เหตุที่รัฐธรรมนูญมาตรา 274 เป็น “หมัน”

รัฐธรรมนูญ "มาตรา 274" อยู่ในส่วนที่ 3 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ส่วนนี้มีทั้งหมด 5 มาตรา
คือ มาตรา 270 ถึงมาตรา 274
บุคคลใดบ้างที่จะถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และด้วยเหตุใดบ้างที่จะถูกถอดถอน ปรากฏอยู่ใน มาตรา 270 ซึ่งบัญญัติว่า “ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการสูงสุด ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตราฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง (เช่น กรณีที่ ส.ส.ก่อเหตุทำร้ายร่างกายแล้วปาสิ่งของไปถูกประธานรัฐสภาเมื่อเร็ว ๆ นี้) วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้"
วรรคสองบัญญัติว่า “บทบัญญัติวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งดังต่อไปนี้ด้วย
(1) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
(2) ผู้พิพาทษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต”
สำหรับ "ผู้ที่มีสิทธิร้องขอ" ให้วุฒิสภาถอดถอนตามมาตรา 270 ได้ก็คือบุคคลที่ระบุไว้ในมาตรา 271 ดังนี้
1.สมาชิกผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด
2.สมาชิกวุฒิสภาไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
3.ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคน มีสิทธิเข้าเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนบุคคลตามมาตรา 270 ออกจากตำแหน่งได้ตามมาตรา 164
สำหรับ "ผู้ที่จะไต่สวนคำร้อง" ตามมาตรา 271 คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ กรรมการ ป.ป.ช. โดยประธานวุฒิสภาเป็นผู้ส่งเรื่องดังกล่าวไปให้กรรมการ ป.ป.ช. เมื่อทำการไต่สวนแล้วและมีมติด้วยเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดที่มีอยู่ว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทำรายงานเสนอต่อวุฒิสภา (มาตรา 272)
เมื่อได้รับรายงานจากกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 272 แล้ว ให้ประธานวุฒิสภาจัดให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณากรณีดังกล่าว และให้สมาชิกวุฒิสภาดำเนินการตามมาตรา 274 คือ
1.วุฒิสภาออกเสียงลงคะแนนลับ
2.มติให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่งให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้าของจำนวนสมาชิก
ผลของการลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่ง ก็คือ
1.ผู้ใดถูกถอดถอนจากตำแหน่ง ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน
2.ให้ตัดสิทธิผู้นั้น ในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมือง หรือในการรับราชการเป็นเวลาห้าปี
ตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่า ได้มีกรณีที่วุฒิสภาประชุมเพื่อใช้มาตรา 274 มาแล้ว ไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งคะแนนเสียงไม่พอที่จะถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาได้เลย โดยสรุปสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถนำมาตรานี้มาบังคับใช้ให้ได้ผลอย่างจริงจังหรือพูดให้เข้าใจง่ายคือ ไม่ให้กฎหมายเป็น “หมัน” จะต้องดำเนินการแก้ไขโดยด่วนคือ
1.ต้องลดคะแนนเสียงในการมีมติให้ถอดถอนให้น้อยลงไม่ใช่สามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมด (ปัจจุบันจำนวนวุฒิสมาชิกตามกำหนดในมาตรา 111 มีจำนวนทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบคน สามในห้าจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าเก้าสิบคน) ซึ่งเกือบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาได้ สมควรให้ลดคะแนนเสียง เช่น เป็นคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง เป็นต้น
2.เหตุเกิดจากตัววุฒิสมาชิกเองซึ่งอาจเป็นเพราะไม่มีเวลาตรวจรายงานเพียงพอ ดังนั้นทางแก้ไขก็คือเมื่อมีรายงานจากกรรมการ ป.ป.ช. ส่งไปยังวุฒิสภา ขอท่านวุฒิสมาชิกได้โปรดสละเวลาตรวจดูรายงานของกรรมการ ป.ป.ช. อย่างละเอียดรอบคอบทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในรายงาน
หากท่านวุฒิสมาชิกผู้ใดไม่ใช่นักกฎหมายก็ขอให้สอบถามทำความเข้าใจจากท่านวุฒิสมาชิกที่เป็นนักกฎหมายและด้วยเกียรติภูมิของวุฒิสมาชิก ท่านควรจะพิจารณาว่าสมควรจะถอดถอนผู้ถูกกล่าวหา ด้วยเหตุผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่มากกว่าจะใช้สิทธิของท่าน เนื่องจากคำขอร้องของผู้ใกล้ชิดหรือเรียกว่า ลอบบี้ หรือโดยอคติ
3.อาจจะยังมีผู้เข้าใจรัฐธรรมนูญ มาตรา 274 ไขว้เขวอยู่ในเรื่องที่ผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว วุฒิสภาจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรานี้
ผู้เขียนเห็นว่าต้องดูกฎหมายให้ละเอียดว่าผลจากการลงมติถอดถอนตามมาตรานี้ นอกจากผู้ถูกกล่าวหาจะถูกถอดถอนจากตำแหน่งแล้ว ผู้ถูกกล่าวหายังจะต้องถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือในการรับราชการเป็นเวลาห้าปีอีกด้วย ดังนั้นถึงแม้ผู้ถูกถอดถอนจะพ้นตำแหน่งไปแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ตาม วุฒิสภาก็จะต้องดำเนินการตามมาตรา 274
เหตุผลที่ทำให้รัฐธรรมนูญมาตรา 274 เป็นหมันนั้น สำหรับเหตุตามข้อ 1 และข้อ 3 แก้ไขได้ไม่ยาก ยกเว้น ข้อ 2 ซึ่งเกี่ยวด้วยจิตสำนึก ซึ่งจะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของพรรคพวกหรือผู้ใกล้ชิด หากผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดก็จะต้องถูกถอดถอนโดยไม่ไว้หน้าไม่ว่าจะเป็นบุคคลใด กลุ่มการเมืองใด แต่ถ้าไม่ผิดก็ต้องให้ความเป็นธรรมแก่เขา
การลงมติเพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใดนั้น เป็นอันตรายต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง
-หมายเหตุ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล เป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา และอดีตกรรมการ ป.ป.ช. ปัจจุบันเป็นอาจารย์พิเศษคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
