ประเด็นร้อนประจำสัปดาห์ “บทอาเศียรวาทมติชน”
หลากหลายความเห็น ต่อประเด็นร้อนๆ ประจำสัปดาห์ “บทอาเศียรวาทมติชน”

กลายเป็นประเด็นร้อน ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ สำหรับบท “อาเศียรวาท” ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ที่มีเนื้อความว่า
“วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง ลมแล้งในใจไห้โหยหาย
ข้าวกล้านาไร่ได้กลิ่นอาย ยามฝนขวนขวายมุ่งหมายมา
วันหนึ่งเมฆคลุ้มเป็นกลุ่มก้อน ลมร้อนลมเย็นเป็นปัญหา
พฤกษ์พุ่มชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร”
สำหรับคำว่า “อาเศียรวาท” พจนานุกรมฉบับมติชน พ.ศ.2547 ให้ความหมายว่า หมายถึง น. คำอวยพร
แต่ปฏิกิริยาต่อบทกลอนที่ตีพิมพ์อยู่ในหน้า 1 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2555 คือเกิดข้อสงสัยว่าเป็นบท “อาเศียรวาท” ตรงตามตัวอักษรหรือไม่ เนื่องจากใช้การอุปมาอุปมัย จนบางถ้อยคำมีความกำกวม แปลความได้หลายทาง
นำไปสู่ “รีทวิต-แชร์” ถามไถ่กันกระหึ่มสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึง “ตั้งกระทู้” ให้ถกเถียงกันผ่านเว็บบอร์ดดังหลายแห่ง
1 วันถัดมา กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน จึงต้องเผยแพร่คำชี้แจงบทอาเศียรวาทดังกล่าว มีเนื้อหาว่า
สืบเนื่องจากมีผู้ตั้งคำถามต่อบทอาเศียรวาท ที่ตีพิมพ์ในมติชน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมาว่ามีความหมายอย่างไร มีความกำกวมไม่เหมาะสมหรือไม่
ต่อไปนี้ คือคำอธิบายจากผู้ประพันธ์บทอาเศียรวาทดังกล่าว
"....อาเศียรวาทสองบทนี้ มีความหมายตรงตามตัวอักษรทุกประการ
ด้วยวิธีการเขียนบทกวีที่มีการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ จึงใช้วันฟ้าสว่างกับวันฟ้ามืดครึ้ม
วันฟ้าสว่างนั้นแม้แต่ลมแล้งในใจผู้คนที่โหยไห้ก็ยังหาย ข้าวกล้านาไร่ยังได้กลิ่นอายฝนที่มุ่งหมายมาตกต้องตามฤดูกาลย่อมหมายถึงความสว่างในพระบรมเดชาเมตตาบารมี ที่ปกเกล้าพสกนิกรและทุกสรรพสิ่ง อันเนื่องมาจากพระวิริยะอุตสาหะเช่นฟ้าฝน ชลประทาน หรืออ่างเก็บน้ำอันยังประโยชน์สม่ำเสมอแก่ไร่นา
ดังนั้น เมื่อมีวันมืดครึ้ม ซึ่งแม้แต่ธรรมชาติปัจจุบันเช่นที่เห็นกันก็ผันผวน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นเป็นปัญหา จึงมีหรือที่จะไม่นึกฝันถึงวันฟ้าสว่าง วันที่กระจ่างแจ้งร่มเย็นอยู่ในพระบรมโพธิสมภาร ว่าดีอย่างไร ดีขนาดไหน คือความหมายซึ่งอธิบายได้ตามตัวอักษรทุกวรรคตอน
อนึ่ง ที่ยังมีข้อสงสัยต่อความหมายในบาทสุดท้าย ที่ว่า"ฝันว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร" นั้น
หากติดตามข่าวสารบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลา ย่อมเห็นแล้วว่า ปัจจุบันมีปัญหามากมาย ที่ทำให้คนส่วนมากเดือดเนื้อร้อนใจ มีแต่คนส่วนมากเรียกร้องความสงบสุขในสังคม เพื่อจะได้ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน
เช่นนี้แล้ว ทำไมจึงจะไม่คิดถึงล่ะว่าวันที่ฟ้าสว่างกระจ่างแจ้งนั้นดีอย่างไร
วันที่ธรรมชาติดำเนินไปอย่างถูกต้องเหมาะสมตามฤดูกาล ไร่นาประชาชนสมบูรณ์ วันที่พระบรมเดชานุภาพแผ่ไพศาล ปราศจากฝุ่นละอองใดๆ มาแผ้วพาน"
กองบรรณาธิการหวังว่า คำอธิบายความหมาย สัญลักษณ์ และเจตนาของผู้ประพันธ์ น่าจะสร้างความกระจ่างและทำให้เกิดการตีความที่สอดคล้องกับความมุ่งหมายของผู้ประพันธ์
กองบรรณาธิการมติชน
6 ธันวาคม 2555

วันเดียวกัน นายฐากูร บุนปาน ผู้จัดการทั่วไปบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “มติชนวิเคราะห์” ทางมติชนทีวี ชี้แจงถึงบทอาเศียรวาทดังกล่าวซ้ำอีกครั้ง มีใจความว่า ที่ผ่านมาผู้ประพันธ์ได้ให้ความหมายในแง่ประชาชนร้องทุกข์ต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งสื่อให้เห็นความรักระหว่างประชาชนต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งสำนวนโวหารในลักษณะนี้เป็นเอกลักษณ์ของผู้ประพันธ์ซึ่งได้แต่งบทอาเศียรวาท ให้แก่ นสพ.มติชนมา กว่า 30 ปี ด้วยเจตนาที่ดี
นายฐากูร ยังบอกด้วยว่า การที่ไม่เปิดเผยนามของผู้ประพันธ์เป็นเรื่องปกติ เพราะผู้ประพันธ์อยู่เลยจุดที่ต้องการชื่อเสียงเงินทองแล้ว และทุกปีก็ไม่มีการเอ่ยนามของผู้ประพันธ์แต่อย่างใด แต่ยืนยันได้ว่าหากรู้จักผู้ประพันธ์ จะรู้ว่าผู้ประพันธ์ไม่เคยมีพฤติกรรมหรือเจตนาที่จะแต่งบทอาเศียรวาทในทางที่ไม่ดี
“ฝากให้คุณผู้ชมให้รับข้อมูลข่าวสารด้วยใจที่ไม่อคติ ขอให้มองบทอาเศียรวาทนี้และแปลความหมายตามความเป็นจริงด้วย” นายฐากูรกล่าว
แต่แม้จะมีการชี้แจงจาก “เครือมติชน” แต่ความคิดเห็นอันหลากหลายต่อบทอาเศียรวาทดังกล่าวก็ยังดำเนินต่อไป ทั้งในโลกออนไลน์และโลกออฟไลน์
อาทิ ความเห็นของ ดร.อนันต์ เหล่าเลิศวรกุล อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อพิจารณาเนื้อหาโดยละเอียดแล้วพบว่าผู้ประพันธ์มีเจตนาที่จะส่อเสียด หรือก่อให้เกิดการตีความที่แตกต่างกันไปมากกว่าจะเป็นถวายพระพรตามปกติ เหมือนที่ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ที่คนอ่านแล้วจะเข้าใจความหมาย ถือเป็นการกระทำที่แยบยลของผู้ประพันธ์ เช่น คำว่าฟ้า ในวรรคที่หนึ่งดูเหมือนจะมีความหมายถึงในหลวง แต่พอวรรคท้ายกลับมีการตั้งคำถามว่าฟ้าดีอย่างไร หรือคำว่าฝนในวรรคที่สี่ ซึ่งน่าจะทำให้ลมแล้งหายไปกลับกลายเป็นปัญหาในวรรคที่ห้า
ดร.อนันต์ กล่าวอีกว่า บทประพันธ์นี้ตั้งแต่วรรคหนึ่งถึงวรรคสี่ไม่มีปัญหา เพราะเหมือนจะสื่อว่าในหลวงคือฟ้าสว่างที่นำเอาฝนมาให้ข้าวในนาได้งอกงาม แต่พอเริ่มวรรคห้าที่ว่าลมร้อนลมเย็นเป็นปัญหา จึงเกิดคำถามว่าแล้วฝนที่มาจากฟ้าหรือจากในหลวง เหตุใดจึงทำให้เกิดปัญหา วรรคที่ห้านี้พลิกความหมายที่ปูมาตั้งแต่วรรคหนึ่งถึงวรรคสี่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นว่าฟ้าสว่างทำให้เกิดปัญหา จากนั้นก็ตามด้วยพฤกษ์ชอุ่มช้ำท่วมน้ำตา กลายเป็นต้นข้าวถูกน้ำท่วมซ้ำ สุดท้ายก็ตั้งคำถามว่าฟ้าสว่างดีอย่างไร ไม่มีตรงไหนที่จะบอกว่าเป็นบทประพันธ์ที่ถวายพระพรในหลวงเลย
"บทประพันธ์นี้หากนำออกไปตีพิมพ์เดี่ยวๆโดยตัดคำว่าอาเศียรวาทและภาพในหลวงออกไป คนอ่านจะไม่รู้เลยว่านี่คือบทประพันธ์ถวายพระพรในหลวง ยิ่งหากดูบริบทอื่นๆประกอบ เช่น บทความหรือข้อเขียนต่างๆในหนังสือพิมพ์มติชนที่มีแนวทางเช่นนี้ ก็จะยิ่งเห็นว่าบทประพันธ์เจตนาอย่างไร " ดร.อนันต์ กล่าว
ขณะที่ น.ส.กัลยกร นาคสมภพ อดีตดารา-นักร้อง ชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความบทเฟซบุ๊คส่วนตัว ว่า เมื่อใดที่กำกวม แสดงว่ามีความแฝง แต่การเทิดทูนในหลวง ไม่มีความจำเป็นต้องแฝง แถมฝีมือขนาดนี้ หากอยากเขียนดีๆ ก็คงไม่ยาก
พร้อมกันนี้ยังได้เรียบเรียงกลอนดังกล่าวใหม่ว่า
"วันหนึ่งฟ้าสว่างกระจ่างแจ้ง ดั่งแดนดินที่แห้งแล้งกลับสดใส
ข้าวกล้านาไร่ต่างผลิใบ สายฝนชโลมใจมุ่งหมายมา
วันหนึ่งเมฆคลุ้มคลุมนคร ธ คลายร้อนผ่อนเย็นสิ้นปัญหา
ทรงสถิตในดวงใจปวงประชา เห็นแล้วว่าฟ้าสว่างเป็นอย่างไร
....ไม่กำกวมใช่มั้ยคะ?
เรียบเรียนกลองใหม่โดย: ศิลป์ธรณ์ สันติธรณ์ & กัลยกร นาคสมภพ”
ขณะเดียวกันยังมีกวีสมัครเล่นจำนวนมากแต่งกลอนโจมตีมติชน กระทั่งช่วงดึกวันที่ 6 ธ.ค.ต่อเนื่องจนถึงช่วงเช้าวันที่ 7 ธ.ค. บนหน้าเฟซบุ๊ค-ทวิตเตอร์ เต็มไปด้วยกลอนลักษณะดังกล่าว
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักสื่อสารมวลชนอาวุโส ที่ประกาศตัวว่าเป็นอดีตผู้ซื้อหนังสือพิมพ์มติชน ก็เขียนข้อความลงเฟซบุ๊คส่วนตัว ถึงกรณีดังกล่าว
"วรรณศิลป์อันซับซ้อน จาก “มติชน”
หนังสือพิมพ์มติชนปัญหาความน่าเชื่อถือในสังคมประชาธิปไตย จะคิด.จะเขียน.จะชี้แจงความคิดข้อเขียนอย่างไรสาธารณชนจึงจะรับว่าเชื่อถือได้?
หนังสือพิมพ์มติชนชี้แจงโดยการกล่าวโทษว่าสาธารณชนเข้าใจข้อเขียนของมติชนผิดไปเอง และว่ามติชนมิได้สื่อสารอะไรผิดพลาด ความผิดจึงตกอยู่กับสาธารณชน
ในยามที่การสื่อสารจากมติชนซับซ้อนมากขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของสาธารณชนที่จะต้องพัฒนาการศึกษาของตนเองให้รู้เท่าทันผู้ถือหุ้นทางภูมิปัญญาและเข้าถึงวรรณศิลป์ของหนังสือพิมพ์มติชนให้จงได้ ... หากจะยังคงเป็นผู้รับข่าวสารจากกลุ่มมติชนอยู่ต่อไป.”

ด้าน ดร.เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว มีใจความว่า
"บนเส้นทางไปสู่ชุมชนนคร
ข่าวคราววันสองวันนี้ทำให้ผมนึกถึงตอนหนึ่งของนิยายปรัชญาการเมืองเรื่องการิทัตผจญภัย.....
การิทัตตั้งข้อสังเกตหลังจากออกจากประโยชน์นคร (ซึ่งเน้นหลักประโยชน์สุขสูงสุดของคนจำนวนมากที่สุด) มาแล้วไปได้กลิ่น อาหารนานาชาติบนท้องถนนชุมชนนครว่า ประโยชน์นครนั้นปลอดกลิ่น เพราะทำแต่อาหารบำรุงสุขภาพแต่กลิ่นรสไม่เอาไหน เช่น สลัดผักเซเลรี่และขนมปังโฮลวีต
ทว่าหากดูจากประสบการณ์ที่เขาเผชิญต่อมาในชุมชนนครอันเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ชุมชนหลายหลากมากมาย แต่ละเอกลักษณ์ก็ถือหลัก "ของใครของมัน" และ "เคารพกันและกัน" และ "ห้ามก้าวร้าวล่วงเกิน" แต่ละชุมชนคอยหวาดระแวงตลอดเวลาว่าใครจะมาดูหมิ่นเอกลักษณ์ของตัว รวมทั้งถือสาเรื่องลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขนาด "ริบเอกลักษณ์ทางสังคมและร่างกายกัน" เลยแล้ว
ก็คงต้องสรุปว่าชุมชนนครนั้นปลอดเสียง ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากสนทนาปราศรัยกับใครมากความ มิพักต้องพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์ เพราะกลัวจะผิด "ประมวลกฎการพูด" หรือไปก้าวร้าวล่วงเกินลบหลู่ดูหมิ่นเอกลักษณ์ใครเข้าโดยไม่เจตนา
และในชุมชนนครนั้น เจตนาของผู้พูดผู้แต่งไม่สำคัญ ยึดเอาการตีความของผู้อ่านผู้ฟังเป็นสรณะ แล้วตัดสินวินิจฉัยตามนั้นเลย!"
เวลาเดียวกัน ก็มีคนบางส่วนออกมาปกป้องหนังสือพิมพ์มติชน โดยกล่าวว่าคนที่ออกมาโจมตีมติชน มี "อคติ" จึงตีความบทอาเศียรวาทดังกล่าวไปใน "ทางลบ"
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายของวันที่ 7 ธันวาคม 2555 มีประชาชนราว 20 คน จากกลุ่มเฟซบุ๊คคนรักในหลวงและสาโรจน์ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติ เดินทางนำพวงหรีดมาวางหน้าสำนักงานหนังสือพิมพ์มติชน เพื่อเรียกร้องให้ผู้แต่งบทอาเศียรวาทที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 5 ธันวาคม 2555 ออกมาแสดงความรับผิดชอบ เพราะมีการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม

“บทอาเศียรวาทของมติชน” จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียงร้อนๆ ในสังคมไทยประจำสัปดาห์ !!!
