“พิชาย” ชำแหละ ความล้มเหลวและความสำเร็จ? ของ “องค์การพิทักษ์สยาม”
ท่ามกลางความล้มเหลวของ "ม็อบ เสธ.อ้าย" ก็ยังมีความสำเร็จบางอย่า่งซ่อนอยู่?

ความตื่นตะหนกเกิดขึ้นกับ กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม(อพส.) ที่นำโดย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ในช่วงเช้าวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดสินใจใช้แก๊สน้ำตาสกัดการลุกฮือฝ่าด่านสกัดกั้น ผู้ชุมนุมหลายร้อยคนมีทั้งหวาดกลัวและเคียดแค้น เสียงกรีดร้องและเสียงโห่ร้องดังสลับตัดกันอื้ออึงและระงม
บ่ายของวันเดียวกันนี้ มาตรการความเด็ดขาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกิดขึ้นอีกครั้งบริเวณแยกมิสกวัน แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าเดิม มีประชาชนได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
สถานการณ์ความตึงเครียดดำรงอยู่จนถึงช่วงเย็น เสธ.อ้ายจึงได้ตัดใจและประกาศยุติการชุมนุม...
“พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) และแกนนำกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ วิเคราะห์การชุมนุมของกลุ่ม อพส.อย่างน่าสนใจ
การทำงานของรัฐบาล ชัดเจนว่าเป็นการใช้อำนาจเกินเลยจากความพอดี พบว่าภายในระยะเวลาเพียง 10 ชั่วโมง มีการยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมถึง 2 ครั้ง ที่สำคัญคือการยิงทั้ง 2 ครั้งนั้น รัฐบาลไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่ฟังขึ้นได้ นอกจากนี้ การยิงแก๊สน้ำตาในบริเวณที่มีพระสงฆ์อยู่เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ถือว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ไม่ได้เป็นไปตามที่รัฐบาลประกาศไว้
ปฏิบัติการแก๊สน้ำตามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างเจ้าหน้าที่กับคำสั่งของรัฐบาล สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ต้องการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยมาตรการที่ เด็ดขาด ส่งสัญญาณว่าจากนี้รัฐบาลจะใช้ความรุนแรงกับกลุ่มตรงข้ามหรือกลุ่มที่คัดค้าน
สำหรับ กลุ่มผู้เข้าร่วมการชุมนุม ภาพรวม คือกลุ่มที่ไม่ชอบและทนไม่ไหวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งประกอบด้วยหลายกลุ่มย่อย อาทิ กลุ่มที่มีความจงรักภักดี กลุ่มที่ทนไม่ได้กับการคอรัปชั่น กลุ่มที่ไม่พึงพอใจกับฝีมือการบริหารราชการของรัฐบาล
ซึ่งทั้งหมดนี้คาดหวังว่าการเดินทางมาร่วมชุมนุมจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้
หากวิเคราะห์ลงลึกในระดับมวลชนจะพบว่าผู้เข้าร่วมชุมนุมส่วนใหญ่เดินทางมาจากพื้นที่ต่างจังหวัด สำหรับคน กทม. นั้นมีน้อย นั่นเพราะประเด็นที่แกนนำใช้เพื่อเคลื่อนไหวยังไม่ตกผลึก
“กล่าวคือแม้ใช้ดึงคนบางส่วนที่เคยต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ กทม.ออกมาร่วมชุมนุมได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่ใน กทม.จะมองว่าสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นสุกงอม ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกมา ท้ายที่สุดเป้าหมายแรกของ พล.อ.บุญเลิศที่ต้องการให้จำนวนผู้ชุมนุมถึง 1 ล้านคน จึงไม่บรรลุผล” อ.พิชายระบุ
มองไปที่ ตัวแกนนำ ตลอดการโหมโรงจนถึงวันจัดการชุมนุมแกนนำไม่มีทิศทางที่ชัดเจน ทุกอย่างล้วนถูกปิดเป็นความลับ ด้วยเหตุนี้จึงสร้างความคลางแคลงใจให้กับมวลชนที่จะเข้าร่วมการเคลื่อนไหว ในขณะเดียวกันมาตรการสกัดกั้นของรัฐบาลก็ได้ผล ทั้งการทำมวลชนในพื้นที่ ทั้งการทำการข่าวเพื่อดิสเครดิตแกนนำ ทั้งการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความหวาดกลัว
นอกจากนี้ การที่ พล.อ.บุญเลิศกล่าวอยู่เสมอ ว่าจะชุมนุมไม่ยืดเยื้อ วันเดียวจบ และมีหมัดเด็ดที่สามารถล้มรัฐบาลได้สร้างความคาดหวังให้กับประชาชน
“แต่ทว่าท้ายที่สุดหมัดเด็ดที่ พล.อ.บุญเลิศเตรียมไว้กลับไม่เด็ดจริงตามที่กล่าวอ้าง เพียงเปิดคลิปเสียงที่ไม่ใช่ของใหม่ใดๆ คนจำนวนมากเคยเห็นแล้วผ่านสื่อมวลชน ตรงนี้จึงไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมและดึงมวลชนเข้ามาเพิ่มได้” อ.พิชายวิเคราะห์
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า อพส.มีปัญหาเรื่องการจัดการค่อนข้างมาก โดยเฉพาะความเข้าใจเรื่องปริมาณมวลชนผู้เข้าร่วมการชุมนุม กล่าวคือจากประวัติศาสตร์ของการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่อดีต จำนวนผู้ชุมนุมจะค่อยๆ พัฒนาไปตามสถานการณ์ เมื่อคนรับรู้ข่าวสารการชุมนุมและเกิดความรู้สึกร่วมก็จะทยอยออกมาสมทบเรื่อยๆ ฉะนั้นแน่นอนว่าวันแรกของการชุมนุมคนไม่ได้มามากที่สุด แม้เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ก็ยังมีการพัฒนาของสถานการณ์เกิดขึ้นเช่นกัน
“เป้าหมายต้องชัด กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องการขับไล่รัฐบาลทักษิณ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติต้องการให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยุบสภาในเวลาที่กำหนด แต่กลับไม่มีคำตอบจาก อพส.ว่าจะแช่แข็งประเทศอย่างไร จะด้วยวิธีรัฐประหารหรือไม่ ถ้าใช่ ประชาชนก็ยิ่งจะไม่เอาด้วย บทเรียนปี 2549 ก็ชัดเจนแล้วว่าการทำรัฐประหารไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้กับสังคมได้
“แม้ว่าจะปรากฏร่องรอยในช่วงท้ายของการชุมนุม คือ พล.อ.บุญเลิศบอกว่าจะขอให้ทหารออกมาช่วย แต่คำถามที่ตามมาคือจะช่วยยังไง ทหารเองก็คงไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรหากประชาชนทั้งประเทศไม่ให้การสนับสนุน โดยเฉพาะหากมองไปที่แรงต้านทหารแล้วในปัจจุบันยังคงมีมาก ทั้งจากกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งจากสายตาของต่างชาติที่มองเข้ามาในประเทศ ท้ายที่สุดทหารก็จะไม่ทำอะไรถ้าไม่จำเป็นจริงๆ”
อย่างไรก็ดี เมื่อประมวลหลายๆ ปัจจัยเข้าร่วมกันแล้ว การตัดสินใจยุติการชุมนุมของ พล.อ.บุญเลิศถือว่าเป็น การตัดสินใจที่ถูกต้อง นั่นเพราะสะท้อนให้เห็นว่าเป็นคนรักษาคำพูด คือมวลชนไม่ถึง 1 ล้านคนก็จะเลิกทันทีไม่ดันทุรัง ประกอบกับกระแสข่าวการใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐในช่วงเวลากลางคืน ยิ่งเป็นเหตุผลที่ไม่ควรเสี่ยงต่อไปอย่างยิ่ง
“กลางวันยังแรงขนาดนี้ หากชุมนุมต่อในเวลากลางคืน เมื่อคนเหลือน้อยก็ย่อมมีโอกาสที่จะถูกสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรงมีขึ้น ท้ายที่สุดก็ต้องยุติการชุมนุมอยู่ดี” อ.พิชายกล่าว
หากประเมินผลสัมฤทธิ์ของการชุมนุมของ อพส. ถ้ามองไปที่เป้าหมายคือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแน่นอนว่าเป็นความพ่ายแพ้ของแกนนำ ในทางกลับกันไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของประชาชน นั่นเพราะประชาชนเหล่านี้ก็ยังดำรงอยู่ มีตัวตนในสังคม และพร้อมกลับมาร่วมชุมนุมอีกทุกเมื่อหากมีการนำที่ดี
การดำรงอยู่ของกลุ่ม อพส.หลังจากที่พล.อ.บุญเลิศ ประกาศยุติการชุมนุมแล้ว เชื่อว่าความน่าเชื่อถือของกลุ่มจะหมดไป จากนี้คงจัดการชุมนุมอีกยาก เพราะประชาชนไม่ไว้วางใจแล้ว อย่างไรก็ดีแม้ อพส.จะหมดเครดิต แต่ประชาชนที่เคยมาร่วมกับ อพส.ยังคงมีจิตใจดวงเดิม คือต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง ดังนั้นในอนาคตหากสถานการณ์สุกงอม มีผู้นำที่ดี ย่อมมีโอกาสเกิดการชุมนุมใหญ่ได้ทุกเมือง และคนกลุ่มนี้ก็ยังจะออกมาร่วมอีกเช่นกัน
ทว่าการชุมนุมใหญ่ในอนาคตจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น? ต้องมีเงื่อนไขอย่างน้อย 2 ประการ ได้แก่
1.พฤติกรรมการบริหารราชการของรัฐบาลสร้างความเสียหายต่อสังคมโดยรวมและกระทบต่อความ รู้สึกของประชาชนโดยตรงและแท้จริง เช่น การเกิดวิกฤติการจ้างงาน ประชาชนตกงานเป็นจำนวนมาก ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อยๆ เงินในกระเป๋าซื้อของได้น้อยลงกว่าเดิมและหายากขึ้น
2.เมื่อพฤติกรรมการบริหารของรัฐบาลชัดเจนว่าไร้ประสิทธิภาพแล้ว เงื่อนไขที่สองก็จะเกิดขึ้นคือประชาชนจะรับรู้ได้โดยสามัญสำนึกว่าบ้านเมือง มีปัญหา สถานการณ์ก็จะสุกงอมขึ้นจนถึงขั้นประชาชนต้องแสดงออกถึงความไม่พอใจด้วยการชุมนุม
แม้ว่าจำนวนผู้ชุมนุมจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ แต่ทว่าความสำเร็จที่แท้จริงอาจไม่ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ชุมนุมก็เป็นได้ หัวใจสำคัญของการชุมนุมในอนาคตจึงควรพุ่งเป้าไปยัง “ประเด็น” ของการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม และมีความชอบธรรม
สำหรับความรุนแรงจากภาครัฐก็ไม่ใช่กุญแจสู่ชัยชนะของผู้ชุมนุมเสมอไป นั่นเพราะมีโอกาสเป็นได้ทั้งบวกและลบต่อการชุมนุม เห็นได้จากการชุมนุมของ อพส.ซึ่งสามารถตีความได้ 2 ด้าน คือ 1.เป็น ความจงใจของรัฐบาลที่จะสร้างกระแสความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นกับประชาชน ท้ายที่สุดก็ยิ่งทำให้ประชาชนไม่กล้าเข้ามาร่วมในการชุมนุมเพิ่ม 2.ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจะยิ่งสามารถเรียกคนเข้ามาร่วมชุมนุมได้อีกมาก แต่ที่สุดแล้วต้องอยู่บนเงื่อนไขที่สุกงอมเท่านั้น
“ระยะเวลาร่วม 10 ชั่วโมง ของการชุมนุม อพส.จะส่งแรงกระเพื่อมไปยังรัฐบาลได้อย่างแน่นอน นั่นเพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจะชนะในยุทธวิธี แต่ได้พ่ายแพ้ทางการเมืองอย่างชัดเจน เนื่องจากจากการแสดงออกถึงความรุนแรงจะยิ่งเพิ่มเงื่อนไขความขัดแย้ง ความเกลียดชัง ให้กับกลุ่มที่ไม่พึงพอใจในรัฐบาล
“ส่วนตัวเชื่อว่าในอนาคตจะต้องมีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลขึ้นอีก และไม่ว่าจะเป็นของกลุ่มใดหรือผู้ใดเป็นแกนนำ ย่อมได้เรียนรู้จากการชุมนุมของ อพส.แล้ว การชุมนุมครั้งต่อไปจะรู้จักวิธีของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น จะวางแผนเพื่อรับมือได้ จึงถือว่าการชุมนุมของ อพส.เป็นการทิ้งเชื้อได้สำเร็จ” อ.นิด้ารายนี้ฟันธงทิ้งท้าย...
