เจาะสมอง “วราเทพ รัตนากร” ผู้คุม อสมท “ใครยึดสื่อก็ยึดกุมมวลชนได้”

การปรับคณะรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ 3 รัฐมนตรี วราเทพ รัตนากร อดีตแกนนำบ้านเลขที่ 111 ไทยรักไทย ได้รับความไว้วางใจกลับมานั่งในตำแหน่ง รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล คือ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
วราเทพ บอกกับ “ทีมข่าวอิศรา” ถึงมุมมองต่อสื่อมวลชนในยุคปัจจุบันท่ามกลาง สื่อ 2 ขั้ว ว่า “ใครที่ยึดการสื่อสารกับประชาชนได้มาก และเร็วที่สุดและชี้นำได้มากก็จะได้มวลชน”
................................
-มองสื่อในยุคปัจจุบันอย่างไร
เรื่องนี้ค่อนข้างที่จะเป็นมุมมองของแต่ละคน แต่ผมมองว่าเรื่องการให้สิทธิเสรีภาพสื่อในบ้านเรา ถือว่ามีมากพอสมควรเมื่อเทียบกับประเทศประชาธิปไตย ส่วนจะมากไปหรือน้อยไปดีหรือมาดีตรงไหนต้องตอบว่าขึ้นอยู่กับคนที่เกี่ยวข้อง สื่อเองต้องช่วยกันพยายามทำให้คนที่บริโภคสื่อ คนที่ได้รับผลกระทบจากสื่อมีเรื่องของความพอดีในการนำเสนอข่าว ส่วนรัฐบาลที่เป็นผู้กำกับดูแลคงไม่สามารถใช้มาตรการที่แข็งหรือว่าอ่อนจนเกินไป ต้องดูเรื่องความเหมาะสม ผมมองว่าสื่อกับรัฐและประชาชนต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ถ้ารัฐปิดกั้นมากก็ไม่ได้ ปล่อยมากก็ไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้อยู่ตรงกลาง ถึงวันนี้เราอาจจะมองว่าบางครั้งสื่อค่อนข้างที่จะไปมาก บางครั้งรัฐก็เข้าไปมาก ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง ส่วนตัวก็จะพยายามที่จะผสมผสานให้ได้เกิดความเหมาะสมแต่ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับกรอบกติกาอยู่แล้ว
-มีไอเดียอย่างไรที่จะทำให้เกิดความพอดี
ต้องพยายามแลกเปลี่ยนสร้างความเข้าใจก่อนอันดับแรก แต่ข่าวที่มากไปน้อยไปก็ใช่ว่าจะมีทุกวันมีเฉพาะบางครั้งที่เป็นข่าวใหญ่ๆหนักๆ บางครั้งเรามองว่าสื่อมีสิทธิเสรีภาพมากไปชี้นำสังคมมากเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ตลอดเวลาเฉพาะประเด็นข่าวดังๆเท่านั้น อาจไม่เฉพาะข่าวการเมือง อย่างเดียว แม้แต่คุณภาพชีวิต สังคมก็มีเหมือนกันหมด
-คิดอย่างไรกับคำว่า ”สื่อ 2 ขั้ว”
อันนี้คำถามดี เพราะคำว่าสื่อ 2 ขั้ว เป็นเรื่องที่ถูกสะท้อนให้เห็นว่าการสื่อสารมีความสำคัญโดยเฉพาะใครที่ ยึดการสื่อสารกับประชาชนได้มาก และเร็วที่สุดและชี้นำได้มากก็จะได้มวลชน ทีนี้สื่อที่เป็นสื่อของรัฐก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ส่วนสื่อที่เป็นเอกชน หรือที่เรียกว่าสื่อที่ไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบ กฎหมาย จะต้องระมัดระวัง และน่ากลัวตรงที่ว่าถ้าเราไม่สามารถ
เข้าไปบริหารจัดการได้ดีก็จะสร้าง ความเสียหายได้ โดยเฉพาะภาษาที่ใช้ในสื่อที่เป็นจำพวกเคเบิ้ล สัญญาณดาวเทียมที่ไม่มีการควบคุม เพราะสังเกตได้จากภาษาที่พูดค่อนข้างจะรุนแรงก้าวร้าวและนำไปสู่การยุยงให้ เกิดความเกลียดชังหรือการเข้าใจผิดได้
-สื่อเลือกข้างที่มีมากขึ้นเพราะด้วยเหตุทางการเมืองลำบากหรือไม่ในการทำหน้าที่
คงไม่มีหน้าที่ไปดูตรงนี้ เพราะมีหน้าที่กำกับติดตามการทำงานที่นายกฯมอบคือ องค์กรของรัฐและรัฐวิสาหกิจ อสมท. เรื่องของสื่อมีการเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้รับผิดชอบหลายฝ่าย ถ้าจะทำได้คงต้องให้ อสมท.เป็นองค์กรนำในเรื่องของการทำงานด้านการสื่อสารมวลชลกับประชาชนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแง่ ความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้นในการบริโภคสื่อ เนื่องจาก อสมท.เป็นบริษัทมหาชน จึงต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้เขาสามารถทำธุรกิจได้ ซึ่งจะต้องคุยกับผู้บริหารและกรรมการ
-สื่อที่ทำหน้าเสนอข่าวตรวจสอบรัฐบาล และสื่อที่ทำหน้าที่เสนอข่าวสนับสนุนรัฐบาล มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร
เราจะไปพูดแทนเขาอย่างนั้นได้เลยไหมว่าเขาสนับสนุน แต่ก็ไม่นะ ไม่ได้มองว่าเขาสนับสนุน คือไม่กล้าพูดว่าเห็นตรงข้ามหรือสนับสนุน แต่อาจจะมีมุมข่าวในเชิงลบ เชิงบวกมากกว่า เพราะสื่อเองคงต้องมีจรรยาบรรณอยู่แล้ว แต่เนื่องจากเราเป็นผู้บริโภคคนที่บริโภคสื่อที่มีใจเข้าข้างใดเข้าข้างหนึ่ง เมื่อไปเห็นข่าวลบมากก็มองว่าเป็นสื่อข้างนั้นไป แต่ถ้าเป็นจำพวกสื่อเคเบิ้ลทีวี ที่ผู้จัดหรือผู้ดำเนินการแสงเจตนารมณ์ค่อนข้างชัดเจน ผมมองว่าแบบนี้จึงจะเรียกว่าสื่อเลือกข้างได้ แต่ว่าถ้าหนังสือพิมพ์ยังไม่ค่อยเรียกชัดเท่าไหร่
-และสื่อควรทำหน้าที่ตรวจสอบ หรือสนับสนุน รัฐบาล มากกว่ากัน สาธารณะชนจะได้ประโยชน์
สื่อต้องเป็นสิ่งที่เป็นตัวกลางนำเสนอข้อมูลข่าวสารทุกด้าน แต่ข้อมูลข่าวสารด้านของความต้องการที่ประชาชนอยากรู้อยากเห็น ส่วนใหญ่ต้องบอกว่าไม่ว่าจะเป็นข่าวการเมือง สังคม บันเทิง หรือข่าวอะไรก็ตาม ถ้าเป็นในเชิงลบจะได้รับการสนใจ เมื่อได้รับการสนใจสื่อก็จะมุ่งเน้นไปในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างมากกว่า หรืออาจจะทำเท่ากัน แต่การเสพของผู้บริโภคอาจไม่อ่าน ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์เปิดมาดูภาพลบอาจจะดูเหมือนเยอะ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ก็มีภาพดีๆเช่นกันเพียงแค่คนไม่ได้อ่านเท่านั้น เพราะเป็นตัวเล็ก อยู่หน้าใน เราเลยเข้าใจว่าสื่อนำเสนอแต่ภาพลบ ซึ่งประเด็นที่นำเสนอก็ขึ้นอยู่กับพาดหัวตัวไม้ กับคอลัมน์นิสต์ ถ้าถามว่าจะให้ความสำคัญในด้านไหนมากกว่ากัน ผมคิดว่าน่าจะใกล้เคียงกัน เพราะเขียนเนื้อหาเขียนทุกวัน ไม่จำเป็นต้องเขียนลบทุกวัน เขียนบวกบ้างก็ได้ ดังนั้นข่าวไม่ว่าจะตรวจสอบหรือสนับสนุนก็น่าจะให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
-จะจัดระบบสื่อของรัฐอย่างไรให้สามารถอยู่ได้ทั้งในส่วนของธุรกิจและนโยบายของรัฐ ที่จะต้องทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องของ ผลงานและนโยบายต่างๆ
เนื่องจาก อสมท.เป็นบริษัทมหาชน จะมีกฎหมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องหลายอัน รัฐคงเข้าไปมากเหมือนกับสื่อของรัฐเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว แต่ในฐานะความเป็นทรัพย์สินของรัฐคงต้องหารือกันว่าความพอดีอยู่ตรงไหน เพราะจะมากในเรื่องของธุรกิจก็ไม่ได้ จะมากในเรื่องของเอามาเป็นเครื่องมือของรัฐทั้งหมดเลยก็ไม่ได้ แต่เครื่องมือของรัฐยังมีช่อง 11 อยู่ แต่เมื่อ อสมท.เขาทำในเชิงธุรกิจก็จะต้องไม่ใช่ธุรกิจแบบมากเกินไป ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ทางอ้อมด้วยคือไม่ได้เป็นตัวเงิน นอกจากนี้การเป็นสื่อของรัฐจะอยู่กับที่ไม่ได้ จะต้องสามารถสู้ได้กับสถานการณ์ปัจจุบันด้วย
-จะให้อิสระการทำงาน อสมท.มากน้อยแค่ไหน
ใน อสมท.จะมีกฎกติกาของเขาอยู่แล้ว ฉะนั้นตำแหน่งรัฐมนตรีที่เข้าไปกำกับติดตามคงจะทำได้เพียงแค่กฎหมายให้อำนาจเท่านั้น คงอยากจะหารือร่วมกันมากกว่าถ้ามีนโยบายอะไรที่เราคิดว่ารัฐบาลมองและสนับสนุนให้สังคมได้รับรู้ข่าวสารที่ดีได้อีกช่องทางหนึ่ง เพราะหากเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงให้เขาทำโน้น นี่คงไม่ได้ ให้เขาเปลี่ยนรายการคงทำอย่างนั้นไม่ได้ อย่างมากเราคงให้แค่แนวทางเพื่อให้เขานำไปพิจารณามากกว่า
-จะบริหารอย่างไรให้รัฐบาลได้มีโอกาสทำความเข้าใจกับประชาชนในเรื่องนโยบาย หรือผลงานรัฐบาล
ตอนนี้ยังไม่รู้เรื่องเวลาว่าเขาสามารถให้กับรัฐบาลได้แค่ไหน คงไม่สามารถเอาเวลาเขามาเป็นเวลาของรัฐบาลได้ทั้งหมดคงต้องใช้ช่องทางอื่นบ้าง
-ความเป็นสื่อที่มีรัฐบาลเข้ามาร่วมบริหาร เนื้อหาการนำเสนอควรเน้นหนักไปด้านใด
คงต้องปรับสภาพตามสถานการณ์และสังคม ที่ต้องการ บางครั้งไม่จำเป็นต้องทำเรื่องสังคมหรือเศรษฐกิจ การเมืองด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ต้องผสมผสานไปได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับเทคนิคของผู้จัดผู้ดำเนินรายการ เพราะเดี๋ยวนี้สามารถทำรายการข้อมูลข่าวสารที่ผสมผสานไปได้ในหลายทาง แต่คนที่พิจารณาทั้งหมดต้องดูในภาพรวม เช่นในกรอบเวลา 24 ชั่วโมง สถานีควรจะมีเรื่องอะไรบ้างและใน 1 สัปดาห์ควรจะมีเรื่องอะไรบ้าง ควรให้น้ำหนักอยู่ตรงไหนที่จะเกิดประโยชน์ โดยจะต้องไม่เสียทั้งเรื่องธุรกิจเศรษฐกิจ และสาธารณะได้ประโยชน์
-ตลอด 1 ปีกับการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา จุดอ่อนของการประชาสัมพันธ์ เป็นอย่างไร
ไม่ได้เป็นจุดอ่อน แต่รัฐบาลโชคไม่ค่อยดีมีปัญหารุมเร้าเยอะไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนนโยบายเหมือสมัยรัฐบาลปี 2540 ซึ่งเป็นปีที่รัฐบาลเข้ามาฟื้นเศรษฐกิจ และผลกระทบจากปัจจัยภายนอกไม่ค่อยมี แต่รัฐบาลนี้เจอหลายเรื่อง ทั้งสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งรุนแรง ภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจโลก และการเข้ามาในปีงบประมาณที่เป็นรอยต่อ กว่าจะมาผลักดันงบประมาณออกก็ช้าไป 4ถึง5 เดือน ฉะนั้นงานที่ออกมาหรือไม่ออกมาในปีแรก ผมคิดว่า ไม่ได้เป็นจุดอ่อนที่เกิดจากการประชาสัมพันธ์ แต่เป็นปัจจัยที่รัฐบาลเจอในสถานการณ์ต่างๆมากกว่า แต่ผมเชื่อว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ปีงบประมาณปี 2556 ที่ทำเอง ก็จะค่อยๆเห็นผลงานเรื่อยๆดังนั้นปลายปี 2556 และปี 2557 จะเห็นเนื้องานรัฐบาลมากขึ้น
-วางแผนเชิงรุกการประชาสัมพันธ์รัฐบาลไว้อย่างไร
ทุกอย่างจะมาตามเนื้องานด้วย เนื้องานที่เป็นเชิงรุก งานที่เป็นผลงานมากกว่างานที่ตามแก้ปัญหา เพราะงานแก้ปัญหาจะเกิดปัญหาที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย จะไม่ค่อยเห็นเป็นรูปธรรมมากนัก คงไม่ได้ปรับว่าต้องประชาสัมพันธ์เชิงรุก
-การทุจริตที่เกิดขึ้น อาทิ บริษัทไร่ส้ม ซึ่งเกี่ยวพันกับองค์กร อสมท. จะเป็นบทเรียนในการบริหารอย่างไรให้รัดกุมมากขึ้น
เรื่องเดิมผมไม่รู้ว่ารายละเอียดเกิดอะไร แต่เรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นประสบการณ์ และการนำไปวางเป็นแนวทางในการทำงานในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก ซึ่งเรื่องแบบนี้ฝ่ายนโยบายแทบจะไม่ต้องทำอะไรเพราะเป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติ เป็นเรื่องของการวิธีคิด คำนวณ การโฆษณาต่างๆ ผมคิดว่าอสมท. เป็นองค์กรใหญ่มีระบบตรวจสอบภายในที่ดี และต้องยื่นเรื่องการบริหารงานที่มีกำกับดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายอัน แม้กระทั่งตลาดหลักทรัพย์
-คิดอย่างไรกับคำว่า “รัฐบาลจะอยู่หรือไปขึ้นอยู่กับสื่อ”
องค์ประกอบหนึ่งอาจจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับตัวรัฐบาล ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลนี้ แต่ทุกรัฐบาล ปัจจัยในการบริหารงานหลักสำคัญค้าน ก็เป็นเพียงสภาวะ หรือปัจจัยรอบข้าง ถ้ารัฐบาลถ้าสามารถยึดหลักในการทำงาน หรือบริหารประเทศเป็นไปตามนโยบาย แก้ไขปัญหาประชาชนได้ ใครก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าทำไม่ดี แล้วมีคนวิจารณ์ไม่แก้ไขตรงนั้นรัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้เหมือนกัน จริงๆแล้วจะบอกว่า “สื่อ” หรือใครจะมาทำให้รัฐบาลอยู่ได้หรือไม่ได้ จะอยู่หรือไม่ คงอยู่ที่ตัวรัฐบาลเองมากกว่า
-มองว่าสื่อเป็นเพียงกระจกที่สะท้อนเงาของรัฐบาลเท่านั้นใช่หรือไม่
ยอมรับว่าการนำเสนอของสื่อก็สามารถทำอะไรให้เกิดความสึกกร่อนได้เหมือนกัน ผมไม่ได้พูดถึงรัฐบาลไหน หรือรัฐมนตรีท่านใดนะ แต่บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นข่าวอาจจะไม่มีอะไร แต่รัฐบาลต้องรีบชี้แจงทำความเข้าใจ บางทีสิ่งที่ถูกรับรู้ทางเดียวตลอดเวลา ก็อาจเกิดความเชื่อ พอเราจะมาแก้ หรือชี้แจงอีกทีมันก็จะไม่ทันเวลา นี่ถือว่าคล้ายๆกับประสบการณ์ที่เคยเห็น เพราะมัวแต่คิดว่าไม่เป็นไรคนพูดถึงเรา เราก็ปล่อยไปเรื่อยเดี๋ยวเรื่องมันก็เงียบ อย่างกรณีของผมเอง ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง รัฐมนตรี ก็ถูกถามและตั้งข้อสังเกตในเรื่องของคุณสมบัติ ต้องพูดกันกี่วันจึงจะเงียบได้
