วันนี้ (15 พ.ย.) ที่กระทรวงกลาโหม นายลีออง อี. พาเน็ตต้า รมว.กลาโหม สหรัฐอเมริกา และคณะ เข้าพบ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ในโอกาสเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 15-16 พ.ย.นี้ โดย รมว.กลาโหมสหรัฐได้ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมประชุมหารือในเรื่องของการปรับเปลี่ยนแนวทางความ ร่วมมือระหว่างกองทัพไทย-สหรัฐ ให้สอดคล้องกับความท้าทายภัยคุกคามรูปแบบ ใหม่ในปัจจุบัน เพื่อสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และให้เกิดเสถียรภาพในภูมิภาคเชียแปซิฟิก โดย พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้แทนเหล่าทัพ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ห้ามยานพาหนะทุกประเภทจอดภายในบริเวณศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม
จากนั้น พล.อ.อ.สุกำพล และนายลีอองได้ลงนามในแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้าน การป้องกัน ประเทศไทย-สหรัฐ ค.ศ. 2012 การเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงในศตวรรษที่ 21 ที่เปลี่ยนแปลงไป ความร่วมมือทางทหารจึงต้องมุ่งเน้นไปที่ประเด็นทั้ง 4 ด้าน คือ 1.ความเป็นหุ้นส่วนในการสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการรับมือต่อปัญหาความท้าทายรูปแบบใหม่ 2.การส่งเสริมความมีเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และภูมิภาคที่ไกลออกไปบนพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความไว้เนื้อเชื่อ ใจกันมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ 3.การพัฒนาความพร้อม และการเสริมสร้างขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วมทั้งในระดับทวิภาคีและ พหุภาคีและ 4.การพัฒนาความสัมพันธ์การประสานงานและการสร้างความร่วมมือในทุกระดับ
นายลีออง กล่าวว่า การมาเยือนไทยในครั้งนี้ เพื่อต้องการเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ทางทหารอันแน่นแฟ้นของทั้งสองประเทศ ซึ่งสหรัฐฯถือว่าไทยเป็นพันธมิตรที่สำคัญในภูมิภาคมาตลอด ดังนั้นการลงนามในความเป็นหุ้นส่วนทางทหารครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความ พยายามสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในภูมิภาคด้วยความร่วมมือระหว่างกัน นอกจากนี้ สหรัฐขอชื่นชมกองทัพไทยที่มีความสัมพันธ์ที่ดี ให้การช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันมาเป็นเวลานาน ซึ่งความสัมพันธ์อันดีนี้จะนำไปสู่ความรุ่งเรือง ทั้งด้านการทหารและด้านอื่น ๆ โดยนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ให้ความสำคัญกับมิตรประเทศในภูมิภาคนี้อย่างมาก ได้ย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับ ประเทศในเอเชียแปซิฟิก และตัวประธานาธิบดีก็จะหารือเพิ่มเติมในประเด็นนี้ รวมทั้งประเด็นอื่น ๆ กับนายกรัฐมนตรีไทยระหว่างการเยือนไทยในสุดสัปดาห์นี้
“ความตกลงหุ้นส่วนทางทหารครั้งนี้ นอกจากจะช่วยดำรงเสถียรภาพด้านความมั่นคงในภูมิภาคแล้ว ยังถือเป็นการเตรียมพร้อม เพื่อรับกับภัยคุกคามและความท้าทายที่ต้องเผชิญร่วมกันในอนาคต ขณะนี้สามารถบอกได้ว่า เราได้เข้าสู่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในภารกิจรักษาความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความร่วมมือทางทะเล และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม รวมถึงภารกิจรักษาสันติภาพ ทั้งนี้การประชุมไทย-สหรัฐวันนี้ไม่ได้พูดถึงการขอใช้พื้นที่สนามบินอู่ ตะเภาในการตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยช่วยเหลือประชาชน (เอชเอดีอาร์) รวมถึงไม่ได้มีการพูดถึงการขยายขนาดการฝึกคอบร้าโกลด์ 2013” นายลีออง ระบุ
ขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวถึงกรณีที่มีการมองว่าการลงนามวิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการพันธมิตรด้าน การป้องกันประเทศ ไทย-สหรัฐ เป็นการตัดหน้าประเทศจีนเพื่อไม่ให้ขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจว่า สหรัฐเข้ามาทุกประเทศไม่ใช่ใช้ไทยเป็นเครื่องมือในการปิดล้อมจีน พูดอย่างนี้จะทำให้ไทยมีปัญหากับจีน เพราะอีกไม่กี่วันนายกรัฐมนตรีจีนจะเยือนไทย อย่างไรก็ตามไทยคบกับทุกชาติที่ดีกับเรา ในส่วนสหรัฐให้ไทยช่วยเหลือในส่วนที่จะติดต่อกับพม่า ถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งจีนกับสหรัฐเป็นเพื่อนไทยทั้งคู่ เรารักเท่ากัน ไม่รักใครมาก หรือรักใครน้อย ครั้งแรกที่มีการลงนามร่วมกันเมื่อ 50 ปีที่แล้ว วันนี้เป็นเรื่องความสัมพันธ์กว้าง ๆ ไม่ได้มีอะไรลึก มีกระดาษเพียง 2 หน้าเกี่ยวกับการช่วยเหลือฝึกศึกษา การลงนามดังกล่าวเรื่องนี้ผ่าน ครม. แล้วไม่เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพราะไม่ใช่พันธะสัญญา เป็นเพียงความร่วมมือ และคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาแล้วว่า ไม่มีปัญหาอะไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลับ ไม่ต้องเป็นห่วง ถ้าสำนักผู้ตรวจการแผ่นดินขอดูก็สามารถยื่นให้ดูได้เลย
เมื่อถามถึงการฝึกคอบร้าโกลด์ที่จะให้พม่าเข้าร่วมการฝึกในปี 2013 พล.อ.อ.สุกำพล กล่าวว่า ประเทศพม่าไม่ได้เข้าร่วมการฝึก แต่จะเป็นผู้สังเกตการณ์ตามข้อเสนอของไทย เฉพาะในส่วนที่เป็นการฝึกการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเท่านั้น ถือว่าเป็นครั้งแรก เพราะการเข้ามาของสหรัฐในภูมิภาคนี้มีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าไม่ได้เข้ามา ดำเนินการเพื่อสร้างผลกระทบในอาเซียน หรือทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศจีน โดย รมว.กลาโหมสหรัฐบอกกับตนว่าได้เดินทางเยือนประเทศจีนและความสัมพันธ์ระหว่าง สหรัฐกับจีนดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับเชิญให้ไปดูกองทัพเรือทางทะเลเหนือของจีนด้วย พร้อมทั้งการฝึกร่วมกำลังทางเรือกับจีน

