แถลงการณ์ "สยามประชาภิวัฒน์” คัดค้านลงมติ รธน.วาระ ๓
"สยามประชาภิวัฒน์” ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ ๗ 'ยุติการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ'

สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันได้มีการตระเตรียมเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้นำร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ค้างในวาระการประชุม เพื่อลงมติในวาระที่ ๓ ต่อไป โดยไม่ดำเนินการตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๘-๒๒/๒๕๕๕ ที่วินิจฉัยไว้โดยสรุปว่า การที่รัฐสภาใช้อำนาจของรัฐสภาในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๒๙๑ จนนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา ๒๙๑ แต่กลุ่มผู้ตระเตรียมดังกล่าวกลับตีความเองว่าเป็นเพียง “คำแนะนำ” ซึ่งรัฐสภาจะดำเนินการตามหรือไม่ก็ได้
เนื่องในโอกาสที่วันรัฐธรรมนูญได้เวียนมาอีกรอบ กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” ได้ติดตามการดำเนินการดังกล่าว แล้วเห็นว่า ประเทศไทยยึดถือระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรและยอมรับ“หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” แต่กลับมีข้อโต้แย้งนานาประการจากนักการเมือง ในหลักการดังกล่าวว่า พวกตนยึดถือ “หลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา” จึงตีความในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๘-๒๒/๒๕๕๕ว่าเป็นเพียง “คำแนะนำ” ดังนั้น กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงขอเสนอหลักการทางรัฐธรรมนูญต่อสาธารณชนที่สำคัญเพื่อพิจารณาประกอบการวินิจฉัยในความพยายามของผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็น การยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับอันสะท้อนถึงการกระทำที่ไม่ชอบด้วยหลักการทางรัฐธรรมนูญและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังนี้
ประการที่หนึ่ง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๘-๒๒/๒๕๕๕ ที่ได้วินิจฉัยว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยแก้ไขมาตรา ๒๙๑ จนนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของมาตรา ๒๙๑ ไม่ใช่ “คำแนะนำ” ต่อรัฐสภา แต่เป็นคำวินิจฉัยที่เป็น “คำพิพากษา”ตามประเด็นข้อพิพาทของผู้ฟ้องคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้เป็นประเด็นที่สามจากจำนวนประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจำนวนสี่ประเด็น เป็นการวินิจฉัยปัญหา “ข้อกฎหมาย” จากเจตนารมณ์มาตรา ๒๙๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ตามหลักการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติ และเป็นไปตามหลักการในการทำคำวินิจฉัยตามมาตรา ๒๑๖ วรรคสี่ และมีผลผูกพันรัฐสภาและองค์กรต่างๆ ตามมาตรา ๒๑๖ วรรคห้า ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ การที่กระทำรัฐสภาและพรรคการเมืองกระทำการลงมติในวาระที่ ๓ โดยไม่ปฏิบัติตามผลผูกพันของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๘-๒๒/๒๕๕๕ จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
ประการที่สอง ข้อพิจารณาในทางวิชาการซึ่งฝ่ายนิติบัญญัติและพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยต้องพิจารณาและคำนึงถึงเป็นหลักการสำคัญในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความชอบธรรม เป็นไปหลัก “นิติรัฐ” ที่สมกับเหตุผลชอบธรรม ไม่กระทำการเกินขอบอำนาจของรัฐสภาที่ได้รับมอบจากรัฐธรรมนูญ หลักการสำคัญที่จะเป็นหลักในการวินิจฉัยว่ารัฐสภากระทำการเกินขอบเขตของอำนาจ มีทั้งสิ้น ๓ หลักการสำคัญ คือ
- หลักพื้นฐานของระบบเสียงข้างมากกับศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญที่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิรูประบบการเมืองแบบรัฐสภา คือ ศาลรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมันหลังสงครามโลก ครั้งที่ ๒ โดยเป็นการปฏิรูประบบการเมืองจากปัญหา “เผด็จการเสียงข้างมากของพรรคการเมืองในระบอบรัฐสภา” มีหลักการในการสร้างดุลยภาพระหว่างระบบเสียงข้างมากโดยพรรคการเมืองกับการเคารพหลักการของรัฐธรรมนูญ และมอบให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรในการรักษาดุลยภาพดังกล่าวให้เป็นไปตาม “หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ (Supremacy of constitution)” ในประเทศที่ยึดถือระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ที่แตกต่างจากประเทศที่ถือ “หลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา (Supremacy of parliament)” ในประเทศที่ยึดถือระบบกฎหมายจารีตประเพณี
สำหรับประเทศไทยเป็นรัฐที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรยึดถือ “หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” ทำให้รัฐสภาโดยเสียงข้างมากย่อมต้องมีขอบเขตตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ และในกรณีที่มีปัญหาว่ารัฐสภาโดยเสียงข้างมากกระทำการเกินขอบเขตของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ย่อมเป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะวินิจฉัย ทั้งนี้เพื่อปกป้อง “หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” ดังนั้น ประเทศไทยซึ่งเป็นเสรีประชาธิปไตยที่ใช้ระบบรัฐสภาและถือ “หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ (Supremacy of constitution)” จึงต้องมีศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐสภา ว่าอยู่ภายในขอบเขตของรัฐธรรมนูญหรือไม่
- หลัก“องค์กรที่รับอำนาจจากรัฐธรรมนูญ” กับ “องค์กรที่ให้รัฐธรรมนูญ” รัฐสภาหรือองค์กรนิติบัญญัติและองค์กรทั้งหลายที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยรัฐธรรมนูญย่อมเป็น “องค์กรที่รับอำนาจมาจากรัฐธรรมนูญ” และย่อมต้องถูกผูกพันต่อรัฐธรรมนูญ ส่วน “องค์กรที่ให้รัฐธรรมนูญ” องค์กรนั้นย่อมมีความชอบธรรมในการที่กำหนดหลักการของรัฐธรรมนูญให้แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญที่เคยมีมาได้ และ “องค์กรที่ให้รัฐธรรมนูญ” ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ย่อมหมายถึง สภาร่างรัฐธรรมนูญ ประชาชน(ด้วยการออกเสียงประชามติ) และพระมหากษัตริย์ แต่การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่กำลังเสนอให้มีการลงมติในวาระที่สามในครั้งนี้เป็นการแก้ไขที่จะนำไปสู่การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ และก่อตั้ง “องค์กรผู้ให้รัฐธรรมนูญ” ใหม่โดย “องค์กรผู้รับอำนาจมาจากรัฐธรรมนูญ”(ฝ่ายนิติบัญญัติ) และไม่จัดให้มีการออกเสียงประชามติของประชาชน การกระทำเช่นนี้จึงขัดกับหลักการสำคัญในกระบวนการสร้าง “องค์กรที่ให้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งจะต้องผ่านการลงประชามติของประชาชนก่อนจึงจะชอบด้วยกระบวนการ การกระทำของรัฐสภาที่ขัดต่อหลักการดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่เกินขอบเขตของ “องค์กรผู้รับอำนาจมาจากรัฐธรรมนูญ”
- หลักการที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ กับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา ๒๙๑ (๑) วรรคสองของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญัติว่า “ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้” หลักการดังกล่าวนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็น “หลักการที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้” ไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ ผลของ”หลักการที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้”อย่างน้อยก่อให้เกิดผลที่สำคัญคือ ลำดับชั้นหรือคุณค่าของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่สามารถแยกออกเป็น ระดับแรกบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ และระดับที่สองบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ ในความหมายนี้การแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติระดับแรกที่ส่งผลให้มีผลกระทบต่อบทบัญญัติในระดับที่สอง ย่อมไม่อาจกระทำได้ และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรในการปกป้อง “หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” ย่อมปกป้องได้ทั้ง “ส่วนของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้” และ “ส่วนของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้” กล่าวคือ เมื่อเป็นไปตามหลักการดังกล่าว ส่วนของบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้นั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเข้าไปควบคุมตรวจสอบอย่างเข้มข้นเพื่อมิให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไปกระทบต่อหลักดังกล่าวข้างต้น
ประการที่สาม การลงมติในวาระที่ ๓ ในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งสำคัญของประเทศ อันเนื่องมากจากการเสนอลงมติดังกล่าวจะเป็นการทำลายหลักการสำคัญของการควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญโดยศาลรัฐธรรมนูญ และฝืนความรู้สึกของประชาชนที่ร่วมสถาปนารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ขึ้น ตามหลักการใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงของประชาชนด้วยการออกเสียงประชามติ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กระทำเพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่มโดยไม่คำนึงเสียงประชาชนที่ได้ออกเสียงประชามติ จะทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างรัฐสภากับประชาชน รัฐบาลกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกัน และจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงให้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งดังกล่าวในวงกว้างได้
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” พิจารณาในปรากฎการณ์ของระบอบการเมืองไทย นักการเมืองไทยจำนวนมากไม่เคารพ“หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” และหลัก “นิติรัฐ”กแต่กลัยบระทำการนานาประการที่ฝ่าฝืนหรือล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอันเป็นภาพสะท้อนของการตก อยู่ภายใต้การครอบงำของพรรคการเมืองนายทุนผูกขาด ทำให้นักการเมืองของประเทศไทยทำตัวเป็นเพียงแค่ "พนักงานหรือลูกจ้าง (political party employee) ของเจ้าของพรรค แทนที่จะแสดงบทบาทในฐานะให้สมกับที่เป็น "บุคลากรของรัฐ (State man)" หรือ เป็นผู้แทนปวงชน
กลุ่ม “สยามประชาภิวัฒน์” จึงขอเรียกร้องให้รัฐสภา พรรคการเมือง หรือกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ คำนึงถึงหลักการดังกล่าว หลักนิติรัฐ และหลักการในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ยุติการดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยการลงมติในวาระที่ ๓ ที่เป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและฝ่าฝืนต่อผลผูกพันของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญโดยทันที และดำเนินการให้ถูกต้องตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้ว เพื่อสร้างความปรองดองและลดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน อันจะนำสังคมสู่สันติสุขได้อย่างแท้จริง
กลุ่ม "สยามประชาภิวัฒน์”
๙ ธันวาคม ๒๕๕๕
