จับตา "อคส.” ต้นตอทุจริตจำนำข้าว คุมเบ็ดเสร็จ "โรงสี-โกดัง-เซอร์เวย์เยอร์"
"องค์การคลังสินค้า” หรือ อคส. รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ที่ถูกตั้งฉายาว่าเป็น "แดนสนธยา" ที่แสงจากสปอตไลต์ส่องไปไม่เคยถึง
ทั้งๆ ที่ อคส.คือกลไกสำคัญของฝ่ายปฏิบัติการตามนโยบายรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ใช้เงินไปแล้วเฉียด 4 แสนล้านบาท กล่าวได้ว่า อคส. มีส่วนร่วมในทุกมิติจนไม่อาจมองข้ามไปได้
เมื่อชำแหละขั้นตอนในการรับจำนำข้าวดูจะพบว่า อคส.คือแขนขาของ พณ. ในการกำกับดูแล "ดีล" โรงสีกว่า 600 แห่งเพื่อรับซื้อข้าว ,การออกใบประทวน ,การตรวจสอบตาชั่ง ,การจัดเก็บข้าว ,การหาโกดัง , แต่งตั้งบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ รวมถึงการเบิกจ่ายระบายข้าวทั้งในและต่างประเทศ
อาจเปรียบเทียบได้ว่า ถ้า IOS คือระบบปฏิบัติการอันเชี่ยวชาญของแอปเปิ้ล – อคส.ก็คือระบบปฏิบัติการที่ช่ำชองของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพราะไม่ว่าจะเป็นการเบิกจ่ายเงินหรืออนุมัติดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ทางผู้อำนวยการ อคส.จะต้องเป็นต้นทาง เป็นผู้ชงเรื่อง และลงนามรับรอง ก่อนส่งไปยังกระทรวงพาณิชย์และ กขช.กดคำสั่งหรือ Enter
เก้าอี้ผู้อำนวยการ อคส.จึงถูกปิดป้ายจองโดยนักการเมืองมาทุกยุคทุกสมัย ไม่เว้นแม้แต่ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มีข่าวไม่สู้ดีตั้งแต่คราวเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ
เมื่อ ครม.มีมติเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2554 มีมติแต่งตั้ง พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน คนใกล้ชิด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ผู้เคยตกเป็นจำเลยร่วมกับนายดวงเฉลิม อยู่บำรุง ลูกชายคนสุดท้องของ ร.ต.อ.เฉลิม ในคดีฆ่า ด.ต.สุวิชัย รอดวิมุต หรือดาบยิ้ม ตำรวจกองปราบปราม ในคลับทเวนตี้ ถนนรัชดาภิเษก เมื่อคืนวันที่ 29 ต.ค.2544
โดยพ.ต.ต.ศราวุฒิ ถูกอัยการยื่นฟ้องเป็นผู้ต้องหาในข้อหาต่อสู้ ขัดขวางเจ้าพนักงานและทำร้ายร่างกาย ต่อมาศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง พ.ต.ต.ศราวุฒิ และต่อมาอัยการกลับไม่อุทธรณ์ ทำให้คดีนี้ถึงที่สุด
หลังเข้ารับตำแหน่ง ช่วงกลางปี 2555 พ.ต.ต.ศราวุฒิ ในฐานะผู้อำนวยการ อคส. ถูกสอบสวนทุจริตกรณีการรับซื้อหอมแดง ที่เกิดการเน่าเสียจำนวน 20,000 ตัน วงเงิน 300 ล้านบาท ตามมติของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) และถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราว 2 สัปดาห์ เนื่องจากพบว่า อคส. นำหอมแดงที่ซื้อแทรกแซงจากเกษตรกรไปเวียนขายก่อน แล้วไม่สามารถนำลอตใหม่เข้ามาเก็บไว้ได้ตามปริมาณที่นำออกไปขาย และอาจไม่มีการซื้อแทรกแซงจากเกษตรกรจริง แต่เบิกเงินไปแล้ว รวมถึงเก็บรักษาไม่ดีเท่าที่ควร จึงทำให้หอมแดงเน่าเสียหายจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม พ.ต.ต.ศราวุฒิถูกพักงานไปนั่งตบยุงที่ พณ.เพียง 30 วัน จากนั้น ก็สามารถกลับมาเป็นผู้อำนวยการ อคส.และมีบทบาทในโครงการรับจำนำข้าวต่อไป…

(พ.ต.ต.ศราวุฒิ สกุลมีฤทธิ์ ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า - ภาพจากอินเตอร์เน็ต)
แหล่งข่าวจากพาณิชย์จังหวัดในภาคกลาง เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ อคส.ถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุดในโครงการรับจำนำข้าว เพราะการดำเนินการทุกเรื่องต้องผ่านการรับรองจากเจ้าหน้าที่ อคส. ไม่ว่าจะเป็นการจัดจ้างโรงสี การอนุมัติเบิกจ่ายเงิน และตรวจสอบคุณภาพข้าว ตัวแทน อคส.ยังเข้าเป็นคณะกรรมการหรืออนุกรรมการทุกระดับ ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและพาณิชย์จังหวัดเกือบทุกชุด
“เมื่อเรื่องถูกส่งจากจังหวัดเข้ามายังส่วนกลาง ก็ต้องเสนอผ่านผู้อำนวยการ อคส. เป็นผู้เซ็นอนุมัติทุกเรื่อง ดังนั้นปัญหาต่างๆ ในการรับจำนำข้าวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ อคส.ต้องรับทราบ และมีส่วนในการรับผิดชอบด้วย" แหล่งข่าวระบุ
ที่ผ่านมาพาณิชย์จังหวัดหลายคนรู้สึกอึดอัดใจกับแรงกดดันทางการเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากโครงการนี้มีผลประโยชน์ค่อนข้างสูง ทุกฝ่ายจึงเข้ามาชิงส่วนแบ่งงบประมาณตรงนี้ ยกตัวอย่าง การที่ อคส.ออกประกาศรับสมัครโรงสีเข้าร่วมโครงการ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เป็นโรงสีที่ถูกขึ้นบัญชีดำหรือแบล็คลิสต์กับ อคส. แต่ปรากฏว่า มีการสอดไส้โรงสีแบล็คลิสต์เข้ามา และให้จังหวัดจัดเกรดเป็นโรงสีเกรด D เพื่อสามารถเข้าร่วมโครงการได้
โรงสีส่วนใหญ่ที่จะเข้าโครงการได้ จะต้องมีผู้ให้การสนับสนุนอยู่ข้างหลัง จึงไม่แปลกที่มีโรงสีเพียง 600-700 แห่ง จากทั้งหมด 3,000 แห่ง ที่สามารถเข้าโครงการนี้ได้ ปัจจุบันโรงสีที่ไม่ได้เข้าโครงการเกือบจะต้องปิดกิจการ เพราะไม่มีข้าวในตลาดให้สีแปร
“จะสังเกตเห็นว่ามีโรงสีหลายแห่งที่ปิดกิจการไปแล้วสามารถกลับเข้ามาร่วมโครงการ หรือบางแห่งยังไม่เคยมีประวัติการสีข้าวเลยด้วยซ้ำ บางแห่งเป็นเครือข่ายนักการเมือง หรือเพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อปี 2554 ก็เปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการประกอบธุรกิจมาทำโรงสีทันที เพราะส่วนใหญ่แล้วโรงสีได้รับการแบ็คอัพจากนักการเมืองท้องถิ่น" แหล่งข่าวระบุ
นอกจากนั้น ยังมีการใช้บริการ เจ้าหน้าที่ อคส. ที่เคยต้องคดีทุจริตลำใยอบแห้งและหอมแดง มาเป็นเจ้าหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งๆ ที่เรื่องยังคาราคาซังอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) โดยที่ผู้อำนวยการ อคส.สามารถเลือกได้ว่าจะให้เจ้าหน้าที่คนไหนเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมโครงการ ดังนั้น การเลือกข้าราชการที่เคยถูกตั้งข้อหาทุจริตเข้ามาร่วมโครงการจำนำข้าวเท่ากับเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเจตนาในการดำเนินโครงการ

(นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม - ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ)
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและเปิดโปงทุจริตโครงการรับจำนำข้าว กล่าวว่า บทบาทของ อคส.มีความเกี่ยวโยงกับ "ข้าวขาเข้า" ที่มาร่วมโครงการทั้งหมด หมายความว่า ถ้ามีการทุจริตก็จะเกิดตั้งแต่ต้นทาง เพราะ อคส.มีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่กับโรงสี ต้องเซ็นเอกสารอนุมัติและเบิกจ่ายเงิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าหน้าที่อคส.ระดับล่างประมาณ ซี 3-4 แต่ต้องรับผิดชอบโครงการที่ใช้เงินในปีที่ผ่านมาถึง 335,000 ล้านบาท
“เจ้าหน้าที่ อคส.บางคนรับผิดชอบควบคุมดูแลโรงสีถึง 7 แห่ง ถือว่าเป็นภาระหน้าที่สูงมาก บางคนต้องเซ็นอนุมัติเงินรวมกันถึง 1,000 ล้านบาท ดังนั้น ถ้าเจ้าหน้าที่ อคส.รู้กันกับเจ้าของโรงสี โดยไม่ตระหนักว่านี่คือเงินของแผ่นดินก็อาจเกิดปัญหาได้" นพ.วรงค์กล่าว
ทั้งนี้ เมื่อประชาคมในระดับอำเภอออกใบรับรองจำนวนผลผลิตข้าวแล้ว ชาวนาจะนำใบรับรองที่ได้พร้อมผลผลิตข้าวทั้งหมด ไปยังจุดรับจำนำของโรงสี ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ อคส.เป็นผู้ตรวจสอบเอกสาร ออกใบชั่งน้ำหนัก วัดความชื้น ตรวจสอบสิ่งปลอมปน และเซ็นอนุมัติให้ชาวนานำใบประทวนไปเบิกเงินได้ จากนั้นข้าวจะถูกนำไปเก็บและสีแปรภายใน 7 วัน ซึ่งอคส.จะเป็นผู้กำกับดูแลคุณภาพร่วมกับโรงสี ก่อนจะอนุมัติและส่งไปยังโกดังกลางของอคส.
ส.ส.พิษณุโลก ประชาธิปัตย์ อธิบายต่อว่า อคส.ยังเป็นหน่วยงานที่อนุมัติจ้างบริษัทตรวจคุณภาพข้าวหรือเซอร์เวย์เยอร์ ซึ่งพบว่าบางบริษัทมีทุนจดทะเบียนแค่ 1.5-2 ล้านบาท แต่มาดูแลคุณภาพข้าวในโกดังที่มีมูลค่านับแสนล้านบาท โดยเซอร์เวย์เยอร์มีหน้าที่ตรวจสอบข้าวในคลังสินค้าและรับค่าตอบแทนจากรัฐ โดยคลังสินค้าทุกแห่งก็จะมีหัวหน้าคลังที่ควบคุมดูแล ซึ่งผู้อำนวยการ อคส.ก็เป็นผู้แต่งตั้งเช่นเดียวกัน ถ้าเจ้าหน้าที่ อคส.สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าของคลังเก็บ ก็จะมีปัญหาตามมาแน่นอน
“เจ้าของคลังส่วนใหญ่จะเป็นผู้ค้าและผู้ส่งออกด้วย จึงทราบว่าข้าวล็อตไหนคุณภาพดีหรือไม่ดีอย่างไร เวลาที่รัฐเปิดประมูลก็จะเห็นเจ้าของคลังเข้าร่วมด้วย โดยสถานการณ์ขณะนี้ข้าวสารเต็มคลังกลางแล้ว ดังนั้น โรงสีไหนต้องการส่งข้าวมาเก็บเพื่อขอเบิกจ่ายเงินกับรัฐบาล ก็ต้องจ่ายเงินให้คลังเพิ่มจากอัตราปกติ"นพ.วรงค์กล่าว
ในส่วนของขั้นตอนหลังจากนี้ เรียกว่า "ข้าวขาออก" เป็นการระบายข้าวในสต็อคทั้งหมด หน่วยงานหลักที่กำกับดูแลหลักคือกรมการค้าต่างประเทศ ปกติมีการระบาย 5 วิธี คือ เปิดประมูลทั่วไป ขายแบบจีทูจี ขายให้หน่วยราชการ ขายตลาดล่วงหน้า และบริจาคให้มูลนิธิ ซึ่งขั้นตอนการเบิกจ่ายเงินที่ได้รับจากการขาย จะไปจบที่กรมการค้าต่างประเทศ
นพ.วรงค์ กล่าวว่า ในช่วงที่มีการสรรหาผู้อำนวยการ อคส. มีการแก้ไขระเบียบเพื่อเปิดช่องให้ตัวแทนของนักการเมืองเข้ามาทำงาน โดยปกติแล้วตำแหน่งนี้จะสรรหาจากผู้เคยบริหารคลังสินค้าขนาดใหญ่ หรือมีประสบการณ์ซื้อขายสินค้าเกษตร แต่ในช่วงที่ผ่านมากลับมีการเพิ่มสเปคขึ้นอีก 1 ข้อ คือเป็นผู้เคยขายเครื่องจักรทางการเกษตรเพื่อให้สอดคล้องกับคนของตนเอง
