญญา)
หจก.นัติชดา ถิ่นที่อยู่จังหวัดขอนแก่น เสนอราคา 1,950 บาท (ไม่ได้เสนอราคา)
คณะกรรมการจึงคัดเลือกราคาของรายต่ำสุดคือ 1,920 บาท/ 500 กรัม เป็นราคากลาง
แต่จากการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงพบว่า ร้านค้าสารเคมีทางการเกษตรในเขตเทศบาลตำบลบึงกาฬ มีประมาณ 5 ร้าน เรียงตามลำดับจากร้านใหญ่ไปร้านเล็ก คือ ร้าน ท.เจริญกิจ ร้านศิริธรรมค้าปุ๋ย ร้านบึงกาฬเกษตรภัณฑ์ ร้านสมสมัยการประมง และร้านนิคมสัตวแพทย์ แต่การที่คณะกรรมการอ้างว่าสอบถามราคาร้านค้าในท้องถิ่น 2 ร้าน คือร้านสมสมัยการประมง และร้านนิคมสัตวแพทย์ แต่ทั้ง 2 ร้าน ไม่มีสารเคมีดังกล่าวจำหน่าย โดยไม่ได้สอบถาม ร้าน ท.เจริญกิจ ร้านศิริธรรมค้าปุ๋ย ร้านบึงกาฬเกษตรภัณฑ์ ซึ่งเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่กว่าแต่อย่างใด
และจากการสุ่มสอบถามราคาสารเคมีเบโนมิล 50% wp จากร้านค้าสารเคมีการเกษตรในเขตเทศบาลตำบลบึงกาฬ ซึ่งเป็นร้านใหญ่จำนวน 2 ร้าน อำเภอศรีวิไล 1 ร้าน และ ซื้อสารเคมีสารเคมีเบโนมิล 50% wp ชนิดและขนาดเดียวกันที่อำเภอโซ่พิสัย ได้ข้อมูลดังนี้
1. ร้านท.เจริญกิจ ตำบลบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ วันที่ 18 มกราคม 2555 เสนอราคา 400บาท/500 กรัม
2. ร้านศิริธรรมค้าปุ๋ย ตำบลบึงกาฬ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ วันที่ 18 มกราคม 2555 เสนอราคา 100 กรัม/120 บาท หรือ 500 กรัม/ 600 บาท
3. ร้านบุญทันการเกษตร ตำบลศรีวิไล อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ วันที่ 28 ธันวาคม 2554 เสนอราคา 100 กรัม/120 บาท หรือ 500 กรัม /600 บาท
4. ใบเสร็จรับเงิน ร้านโซ่พิสัยการเกษตร ตำบลโซ่ อำเภอโซ่พิสัย จังหวัดบึงกาฬ เล่มที่ 8 เลขที่ 12 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2554 รายการ เบโนมิล 50% wp 500 กรัม จำนวนเงิน 400 บาท
เฉลี่ยราคาสารเคมี เบโนมิล 50% wp ในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ ระยะเวลาใกล้เคียงกับการกำหนดราคากลาง ขนาด 500 กรัม ราคา 500 บาท
กระบวนการจัดซื้อเป็นไปตามระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่
จากการตรวจสอบพบว่าแต่ละอำเภอได้ใช้ราคากลางที่ได้รับอนุมัติจากจังหวัด บึงกาฬเป็นราคาที่ใช้ในการขออนุมัติซื้อโดยไม่สอบถามราคาในท้องถิ่นแต่อย่างใด บางอำเภอมีการส่งสารเคมี เบโนมิล 50% wp ก่อนการขออนุมัติซื้อ และมีการส่งเอกสารการเสนอราคาทางไปรษณีย์หรือบุคคลผู้เดียวถือมาส่ง เสมียนตราอำเภอในฐานะเจ้าหน้าที่พัสดุจัดพิมพ์หลักฐานการเสนอราคา ลงวันที่ในใบเสนอราคาและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องต้องกัน จัดทำบันทึกการต่อรองราคาโดยที่คณะกรรมการต่อรองราคามิได้มีการต่อรองราคากับผู้เสนอราคารายใด และนายอำเภอลงนามสัญญาโดยไม่เคยพบกับผู้ขายรายใด และมีการนำเอกสารทั้งหมดไปพบผู้ขายที่ห้องประชุมอรุณโรจน์ปัญญา เพื่อตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสาร ลงนามสัญญา และเบิกจ่ายเงินให้ผู้ขาย ในวันเดียวกันทุกอำเภอ
สารเคมี เบโนมิล 50% มีส่วนผสมของสารเคมีตรงตามที่ระบุไว้หรือไม่
@@ ส่งตัวอย่างตรวจสอบพบ "ของปลอม"
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับสารเคมี เบโนมิล 50 % wp จากนาย ว. ผู้ใหญ่บ้าน อำเภอศรีวิไล และส่งไปทดสอบที่สำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร เพื่อหาค่าส่วนผสมของสารเคมีว่ามีตามที่ระบุไว้ที่ฉลากข้างกล่องหรือไม่ ต่อมาสำนักวิจัยพัฒนาปัจจัยการผลิตทางการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีหนังสือ ที่ กษ 0916/วพ 04/3327 ลงวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 แจ้งผลการทดสอบสารเคมีเบโนมิล 50%Wp สรุปผลการตรวจสอบได้ว่าสารเคมีที่ตรวจสอบ เป็นสารเคมีที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีเบโนมิล 50% แต่อย่างใด
หมายถึง เป็นสารเคมีปลอม
---------------------------
