เฉลยที่มา “เนื้อหาอื้อฉาว” ว่าด้วยคนรักร่วมเพศ ใน จม.ร้อน ของ “ซีเอ็ด”
"เวลานี้ทุกคนมองว่าบริษัทซีเอ็ดฯ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม ซึ่งเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น เพราะเราต้องการเป็นร้านหนังสือที่เหมาะกับคนทั่วไป ทุกเพศ ทุกวัย และตามยุคสมัย แต่อะไรที่ผิดกฎหมาย บริษัทซีเอ็ดฯ คงไม่ไปทำอยู่แล้ว"

แค่ “จดหมายสรุป (memo) ฉบับเดียว” ทำให้บริษัท ซีเอ็ด ยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) ถูกต่อว่าและท้าทายจากผู้คนในโซเชียลมีเดีย
จาก “ข้อความสั้นๆ” ที่แผนกสายส่งบริษัทซีเอ็ดฯ ขอความร่วมมือจากสำนักงานพิมพ์ จำนวน 6 สำนักพิมพ์ ที่ฝากบริษัทซีเอ็ดฯ จัดจำหน่าย ให้ช่วยตรวจสอบ คัดกรอง ปรับแก้ไม่ให้มีเนื้อหา “ชายรักชาย หญิงรักหญิง หรือเป็นลักษณะของการรักร่วมเพศ” ได้ทำให้เชนสโตร์หนังสือหมายเลข 1 ของเมืองไทย ถูกตั้งข้อหาว่า “มีอคติต่อกลุ่มคนเพศที่ 3”
กระทั่ง ผู้บริหารของบริษัทซีเอ็ดฯ ต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงเนื้อหาในจดหมายดังกล่าว ว่าเป็นการเขียนสรุปในสิ่งที่ได้พูดคุยกันไปแล้ว จึงใช้ข้อความสั้นๆ ทำให้ประชาชนอ่านแล้วไม่สบายใจ “จึงต้องขออภัยที่บริษัทซีเอ็ดฯ ได้ทำให้เกิดความไม่สบายใจดังกล่าวขึ้น”
(อ่าน เปิด! แถลงการณ์"ซีเอ็ด"ชี้แจงกรณี จม.ฉาว ยันไม่มีนโยบายเหยียดเพศ)
อย่างไรก็ตาม น้อยคนจะรู้ว่า “เบื้องหลัง” การออกจดหมายร้อนฉบับดังกล่าวของบริษัทซีเอ็ดฯ มาจากเหตุผลอะไร? และตั้งอยู่บนแนวคิดอะไร?
โดยเฉพาะในส่วนข้อกำหนดทั้ง 6 ข้อ ที่บริษัทซีเอ็ดฯ ขอให้ผู้ฝากจัดจำหน่ายตรวจสอบ คัดกรอง ปรับแก้ไมให้มีเนื้อหาสื่อไปใน 6 ข้อ ดังนี้
“1.วรรณกรรมที่มีลักษณะของชายรักชาย หญิงรักหญิง เป็นลักษณะของการรักร่วมเพศ
2.สื่อไปในทางขายบริการทางเพศ เช่น นักเรียน, นักศึกษา, Sideline
3.ภาษาและเนื้อหาที่ใช้ หยาบโลนไม่สุภาพ ลามก, สัปดน, ป่าเถื่อน, วิปริต, ซาดิสต์, หยาบคาย ฯลฯ
4.เนื้อหามีการบรรยายถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างโจ่งแจ้ง และในที่สาธารณะ วิปริต ผิดธรรมชาติที่มนุษย์พึงเป็น เช่น ลิฟท์, น้ำตก, ลานจอดรถ ฯลฯ
5.เนื้อหาที่มีการทารุณกรรมทางเพศทั้งที่เป็น ภรรยาและมิใช่ภรรยา หรือ ทารุณต่อเด็ก, เยาวชน, สตรีและเครือญาติ อันบ่งบอกถึงการขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรมอันดี
6.เนื้อหาที่บรรยายขั้นตอนการมีเพศสัมพันธ์ที่เห็นภาพ และบรรยายให้เห็นภาพทางกายภาพของอวัยวะเพศอย่างชัดเจน จนทำให้สามารถเป็นเครื่องมือยั่วยุทางเพศ ทำให้เกิดความต้องการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ถูกคน ไม่ถูกที่ และไม่ถูกเวลา”
(อ่าน ค้าน! ซีเอ็ดแบนหนังสือรักร่วมเพศขึ้นหิ้ง ชี้เหวี่ยงแห-มีอคติ)
คนที่จะ “ไขคำตอบ” นี้ได้ดีที่สุด ย่อมไม่พ้นคนวงใน ที่รู้ที่มาที่ไปของจดหมายร้อนดังกล่าวอย่างละเอียด อย่าง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลบริษัทซีเอ็ดฯ ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากผู้บริหารให้เป็นผู้ชี้แจงในเรื่องนี้ในฐานะตัวแทนบริษัทซีเอ็ดฯ
นายวิโรจน์ ปูพื้นก่อนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการปฏิบัติงานในส่วนของแผนกจัดจำหน่าย หรือสายส่งของบริษัทซีเอ็ดฯ ที่เป็นส่วนของการขายส่ง ไม่เกี่ยวข้องกับซีเอ็ด บุ๊ค เซ็นเตอร์ หรือร้านหนังสือ ที่เป็นส่วนของการขายปลีก ดังนั้นที่บอกว่าร้านหนังสือซีเอ็ด ไม่ขายวรรณกรรมรักร่วมเพศ จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงนัก เพราะเป็นคนละส่วนกัน เนื่องจากสายส่งซีเอ็ดส่งหนังสือให้กับร้านหนังสือทั่วๆ ไป ทั้งซีเอ็ด นายอินทร์ บีทูเอส ฯลฯ
“แม้ว่าทั้งสายส่งและร้านหนังสือ จะมีหน่วยตรวจสอบของตัวเอง แต่โดยเฉลี่ยจะมีหนังสือใหม่เข้ามาวันละ 30-40 ปก หรือในช่วงพีคสุดๆ ถึง 50 ปกก็มี ทำให้ไม่มีทางที่จะคัดกรองเนื้อหาได้หมด เมื่อสำนักพิมพ์ที่ฝากจัดจำหน่ายระบุมาว่า หนังสือดังกล่าวอยู่ในประเภทวรรณกรรมเด็ก เราก็ต้องให้เกียรติและเชื่อตามนั้น แต่ระยะหลังมามีปัญหาว่า หนังสือที่ส่งจากสายส่งของซีเอ็ด ถูกร้องเรียนบ่อยครั้งว่าเนื้อหาไม่ตรงกับปก ผมไม่อยากใช้คำว่าสอดไส้ แต่ระยะหลังมีการร้องเรียนเช่นนี้เข้ามาที่บริษัทอยู่เรื่อยๆ ประกอบกับกระทรวงวัฒนธรรมเริ่มขับเคลื่อนเรื่องการทำเรตติ้งหนังสือขึ้นมา เพราะถือว่าล้าหลังกว่าการทำเรตติ้งภาพยนตร์หรือโทรทัศน์อยู่มาก เมื่อซีเอ็ดถูกขอความร่วมมือมา จึงต้องเริ่มจากการจัดหมวดหมู่วรรณกรรมให้ถูกประเภทเสียก่อน นำไปสู่การออกจดหมายฉบับดังกล่าว”
นายวิโรจน์ กล่าวว่า หลักในการออกจดหมายดังกล่าว มีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อ 1.คุ้มครองผู้บริโภค ให้ได้หนังสือที่มีเนื้อในตรงกับปก แต่เรียกว่าเป็นการแบ่งหมวดหมู่ (catagorize) ไม่ใช่การคัดกรอง (filter) และ 2.ป้องกันไม่ให้บริษัทซีเอ็ดฯ กลายเป็นจำเลยร่วม หากมีการกระทำผิดกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 หรือประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 เรื่องการเผยแพร่สื่อลามกอนาจาร ซึ่งทั้ง 2 เรื่อง ต้องขอความร่วมมือจากสำนักพิมพ์ที่เป็นต้นทางด้วย เพราะทั้งสายส่งหรือร้านของบริษัทซีเอ็ดฯ แม้อยากจะเข้าไปดูแล แต่คงไม่มีกำลังทำเองได้ทั้งหมด
“แต่ปัญหาที่เกิดจากจดหมายดังกล่าว คือมีการนำ 2 เรื่อง ทั้งการแบ่งหมวดหมู่หนังสือ และเรื่องผิดกฎหมายสิ่งพิมพ์ลามกอนาจารไปไว้ในเรื่องเดียวกัน ออกมาเป็นข้อกำหนดทั้ง 6 ข้ออย่างที่เห็น และเนื่องจากจดหมายดังกล่าวเป็นจดหมายกึ่งภายใน จึงใช้ข้อความที่รวบรัด ทำให้คนอ่านเข้าใจผิด เรื่องนี้จึงต้องโทษตัวเราเอง และขอโทษทุกคนที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ แต่ยืนยันว่าซีเอ็ดไม่มีนโยบายกีดกันทางเพศ เหยียดเพศ หรือปิดกั้นเสรีภาพใดๆ"

(รูปภาพที่กลุ่มคัดค้านใช้ในการรณรงค์ล่าชื่อเรียกร้องให้บริษัทซีเอ็ดฯ ยกเลิกจดหมายฉบับดังกล่าว)
นายวิโรจน์ยังกล่าวยืนยันว่า ร้านหนังสือซีเอ็ดเป็น “ร้านหนังสือเสรี” ด้วยเราต้องการขายหนังสือทุกแนว ทุกเพศ ทุกวัย และทุกรสนิยมทางเพศ บริษัทซีเอ็ดฯ ไม่เคยกำหนดว่าหนังสือใดเข้าร้านได้-ไม่ได้ ยกเว้นเป็นหนังสือมี่มีการละเมิดลิขสิทธิ์หรือมีการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะมาตราใด นอกจากนี้ ในบริษัทซีเอ็ดฯ ไม่ว่าจะในแผนกใดๆ ก็จะมีคนเพศที่ 3 และคนพิการอยู่เสมอ เพราะเราพิจารณาคนจากการทำงานมากกว่าปัจจัยอื่นๆ
เมื่อถามว่าในฐานะเชนสโตร์ขายหนังสืออันดับ 1 ต้องมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลวัฒนธรรมของสังคมไทยด้วยหรือไม่? นายวิโรจน์ กล่าวว่า เวลานี้ทุกคนมองว่าบริษัทซีเอ็ดฯ เป็นพวกอนุรักษ์นิยม ซึ่งเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น เพราะเราต้องการเป็นร้านหนังสือที่เหมาะกับคนทั่วไป ทุกเพศ ทุกวัย และตามยุคสมัย แต่อะไรที่ผิดกฎหมาย บริษัทซีเอ็ดฯ คงไม่ไปทำอยู่แล้ว เนื่องจากเราเป็นนิติบุคคลซึ่งภายอยู่ใต้กฎหมาย ส่วนใครจะเห็นด้วย-ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนั้นๆ ก็เป็นอีกเรื่อง หากหนังสือเล่มใดขายไม่ได้ การซื้อของลูกค้าจะเป็นตัวบอกเราเอง
“ถามว่าร้านหนังสือซีเอ็ดขายหนังสือวาบหวิวหรือไม่ ก็มีขาย แต่เขาทำถูกหมวดไหม ถูกฮะ หน้าปกวาบหวิว ข้างในก็วาบหวิว มันก็โอเค สมควรแก่เหตุ ขอให้มันอยู่ถูกที่ ถูกกาลเทศะ ตามที่เป้าหมายของมันควรจะเป็น”
ซักว่าถ้าข้างในกับปกเหมือนกันกระทั่งหนังสือโป๊ก็ขายที่ร้านหนังสือซีเอ็ดได้? นายวิโรจน์ กล่าวว่า ถ้าหนังสือโป๊ขายไม่ได้อยู่แล้ว เพราะผิดกฎหมาย แต่ถ้าเป็นอิโรติกก็ต้องมาดูอีกว่า อิโรติกขนาดไหน โดยใช้ “คำพิพากษาของศาลฎีกา” ที่เคยตัดสินเกี่ยวกับคดีสิ่งพิมพ์ลามกอนาจารไว้เป็นแนวทาง ใน 2 ประเด็น 1.ต้องไม่ใช้คำหยาบคายในการเรียกอวัยวะเพศ กับ 2.ต้องไม่มีรูปประกอบ ที่เห็นภาพอวัยวะเพศชัดเจน
“สังเกตไหมว่า หนังสือดาราหลายเล่ม เราก็ขายเกือบทุกเล่ม ยกเว้นเล่มที่ไม่มีเซ็นเซอร์” นายวิโรจน์ยกตัวอย่าง

(นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร)
ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคลบริษัทซีเอ็ดฯ ยังกล่าวถึงเสียงวิจารณ์ที่ลุกลามจากเนื้อหาสั้นๆ ในจดหมาย จนทำให้บริษัทที่มีร้านหนังสือสาขากว่า 400 ร้านทั่วประเทศ ถูกกล่าวหาว่า มีอคติทางเพศ เพราะ “แบนวรรณกรรมเพศที่ 3” ว่า บริษัทซีเอ็ดฯ ก็ไม่สบายใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถามว่าเราถอยหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ เพราะเป็นเรื่องที่เราบกพร่องเอง จึงไม่รู้จะสู้ไปทำไม ยอมรับว่าบกพร่องในการเขียน แต่อยากให้รู้เจตนาว่าเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
นายวิโรจน์ ยังวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ กระแสความไม่พอใจซีเอ็ดในโซเชียลมีเดียรุนแรงว่า น่าจะมาจากการที่บริษัทซีเอ็ดฯ เป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจประเภทนี้ เวลาขยับอะไรก็มักจะมีผู้ได้ประโยชน์และมีผู้เสียประโยชน์ นอกจากนี้ โซเชียลมีเดียยังเป็นสื่อที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย และสร้างกระแสได้เร็วมาก ทั้งจากการแชร์หรือรีทวิต แต่เมื่อมีเสียงวิจารณ์เข้ามา ทางเราก็ต้องนำมาสอบทานซ้ำ และปรับปรุงแก้ไขหากพบว่า เป็นสิ่งที่เราบกพร่องจริง เพราะต้องยอมารับว่า ไม่มีใครถูก 100% อยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ นายวิโรจน์ยังยอมรับว่าอาจจะต้องมีการมอบหมายคนซึ่งมีหน้าที่ชี้แจงกระแสต่างๆ ในโซเชียลมีเดียอย่างชัดเจน โดยเชื่อว่าหากคนได้รู้ความจริง มากกว่าสิ่งดราม่า กระแสความไม่พอใจต่างๆ จะเริ่มลดลง
“คือเราถูกสอนมาตลอด ว่าคนที่ไล่พวกเราออกได้ทุกคน ก็คือผู้บริโภคและสังคม ถ้าเขารวมตัวกันไม่ซื้อของจากเรา ก็ตกงานกันหมดตั้งแต่แม่บ้านยังกรรมการผู้จัดการ ดังนั้นเราจะไม่ไปทานกระแส แล้วจะไม่โกรธต่อเสียงวิจารณ์ต่างๆ หากผมว่าผิดจริงก็พร้อมขอโทษ ขออภัย เพราะไม่มีใครทำถูกต้องได้ตลอดเวลา ผมเชื่อว่าถ้าซีเอ็ดทำเช่นนี้ได้ก็จะมีที่ยืนในสังคม และไม่ถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย สำคัญที่สุดคือซีเอ็ดไม่เคยเงียบเนียน”
ท้ายสุด นายวิโรจน์ได้กล่างขอความเป็นธรรมให้กับ น.ส.นาตยา ศรีอยู่ยงค์ ผู้จัดการแผนรับจัดจำหน่าย บริษัทซีเอ็ดฯ ผู้ลงนามในจดหมายร้อนฉ่าฉบับดังกล่าว กรณีที่มีคนไปขุดคุ้ยประวัติส่วนตัว นำรูปไปโพสต์ไว้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ แล้วใช้ถ้อยคำต่อว่ารุนแรง เพราะเจตนาของ น.ส.นาตยาไม่ใช่การ “แบนวรรณกรรมรักร่วมเพศ” อย่างที่เข้าใจ แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ปกติ ด้วยการทำเมโมส่งถึงคู่ค้าเท่านั้น เพียงแต่เธออาจใช้ถ้อยคำที่รวบรัด ทำให้คนอ่านเข้าใจผิด
“เขาก็เสียใจ แล้วเขาก็ไม่คิดอย่างนั้น เพราะตัวตนจริงๆ เขาไม่ใช่คนไม่ดี” นายวิโรจน์กล่าว
เหตุการณ์นี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริษัทซีเอ็ดฯ ต้องออกมาให้ “คำตอบ” กับสาธารณชน และเชื่อว่าคงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่บริษัทซีเอ็ดฯ จะถูกตั้ง “คำถาม” อย่างแน่นอน...
