คำต่อคำ “หมอวรงค์” โชว์หลักฐาน “ลอกคราบ” ระบายข้าว จีทูจี
"...เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของนายรัฐนิธ พบว่า มีเงินอยู่ในบัญชีเพียง 64.63บาท ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้มีอำนาจติดต่อซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทย..."

หมายเหตุ: เป็นรายละเอียดคำอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เรื่องโครงการรับจำนำข้าว ของ นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา
“...จากการตรวจสอบ พบพิรุธในการขายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน พบว่า มีการตั้ง 2 บริษัท คือ บริษัทจากจีน 1 แห่ง และบริษัทคนไทย 1 แห่ง โดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา บริษัทนี้ทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ 5 ล้านตัน ผู้ที่มีอำนาจของบริษัท คือ นายรัฐนิธ โสติกุล แต่มอบอำนาจให้นายนิมล รักดี ชาว อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน
จากการตรวจสอบยังพบว่านายรัฐนิธ มีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี เพิ่งผ่านการเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภารุ่นที่ 6 รวมทั้งเป็นนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า และเป็นผู้ช่วยส.ส.ในลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (ภรรยานายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง)
เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของนายรัฐนิธ พบว่า มีเงินอยู่ในบัญชีเพียง 64.63 บาท ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้มีอำนาจติดต่อซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทย
ส่วนข้อมูล นายนิมล รักดี จากการลงพื้นที่สอบถามจากโรงสีในพื้นที่ภาคกลาง ได้รับการเปิดเผยว่า นายนิมล มีชื่อในวงการว่าเสี่ยโจว เป็นมือขวา“เสี่ยเปี๋ยง” เจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งผูกขาดการซื้อข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ผมได้ตรวจสอบข้อมูลนายนิมล พบว่า นายนิมล เคยถูกป.ป.ช.ชี้มูลการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในนามบริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกริเทรดดิ้ง สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งการอ้างว่า ขายข้าวแบบจีทูจี ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูลให้ได้ราคาพิเศษ ไม่มีการระบายข้าวจริง เป็นการตั้งบริษัทผีมารับข้าว เพื่อนำข้าวไปเร่ขายให้กับโรงสี อาจจะได้ส่วนต่างสูง ตันละ 3,000 บาท บางล๊อตสูงถึง 5,000 บาท
อยากถามว่า เหตุใดรัฐบาลปล่อยให้บุคคลที่เคยมีความผิดเรื่องการทุจริต สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาซื้อข้าวในรัฐบาลชุดนี้อีก
ในการตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้ของพรรคประชาธิปัตย์ มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาลมาให้ดู เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ซึ่งข้อมูลช่วงวันที่ 28 กันยายน- 15 ตุลาคม ที่รัฐบาลคุยโวว่า จะมีการขายข้าวแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะ ทั้ง แคชเชียร์เช็ค การถอนเงิน หรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่ ในการจับโกหก
หากเป็นการค้าแบบจีทูจี จะต้องมีการเปิดแอล/ซี แต่ครั้งนี้กลับไม่พบว่ามีการเปิดแอล/ซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงิน รวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท
เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้บริษัทสยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสี ในลักษณะของไปเงินมา มีการพบแคชเชียร์เชค ออกในนามของ นายสมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เชค จำนวนกว่า 500 ล้านบาท
แต่เมื่อตรวจสอบที่อยู่ของนายสมคิด ตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร พบว่า ไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ และจากการสอบถามประชาชนบ้านใกล้เคียงทราบว่า นายสมคิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยา ที่เขตบางแค
ตรวจสอบพบว่าเป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมคลอง เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า สมคิด เป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า
เพราะนายสมคิด ได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี่ยง ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทสยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547
เมื่อตามข้อมูลไปต่อ พบข้อมูลบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนาม จำนวน 5 คน อาทิ นิมล เรืองวัน กฤษณา
นอกจากนั้นยังมีชื่อของนางเรืองวัน เปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชีและมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่า เมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่ผมได้ข้อมูล คือ บัญชีนิมล พบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกร ไป ธนาคารกรุงไทย หลายรายการ ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 กันยายน จำนวน 260 ล้านบาท วันที่ 28 กันยายน จำนวน 99 ล้านบาท วันที่ 3 ตุลาคม จำนวน 485 ล้านบาท วันที่ 5 ตุลาคม โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ตุลาคม โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้ อาจเข้าข่ายการฟอกเงินและมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
ประเด็นที่รัฐบาล ยอมนำหัวของบริษัทจีนมาทำสัญญาแบบจีทูจี เป็นเพราะว่าต้องการเลี่ยงการประมูลซึ่งมีราคาสูง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เมื่อทำเช่นนี้ จะค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท ทั้งที่ราคาข้าวในตลาดจะอยู่ที่กระสอบละ 1,500 - 1,555 บาท ดังนั้นเมื่อค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท จำนวนที่รัฐบาลว่าจะขายทั้งหมด 7.32 ล้านตัน จะมีค่าส่วนต่างถึง 2หมื่นล้านบาท
สำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดัง แทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. - 16 ก.ค. มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ ทั้งนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ ทราบข้อมูลและมีการสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในการกระทำทุจริต ตามที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล
ผมทราบข่าวว่าเสี่ยเปี๋ยง เป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการค้าข้าวและรัฐบาล โดยเมื่อต่างชาติจะซื้อข้าวไทย มีผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าให้ไปเจรจากับเสี่ยเปี๋ยง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเสี่ยเปี๋ยง มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี่ยงทำมาหากินแบบนี้

ตารางแสดงความสัมพันธ์ของกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าว
ในเวลาต่อมา นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) หลังการอภิปรายครั้งนี้ว่า จะหารือกับพรรคเพื่อพิจารณาถึงการยื่นข้อมูลเรื่องนี้ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบต่อไป
