“อย่าแช่แข็งวรรณกรรมเพศที่ 3” เปิดใจ “ฉันทลักษณ์” แกนนำต้าน SE-ED
“คนทั่วไปเห็นว่าการเป็นคนรักเพศเดียวกัน มันเป็นความเลวร้าย แต่ซีเอ็ดไม่รู้หรอกว่าการทำแบบนี้มันทำให้ภาคสังคมเกิดการรังเกียจเดียดฉันท์ต่อกลุ่มคนรักเพศเดียวกันเพิ่มขึ้นไปอีก”

จากกรณีที่แผนกสายส่งของ บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือถึงสำนักพิมพ์คู่ค้า ที่ฝากบริษัทซีเอ็ดฯจัดจำหน่าย เรื่อง “มาตรฐานการรับจัดจำหน่ายหนังสือวรรณกรรมโรแมนติก อิโรติก” โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า ขอให้ช่วยกันปรับแก้ไม่ให้มีเนื้อหาสื่อไปในทาง “ชายรักชาย หญิงรักหญิง หรือรักร่วมเพศ” ที่สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มคนเพศที่ 3 และคนที่คิดว่าบริษัทซีเอ็ดฯมีอคติและปิดกั้นเสรีภาพทางเพศ
นำไปสู่การล่ารายชื่อผ่านสื่อสังคมออนไลน์เพื่อกดดันให้บริษัทซีเอ็ดยกเลิกจดหมายดังกล่าว โดย “คณะรณรงค์เพื่อยกเลิกข้อกำหนดไม่จำหน่ายหนังสือ ชายรักชาย/หญิงรักหญิง และวรรณกรรมโรแมนติก อิโรติกของบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด(มหาชน)”
นักเขียนสาวอยา่ง น.ส.ฉันทลักษณ์ รักษาอยู่ หรือชื่อในเฟซบุ๊ค “มน. รักแต่แมว” ที่เป็น 1 ในแกนนำคณะรณรงค์ฯ ก็ใช้เฟซบุ๊คส่วนตัวเป็นช่องทางหลักในการระดมผู้ที่เห็นพ้อง มาร่วมกันเคลื่อนไหวกดดันให้เชนสโตร์หนังสืออันดับหนึ่งของเมืองไทยยกเลิก “จดหมายอื้อฉาว” ฉบับดังกล่าว อย่างแข็งขัน
แม้เวลาต่อมา ผู้บริหารบริษัทซีเอ็ดฯจะออกแถลงการณ์ชี้แจงเนื้อหาจดหมายดังกล่าว พร้อมขออภัยต่อสาธารณชนที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
แต่ความเคลื่อนไหวเพื่อผลักดันเรื่องความเท่าเทียมทางเพศในแวดวงวรรณกรรมก็ยังเดินหน้าต่อไป…
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สัมภาษณ์พิเศษ น.ส.ฉันทลักษณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยเธอเริ่มต้นกล่าวถึงแถลงการณ์ของบริษัทซีเอ็ดฯ ว่า ข้อกำหนดในจดหมายดังกล่าวไม่มีความชัดเจน แม้ว่าทางบริษัทซีเอ็ดฯ จะอ้างเรื่องการจัดเรตติ้ง แต่ความจริงแล้วมันไม่เกี่ยวข้องกันเลย ข้อเรียกร้องของเราคือไม่ต้องการให้ปิดกั้น ต้องการให้ยกเลิกข้อกำหนดที่เป็นอคติต่อเพศที่ 3 ไม่ใช่เรื่องการกำหนดเรตติ้ง
“ถ้าจะไม่รับหนังสือประเภทดังกล่าวมาขาย พร้อมกับห้ามคนรักเพศเดียวกันเข้า มันก็ชัดเจน แต่ทีนี้คุณห้ามขายหนังสือ แต่ไม่ได้ห้ามคนรักเพศเดียวกันไปซื้อ มันคืออะไร มันเป็นข้ออ้างที่แปลกมาก”
น.ส.ฉันทลักษณ์ กล่าวว่า คนส่วนใหญ่ที่ออกมาร่วมรณรงค์ รวมถึงร่วมล่ารายชื่อนั้น เขาตระหนักถึงสิทธิของตนเอง และมองว่าเป็นเรื่องของการสร้างอคติและเป็นประเด็นหลักที่ส่งผลกระทบต่อตนเอง เลยจำเป็นต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ ซึ่งจริงๆ แล้วอยากจะบอกว่าหนังสือดังกล่าวเน้นขายบุคคลเฉพาะกลุ่มเท่านั้น
“คนทั่วไปเห็นว่าการเป็นคนรักเพศเดียวกัน มันเป็นความเลวร้าย แต่ซีเอ็ดไม่รู้หรอกว่าการทำแบบนี้มันทำให้ภาคสังคมเกิดการรังเกียจเดียดฉันท์ต่อกลุ่มคนรักเพศเดียวกันเพิ่มขึ้นไปอีก”
น.ส.ฉันทลักษณ์ กล่าวอีกว่า วรรณกรรมเพศที่ 3 ไม่ได้มีฉากร่วมรักแบบโจ๋งครึ่มอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ซึ่งสังคมมักมีความเชื่อที่ว่า คนกลุ่มนี้มักหมกมุ่นทางเพศ สำส่อน เลยนำมาซึ่งการมองหนังสือดังกล่าวต้องมีฉากร่วมเพศแบบอลังการมากกว่าหนังสือรักต่างเพศ เลยจำเป็นต้องกำจัดออกไปจากสังคม แต่ลืมคิดไปว่าเพศที่ 3 ขณะนี้เข้ามามีบทบาทในวัฒนธรรมไทยอยู่เยอะ เห็นได้จากกระเทยที่โด่งดังไปคว้ารางวัลหลากเวทีที่ต่างประเทศ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชฎา-ลายกระหนกอีกต่อไป ซึ่งบริบททางวัฒนธรรมควรหลากหลาย ยอมรับและเปิดกว้าง ไม่เช่นนั้นมันก็จะถูก “แช่แข็ง” อยู่อย่างเดิม
“ถ้าห้ามไม่ให้มีฉากร่วมเพศในวรรณกรรม ก็ต้องใช้มาตรฐานเดียวกันในการบังคับใช้ ไม่ใช่มาเพ่งเล็งแต่เพศที่ 3”
แกนนำคณะรณรงค์ฯ ยังกล่าวว่า อยากให้สังคมตระหนักว่า วรรณกรรมเกี่ยวกับคนรักเพศเดียวกัน เนื้อหาไม่ต่างอะไรกับวรรณกรรมรักโรแมนติกต่างเพศทั่วไป ต่างกันแค่ตัวละครเท่านั้น ที่สำคัญคืออยากให้ใช้มาตรฐานเดียวกัน โดยปัจจุบันกระบวนการจัดเรตติ้งที่ไม่มีความชัดเจน
“ข้อกำหนดดังกล่าว กระทบต่อเสรีภาพทางการเขียน ซึ่งเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ถ้าคุณไม่สามารถเขียนในสิ่งที่คิดได้ ทุกอย่างมันก็จบ เสรีภาพทางการเขียนของไทย ยังขัดแย้งกับข้อกฎหมายอยู่เยอะมาก ซึ่งจริงๆ แล้ว อยากให้คนสามารถอ่านหนังสือได้หลากประเภท แบบอารยะประเทศเขาทำกัน”
น.ส.ฉันทลักษณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้วันนี้ เสียงเหล่านี้จะดังไม่พอ และไม่สามารถทำให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพในการเขียน และสิทธิของกลุ่มคนรักเพศเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม ทัศนะจากกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มนี้ จะเป็นแรงขับเคลื่อนขนานใหญ่ในสังคมเสรีประชาธิปไตย ที่ทุกคนล้วนให้เกียรติแก่สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน
