เส้นทางสู่ AEC… SMEs รุกรับอย่างไร?

ภายใต้สภาพแวดล้อมทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน คำถามสำคัญคือ “SMEs ไทยมีความแข็งแกร่งและมีความพร้อมในการเผชิญกับความท้าทายต่างๆ เหล่านั้นมากน้อยเพียงใด และจะแสวงหาประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้อย่างไร?”
ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญกับความท้าทายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ซึ่งเป็นปัจจัยแวดล้อมภายในประเทศที่ส่งผลกระทบโดยตรงผ่านต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ SMEs ในภาคบริการหรือภาคการผลิตที่มีการใช้แรงงานในสัดส่วนที่สูง (labor-intensive industry) ปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่กำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น การย้ายไปทำอาชีพอิสระ รวมถึงมีการหมุนเวียนของแรงงาน (turnover rate) ในระดับสูงจากการที่แรงงานมีฝีมือเคลื่อนย้ายไปสู่อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ หรือแม้แต่ผลกระทบจากการรวมกลุ่มกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งจะมีผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อ SMEs เพราะนอกจากโอกาสทางการค้าการลงทุนที่เปิดกว้างมากขึ้นแล้ว AEC ยังหมายถึงความท้าทายต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
เมื่อเจาะลึกผลกระทบของการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำพบว่า นอกจากผลกระทบทางตรง (direct effect) จากต้นทุนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีผลกระทบทางอ้อม (indirect effect) จากการส่งผ่านภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ไปยังธุรกิจต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทานด้วย ธุรกิจที่ใช้แรงงานไม่มีทักษะเป็นสัดส่วนสูงหรือมีค่าจ้างแรงงานเป็นต้นทุนหลัก ย่อมได้รับผลกระทบทางตรงจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากเป็นพิเศษ เช่น ภาคการเกษตร และภาคบริการประเภทการก่อสร้าง เป็นต้น ในขณะที่ธุรกิจที่มีห่วงโซ่อุปทานที่ค่อนข้างยาวและสลับซับซ้อน มีแนวโน้มได้รับผลกระทบทางอ้อมมากกว่า เนื่องจากต้องเผชิญกับการส่งผ่านภาระต้นทุนที่สูงขึ้นในรูปแบบของการขึ้นราคาสินค้าและบริการตลอดทั้งสายห่วงโซ่อุปทาน ยกตัวอย่างเช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น ผลกระทบต่อกำไรขาดทุนของผู้ประกอบการจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมเข้าด้วยกันเพื่อประเมินความรุนแรงของนโยบาย 300 บาท ซึ่งอาจส่งผลให้ต้นทุนโดยรวมสูงขึ้นถึง 8% หากผู้ประกอบการผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปได้ 100% หรือในกรณีที่ความสามารถในการส่งผ่านภาระต้นทุนต่ำกว่า 100% ผลกระทบต่อต้นทุนอาจลดลงเหลือ 3% แต่อาจทำให้ผลตอบแทนของผู้ประกอบการลดลง 4% เพราะต้องแบกรับภาระต้นทุนที่ส่งผ่านไปไม่หมด
นอกจากปัญหาการขึ้นค่าจ้างแรงงานแล้ว ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็มีผลกระทบโดยตรงต่อความอยู่รอดของธุรกิจ SMEs เช่นกัน ในอีก 10-15 ปี หากจำนวนแรงงานไทยเริ่มลดลงตามที่มีการคาดการณ์ ปัญหาการขาดแคลนแรงงานจะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการผลิตที่เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมชัดขึ้นแล้ว เนื่องจากแรงงานไทยหันไปทำอาชีพอิสระมากขึ้น ประกอบกับมีความไม่สอดคล้องกันของอุปสงค์และอุปทานด้านทักษะและประสบการณ์ของแรงงานไทยกับระดับที่ผู้ประกอบการต้องการ (skill mismatch) ดังนั้น เมื่อแรงงานจะเริ่มหายากขึ้น ธุรกิจ SMEs จึงต้องหันมาให้ความสนใจกับการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (labor productivity) มากขึ้น
ธุรกิจ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงทั้งทางตรงและทางอ้อม ควรเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มผลิตภาพแรงงานก่อนภาคธุรกิจอื่น อาทิ การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ทดแทนการพึ่งพาแรงงาน นอกจากนี้ ควรพิจารณาต่อยอดธุรกิจเพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการไปพร้อมกับการพัฒนาศักยภาพแรงงานผ่านการฝึกอบรมเสริมสร้างทักษะเพื่อบรรเทาผลกระทบของนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและเตรียมพร้อมธุรกิจสู่สภาวะขาดแคลนแรงงานในอนาคตอันใกล้
SCB EIC ได้สำรวจความเห็นของ SMEs เกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจและการเตรียมพร้อมรับมือกับปัจจัยแวดล้อมต่างๆ พบว่า โดยรวม SMEs มองธุรกิจใน 1-2 ปีข้างหน้าค่อนข้างสดใส แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ โดยเฉพาะ นโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน ซึ่ง SMEs ประเมินว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 12% ซึ่งสูงกว่าผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมดังที่ EIC ได้ประเมินในเบื้องต้น ทั้งนี้ ธุรกิจที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ได้แก่ ธุรกิจบริการ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการใช้แรงงานเป็นสัดส่วนที่มาก และผลักภาระไปสู่ผู้บริโภคได้น้อย นอกจากนี้ SMEs ยังประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้แรงงานมีทักษะ เพราะไม่สามารถดึงแรงงานต่างด้าวเข้ามาทดแทนได้ อย่างไรก็ตาม SMEs ส่วนใหญ่ได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เพื่อลดต้นทุนแรงงานในระยะยาว
ส่วนด้าน AEC นั้น SMEs ส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจเรื่อง AEC ค่อนข้างน้อย และมองในแง่ดีว่า AEC จะไม่มีผลกระทบ หรือมีผลเชิงบวกต่อธุรกิจ โดยธุรกิจภาคการเกษตร และภาคการผลิตเห็นโอกาสส่งออกสินค้าไปขายในอาเซียน ส่วนธุรกิจค้าส่งค้าปลีก และภาคบริการ เห็นโอกาสในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ SMEs กังวลมากที่สุดคือ คู่แข่งในอาเซียนที่จะเข้ามาแข่งขันมากขึ้น ซึ่ง SMEs ส่วนใหญ่ได้มีการปรับตัวแล้ว เช่น หาแหล่งวัตถุดิบราคาถูกในอาเซียน และพัฒนาปรับปรุงระบบต่างๆ ในองค์กร เตรียมพร้อมรับมือกับการเข้าสู่ AEC
นอกจากการเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในด้านต่างๆ แล้ว SMEs ต้องมองโอกาสในการขยายการค้าการลงทุนจากหลากหลายรูปแบบ อาทิ การค้าชายแดน การดำเนินธุรกิจตาม global trend การขยายการลงทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
การค้าชายแดน (border trade) คือ อีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจใกล้ตัวที่ผู้ประกอบการ SMEs ไม่ควรมองข้าม โดยพบว่าลู่ทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ยังคงสดใสและมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ และสินค้าในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่มีการขยายตัวอย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ การค้าผ่านแดนก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะการส่งสินค้าผ่านแดนต่อไปยังประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีน ซึ่งเป็นตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีขนาดใหญ่และมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งหากในอนาคต การเชื่อมโยงกันของระบบขนส่งคมนาคมต่างๆ มีความสะดวกมากขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสทางการค้ากับจีนให้เติบโตสูงขึ้นตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนไทยก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มมูลค่าทางการค้าและการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในแง่การป้อนวัตถุดิบ สินค้าและบริการ หรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตในเขตเศรษฐกิจพิเศษเหล่านี้
แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในโลกยุคปัจจุบัน (global trend) นำมาซึ่งโอกาสทางธุรกิจที่หลากหลายและเปิดกว้างมากขึ้นสำหรับ SMEs ไม่ว่าจะเป็นโอกาสที่เกิดจากการพัฒนาของนวัตกรรมและเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยต่างๆ เช่น อิทธิพลของเครือข่ายสังคมออนไลน์ (social network) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการตลาดและพื้นที่ทางธุรกิจที่ช่วยให้ SMEs สามารถแข่งขันได้มากขึ้น รวมทั้งโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดในกลุ่ม emerging markets ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ตลอดจนความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่ม (niche market) เช่นกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม ที่นำมาซึ่งโอกาสสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจสีเขียว หรือแม้แต่โอกาสที่เกิดจากโครงสร้างของประชากรที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุ... เหล่านี้คือโอกาสทางธุรกิจก้อนโตและลู่ทางธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการ SMEs
นอกจากการค้าชายแดนและการหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ จาก global trend แล้ว SMEs น่าจะอาศัยโอกาสจากการเปิดเสรี AEC ในการขยายการค้าและการลงทุนไปในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของ SMEs ไทยอีกทางหนึ่ง โอกาสการค้าการลงทุนของ SMEs ไทยน่าจะอยู่ในกลุ่ม CLMV เป็นหลัก โดยธุรกิจที่จะเป็นโอกาสในการเข้าไปเจาะตลาด ได้แก่ ธุรกิจการค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเกี่ยวกับบ้าน วัสดุก่อสร้าง รวมถึงธุรกิจบริการก่อสร้าง การซ่อมบำรุงยานยนต์ ธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับการท่องเที่ยว ธุรกิจที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายกับสายการผลิตเพื่อการส่งออก แต่ในการพิจารณาแหล่งลงทุน ผู้ประกอบการควรศึกษาว่าธุรกิจของตนต้องการสร้างข้อได้เปรียบด้านใด เพื่อที่จะพิจารณาเลือกประเทศที่จะเข้าไปดำเนินธุรกิจได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนหาพันธมิตรทางธุรกิจ และเลือกประเภทธุรกิจให้สอดคล้องกับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนของประเทศนั้นๆ ซึ่งหากผู้ประกอบการเลือกลงทุนในธุรกิจที่ภาครัฐให้การสนับสนุนแล้ว จะช่วยลดอุปสรรคและทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอีกด้วย
คงถึงเวลาแล้วที่ SMEs ไทยต้องเปลี่ยนผลกระทบทางลบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ต้นทุนค่าแรงให้กลายเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาก้าวไปอีกระดับ ซึ่งความจริงแล้ว ก็มีช่องทางที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการขยายตัวของ SMEs อยู่มาก ทั้งจากการค้าชายแดนที่ขยายตัวสูง การจับกระแสตลาดใหม่ๆและพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมไปถึงโอกาสจากเวที AEC ทั้งนี้ เพราะการผลักภาระแบบเดิมๆ คงไม่สามารถทำได้ง่าย ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในระดับภูมิภาคและระดับโลก สินค้าที่ลูกค้าเคยต้องการอาจจะมีช่องทางหาได้มากขึ้นจากแหล่งอื่นๆ ระดับราคาสินค้าจึงมีแนวโน้มลดลงมากกว่าจะเพิ่มขึ้น นอกเสียจากจะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นมาเพื่อที่จะยกระดับราคา ในขณะเดียวกันก็คงถึงเวลาที่ SMEs ต้องออกจากตลาดเดิมๆ ในประเทศโดยหาช่องทางขยายรายได้ทางอื่นเพิ่มเติมเพื่อชดเชยอัตรากำไรที่ลดลงจากต้นทุนที่สูงขึ้น
.........................................................................
บทวิเคราะห์ฉบับนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในการร่วมจัดงานสัมมนาและ Focus group เพื่อพบปะหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ตลอดจนการตอบแบบสำรวจผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งครอบคลุมทุกภาคของประเทศไทย เพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงภาพรวมและศักยภาพของธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการแข่งขันในอนาคต นอกจากนี้ สำหรับผลการศึกษาเกี่ยวกับการค้าชายแดน ส่วนหนึ่งได้มาจากกรณีศึกษาซึ่งจัดทำโดยผู้เข้าร่วมโครงการ “พัฒนาทักษะเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่” (SCB Yong Entrepreneur Program – YEP) รุ่นที่12
SCB EIC ขอขอบพระคุณในความร่วมมือเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้
ที่มาภาพ : http://www.smesreport.com/sme-files/images/40399912.jpg
