ปรากฏการณ์ “ถึงพี่เด้งที่รัก” เมื่อคนข่าวภาคสนาม ถึงเวลาตั้งคำถามกับตัวเอง

เพียงข้อความเดียวที่ “บุญระดม จิตรดอน” นักข่าวรุ่นมือเก๋า-รุ่นใหญ่ โพสต์บนเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบายความในใจถึงการทำ “หน้าที่” ของสื่อภาคสนาม เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา ได้สร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมาเป็นวงกว้าง เมื่อคนข่าวทั้งรุ่นเล็ก-รุ่นกลาง-รุ่นใหญ่ ทั้งที่เป็นอดีตหรือยังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ต่างได้รับแรงบันดาลใจจากโพสต์ดังกล่าว เขียนข้อความถึง “บุญระดม” หรือ “พี่เด้ง” ลักษณะใกล้เคียงกันออกมามากมาย
จนกลายเป็น “ปรากฏการณ์...ถึงพี่เด้งที่รัก”
ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนถึงจิตวิญญาณของคนข่าวภาคสนาม โดยเฉพาะที่ประจำอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ศูนย์กลางการบริหารประเทศ ให้ได้ทบทวนว่าในขวบปีที่ผ่านมา ได้ทำ “หน้าที่” อย่างเข้มแข็ง-สุดความสามารถ ท่ามกลางวิกฤตของบ้านเมือง แล้วหรือไม่?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ขอหยิบข้อความที่สะท้อนวิกฤตการทำงานของสื่อในยุคปัจจุบัน ได้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นมาถ่ายทอดต่อ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทำให้คนในวิชาชีพสื่อได้หยุดคิด ทบทวน ปรับปรุง หรือแก้ไข หากยังทำ “หน้าที่” ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้ไม่เต็มที่สมกับที่สังคมตั้งความคาดหวัง
บุญระดม จิตรดอน
ใกล้ปีใหม่แล้ว และทุกปีนักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาลจะต้องมีการตั้งฉายารัฐบาล นั่งวิเคราะห์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี
แต่ก็น่าแปลกว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา "พวกเรา" กลับไม่เคยที่จะย้อนดูตัวเราเองบ้าง ว่าตลอดปีที่ผ่านมาการทำหน้าที่ของ "เรา" ในฐานะสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล ได้ทำหน้าที่ดี หรือไม่ดี อย่างไร ท่ามกลางสถานการณ์ความแตกแยกและการแบ่งขั้วอย่างรุนแรงเช่นนี้???
หน้าที่ของนักข่าวคืออะไร??? และยิ่งเป็นนักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล นักข่าวซึ่งได้ชื่อว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำหน้าที่ในการตรวจสอบศูนย์กลางแห่งอำนาจ แถมยุคนี้ยังเป็นยุคที่สื่อถูกตราหน้าว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ขึ้นมา หนำซ้ำสื่อเองก็ยังมาแตกแยกกันเองอีก
ย้อนกลับมาดูการทำหน้าที่ของเรากันเถอะ ย้อนมาดูตัวเราไปพร้อมๆ กัน ว่าวันนี้ "เรา" หรือ "นักการเมือง" ที่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้บรรลุวัตถุประสงค์มากกว่ากัน!!!
ใครที่สัมภาษณ์ไปแล้วคำตอบต้องทำให้เรางง!!! แต่วันนี้เราก็ยังคงต้องงงต่อไป!!! เพราะ??? บางคนไม่ทันได้สัมภาษณ์ก็ขอพูดแบบน้ำไหลไฟดับ โกหกผสมปนเปกันไปกับเรื่องจริง
แต่เราก็ยังนำเอาเรื่องโกหกเหล่านั้นมานำเสนอเพราะ???
บางคนก็ชอบที่จะใช้สื่อเพื่อเป็นสะพานในการว่าร้ายฝ่ายตรงข้าม ประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำให้ร้ายอย่างสละสลวย แต่เราก็พร้อมที่จะเป็นสะพานให้เค้าข้าม
แถมยิ่งไปกว่านั้นเวลาเจอหน้า..ยังพากันวิ่งกรูกันไปสัมภาษณ์เพราะ???
มาถึงวันนี้ วันที่ "เรา" ควรจะต้องทำหน้าที่อย่างเข้มข้นมากที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ท่ามกลางภาวะวิกฤตของประเทศ
แต่ไม่น่าเชื่อว่า "เรา" กลับอ่อนแออย่างที่สุด
...เพราะอะไร???
คำถามเหล่านี้ "เรา" แต่ละคนคงจะตอบใครๆ และตัวของเราเองได้ดีที่สุด
หวังเหลือเกินว่าวันหนึ่ง คำตอบ และ ความเข้มแข็งของ "เรา" จะกลับคืนมาสู่พวกเราอีกครั้ง...
Charernsri Hongprasong
สื่อมวลชน. : gatekeeper. คงจะเป็นคำที่เหมาะกับคนที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนได้เป็นอย่างดี ในการที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ที่จะนำข่าวสาร ส่งต่อไปยังผู้บริโภคข่าวสาร สื่อมวลชนจะต้องทำหน้าที่ของสื่อฯ อย่างถูกต้อง. เที่ยงตรง มีความรับผิดชอบ ที่สำคัญต้องมีจริยธรรมของสื่อ
20 กว่าปีที่มีโอกาสได้เข้ามาทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ได้เห็นการทำงานของพี่ๆ สื่อรุ่นเก่า
ได้เรียนรู้ชีวิตของการเป็นสื่อจะต้องทำการบ้านศึกษาเรื่องราวของข่าวที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะได้รู้ที่มาที่ไปของข่าวแต่ละข่าว เมื่อสัมภาษณ์แหล่งข่าวจะทำให้รู้ว่าต้องถามประเด็นอะไร และจะทำให้แหล่งข่าวรู้ว่าเรามีความรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญไม่ตกเป็นเหยื่อของแหล่งข่าว และการนำเสนอข่าวที่ได้จะต้องไม่มีการใส่ความคิดเห็นของตัวเอง ต้องไม่อยู่ใต้อำนาจของแหล่งข่าว
เวลานี้สื่อถูกครอบงำจากการเมือง ทำการให้ทำหน้าที่สื่อ ไม่เป็นสื่อ หากสื่อเป็นเช่นนี้ อาจจะทำให้เป็นดาบสองคม ที่ทำให้แหล่งข่าวไม่เชื่อถือสื่อ จรรยาบรรณสื่อมันลางเลือนหายไป. ลืมการทำหน้าที่ของสื่อที่ดี
...ลืมการเป็น gatekeeper หรือไม่ ลืมความรับผิดชอบของการทำหน้าที่สื่อหรือไม่
Voranaree Ghochajandra
วันแรกที่ก้าวเข้ามาเป็นนักข่าวทำเนียบเมื่อ พ.ศ.2538 ตื่นเต้นมาก ได้เห็นการทำงานของนักข่าวรุ่นพี่หลายๆ คนตั้งคำถามกับแหล่งข่าวไม่ว่าจะเป็นนายกฯ รมต.ในประเด็นสำคัญๆ แสดงให้เห็นถึงพลังของนักข่าวตัวเล็กๆ แต่สามารถทำหน้าที่ตรวจสอบได้อย่างเข้มข้น ผ่านการทำการบ้านมาอย่างหนัก
แต่ในช่วง 7-8 ปีที่ผ่านมามีการต่อสู้ทางเมืองอย่างรุนแรง แบ่งฝ่ายชัดเจน ในขณะที่สื่อก็ถูกระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยผสมโรง ทำให้ความขัดแย้งและแตกแยกบานปลาย นำเสนอข่าวบิดเบือนไม่รอบด้าน ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม ขาดความระมัดระวังในการนำเสนอข้อมูล หลายครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม
ข้อกล่าวหาต่างที่ถาโถมเข้ามา ถือว่ารุนแรงสำหรับคนในวิชาชีพสื่อสารมวลชน ทั้งนี้ ได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆ ในแวดวง ก็ยอมรับว่าเสียงที่สะท้อนมาไม่เกินจากความเป็นจริง
เราพยายามนั่งระดมความคิดว่า ในฐานะที่เป็นนักข่าว แต่ยังยึดมั่นในจรรยาบรรณ รักและภูมิใจในวิชาชีพนี้ ว่าจะทำอย่างไร เพื่อลบข้อกล่าวหาและเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยหาทางออกให้กับสังคมที่มีความขัดแย้งรุนแรง ไม่ใช่มีหน้าที่แค่เพียงรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ก็พบว่า แค่เริ่มจากตัวเราที่เป็นนักข่าวตัวเล็กๆ ในภาคสนามต้องมุ่งมั่นเสนอข้อเท็จจริงรอบด้านและสมดุล ไม่บิดเบือน มีอิสระในการตรวจสอบ มีความรับผิดชอบและจริยธรรม ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง ก็เชื่อว่าในที่สุดสื่อจะกลับมาจะเป็นอีกหนึ่งกลไก ที่มีส่วนช่วยให้ประเทศหลุดพ้นจากความขัดแย้ง
แต่หากเราในฐานะสื่อไม่ปรับตัวยอมตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง หรือผลประโยชน์คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายโอกาสสำหรับการทำ "หน้าที่" ของเรา
Kratai Padriew
สื่อมวลชน;จรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อสังคมคือหัวใจของการทำงานนักข่าวในอดีตเคยทำหน้าที่นักข่าวสายการเมือง ประจำทำเนียบ พรรคการเมือง เพื่อหาข้อมูลพฤติกรรมการคอร์รัปชั่น โครงการผลดีผลเสียต่อประชาชน การต่อรองผลประโยชน์ของรัฐบาล ข้าราชการ
ในช่วงการทำงาน ได้เห็นพี่ๆ เพื่อนน้อง มีหัวใจและสปิริตในวิชาชีพทำงานด้วยจรรยาบรรณ การโกงกินหาผลประโยชน์ของนักการเมืองถูกพวกเราตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา ขุดคุ้ยข้อเท็จจริงออกมานำเสนอให้คนไทยได้รับรู้ ทำให้ได้รับการยอมรับของสังคม และนักการเมืองว่าไม่สามารถใช้อิทธิพลหรือผลประโยชน์ใด มาทำลายจรรยาบรรณนักข่าวได้
ในวันนี้แม้จะไม่ได้ทำงานในหน้าที่นักข่าว แต่ความเป็นนักข่าวที่ไม่เคยอิงผลประโยชน์หรือการเมือง ยังคงเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดในชีวิต
นักข่าวจึงเป็นบุคคลที่สำคัญในการรายงานถูก ผิด ตรงไปตรงมา ด้วยจรรยาบรรณและความรับผิดชอบต่อสังคม อย่าได้เป็นเหยื่อนักการเมือง และผลประโยชน์ พร้อมทั้งทำการบ้านหาข้อมูลรายงานข่าว พี่น้องที่ยังทำหน้าที่เชื่อเถอะคะว่าความภาคภูมิใจนี้จะติดตัวคุณไปตลอดชีวิต
Paskorn Jumlongrach
หวัดดีพี่เด้ง
แม้ขณะนี้ผมไม่มีสังกัดในองค์กรสื่อเหมือนในอดีต แต่ก็รู้สึกอึดอัดในบรรยากาศของวิชาชีพไม่น้อยกว่าพี่และเพื่อนๆอีกจำนวนมาก ทุกครั้งที่มีเพื่อนฝูงนักข่าวมาตั้งวงเฮฮา เราก็หนีไม่พ้นที่จะพูดถึงสถานการณ์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นอะไรที่ไม่เคยคิดว่าวิชาชีพนี้จะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้
เพื่อนๆ หลายคนระบายให้ฟังว่าความสนุกคึกคักเมื่อลงสนามทำหน้าที่ตรวจสอบนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศอย่างเท่าทันกลายเป็นเพียงเรื่องในอดีต และเป็นแค่เรื่องเล่าขำๆของบรรยากาศการทำข่าวโดยเฉพาะในทำเนียบรัฐบาลที่กำลังถูกกลบหาย เหมือนที่เคยบ่นกับพี่ไว้ บางทีพวกเราอาจจะ “แก่”และ “เก่า”ไปแล้วสำหรับยุคสมัยปัจจุบัน แต่สุดท้ายเราก็เห็นตรงกันว่าขอเก่าและแก่ในจุดยืนแบบเดิมๆของเราต่อไป
ผมจำความรู้สึกเมื่อราว 10 ปีก่อนเมื่อครั้งถูกส่งไปประจำทำเนียบได้ดี แรกๆ มันเป็นอารมณ์กลัวๆ กล้าๆ เพราะขณะนี้ตัวเองก็เพิ่งทำงานมาได้ไม่กี่ปี ไม่ใช่กลัวนักการเมืองหรือแหล่งข่าวหรอกน่ะ แต่หวั่นใจเรื่องการตกข่าวมากกว่า เพราะนักข่าวแต่ละคนที่ต้นสังกัดส่งมาช่างดูเขี้ยวลากดินทั้งนั้น แต่ละคนมีดีในตัวเอง และสามารถซักถามโต้ตอบเพื่อหาข้อเท็จจริงจากผู้บริหารประเทศได้อย่างถึงพริกถึงขิง ด้วยเหตุนี้เองนอกจากนักข่าวต้องทำการบ้านมาดี ตัวนักการเมืองก็ต้องทำการบ้านมาไม่น้อยเช่นเดียวกัน จะมาลอยหน้าลอยตาประชาสัมพันธ์ตัวเองหรือโกหกไปวันๆ นั้น คงยาก
ผมจำได้ว่าคำพูดที่ติดปากกันเสมอในกลุ่มเพื่อนนักข่าวที่สนิทกันก่อนกลับบ้านคือ “แล้วเจอกันบนแผง” ซึ่งเป็นเสียงกระเซ้าเย้าแหย่สนุกๆ มากกว่าท้าทายกัน ผมไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้นักข่าวทำเนียบเขารู้สึกกันอย่างไรในทุกวันที่ลงสนาม แต่สำหรับผมยังจำความรู้สึกนั้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อนได้ดีโดยเฉพาะในเช้าวันอังคารที่มีประชุมคณะรัฐมนตรี มันคึกคักและมากมายไปด้วยประเด็น วิชาชีพนี้มันก็ดีอย่างนี้แหละ ไม่ว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน เมื่อต้นสังกัดส่งมาลงสนามนี้ คุณก็มีโอกาสอย่างเท่าเทียม ได้สัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงของผู้บริหารประเทศมากกว่าคนอื่น และตัวนักการเมืองเองก็ “เห็นหัว” คุณ ตราบเท่าที่ยังสวมเสื้อตัวนี้
พี่เด้งครับ แม้ผมไม่มีโอกาสเข้าไปทำเนียบนับปีแล้ว แต่ก็ยังสดับฟังข่าวจากพี่น้องผองเพื่อนอยู่เสมอ ได้เห็นระยะห่างของนักข่าวกับนักการเมืองที่เปลี่ยนไป คำว่าจรรยาบรรณในวิชาชีพถูกกัดกร่อนลงเรื่อยๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้องค์กรต้นสังกัดของนักข่าวหลายแห่งทำตัวกลายพันธุ์ซ่ะเอง เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองมากกว่าประโยชน์ของสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยพร่ำสอนให้ซื่อตรงในวิชาชีพกลับถูกลบด้วยเท้าอย่างไม่เหลือหรอ ผลสะท้อนจึงออกมาอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ คือสื่อกลายเป็นตัวปัญหาและสร้างความขัดแย้งในบ้านเมืองเสียเอง
กรณีที่เกิดขึ้นกับสมจิตต์ ช่อง 7 เป็นภาพหนึ่งที่สะท้อนสถานการณ์ในสนามข่าวยามนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะทำให้ได้ยินถึงความเงียบและความวังเวงของคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบท่ามกลางกระแสอารมณ์อันกราดเกรี้ยวที่พร้อมป้ายสีทุกคนให้เลือกข้างและขาดการแยกแยะ ไม่ว่านักข่าวคนนั้นจะทำหน้าที่เข้มแข็งอย่างไร
ผมเชื่อว่าพี่เด้งและเพื่อนๆที่ยังยึดมั่นในอุดมการณ์เดิมคงต้องเหนื่อยกันอีกนาน เหนื่อยกายคงไม่เพราะแต่ละคนเติบใหญ่และบริหารจัดการตัวเองได้ลงตัวแล้ว แต่เหนื่อยใจนี่ซิ นับวันยิ่งหนักขึ้นแน่ ก็ขอให้คิดเสียว่าเป็นแรงจูงใจและความท้าทายในการทำหน้าที่ต่อไป
เหมือนที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกไว้ว่า ตำแหน่งต่างๆในกองบอกอมันอาจถูกปรับเปลี่ยนหรือพรากไปจากเราได้ แต่ ความเป็นนักข่าว ไม่มีใครเอาไปจากตัวเราได้ หากเรายังยึดมั่นและเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำอยู่
ถึงเราจะเก่าหรือจะแก่อย่างไร “กูก็ยังเป็นนักข่าว”
Norravit Boom
ดาวยังพราย “ศรัทธา” เย้ยฟ้าดิน
ความภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
คือ...การทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวสายการเมือง
แม้เป็นเวลาเพียงแค่ 6 ปีของช่วงชีวิต (2533-2539)
แต่เป็น 6 ปีที่สอนให้รู้จักคำว่า “ความรับผิดชอบต่อสังคม”
ข่าวทุกข่าวสอนเราให้รู้ว่า...
ตัวอักษรทุกตัวที่เป็นข่าวมีผลกระทบต่อผู้คนและสังคม
ไม่ว่าข่าวนั้นจะเป็นข่าวใหญ่หรือข่าวเล็ก
เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
แต่ทุกข่าวที่ปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์
อุดมไปด้วยจิตวิญญาณของความรับผิดชอบ
หลายปีมานี้...
จากคนทำข่าวเป็นคนอ่าน (ฟัง,ดู) ข่าว
เกิดคำถามกับตัวเองขึ้นหลายครั้งว่า...
ข่าวอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร
คนทำข่าวหรือคนเสนอข่าวไม่รู้สึกถึง...
การขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนนำเสนอหรือ???
หรือ...บริบทการทำข่าวเปลี่ยนไป
หรือ...คนทำข่าวเปลี่ยนไป
หรือ...จิตวิญญาณเปลี่ยนไป
แต่ฉันเชื่อว่า....
ยังคงมี “นักข่าว” ที่ยืนเด่นโดยท้าทาย
แม้...จะโดดเดี่ยวเต็มที่
(แดง อดีตมติชน ผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล)
จำนง ศรีนคร
ถึงพี่เด้งที่รัก...
เมื่อเรานั่ง-ยืน ประจัญ แววตาเราพร้อม ลมหายใจเรากำหนดนิ่ง ริมฝีปากเรารอขยับไปตามคำถามจากสมองที่ผ่านการทบทวนทำการบ้านโดยพร้อม...เมื่อคู่สนทนาตอบ เราไม่รีรอที่จะถามคำถามข้อต่อๆ ไป...เราจดจ้อง ตาประสานตา คิ้วเราเลิกและชนกันในบางครั้งเมื่อเข้าโหมดเร่าร้อนของการสัมภาษณ์...เราให้เกียรติคู่สนทนาด้วยไมตรีผ่านนำเสียงและความสุภาพในคำถาม...แต่เราไม่ละเลยถามสิ่งที่ควรถาม...เพราะหน้าที่ของเราประการสำคัญ คือ ถามแทนคนอ่านที่เรียกว่าประชาชน ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ถาม ให้ได้คำตอบ...เราตั้งข้อสังเกตและค้นคว้าหาข้อมูลเชิงลึกจากทุกแหล่งเท่าที่ทำได้เพื่อนำไปเขียนสื่อสารให้คนทั้งโลกได้อ่านและรับรู้...ไม่มากก็น้อย
ทั้งหมดมันคือ “หน้าที่” ที่ติดตัว ติดอาชีพ ติดวิชาชีพเรามาโดยไม่ต้องมีใครสั่ง...
ผมเคยโพสต์ข้อความข้างต้นไว้ในเฟซบุ๊คเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในช่วงที่ผมกำลังตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต โดยสุดท้ายผมได้ตัดสินใจอำลาความเป็น “นักข่าว” ด้วยเหตุจำเป็น แต่ในใจผมรู้สึกอยู่เสมอว่าวิชาชีพนี้มันฝังลงไปในเม็ดเลือดเสียแล้ว กระทั่งในลมหายใจเข้า-ออกทุกวันนี้
ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงที่กำลังเข้าปีที่ 9 ของวิชาชีพ “นักข่าว” สายการเมือง ชีวิตผมเกิดที่นี่ ที่ทำเนียบรัฐบาล ผมเริ่มทำงานด้วยความฮึกเหิมและภาคภูมิใจใน “หน้าที่” ที่ผมเชื่อเอาเองว่าพึงกระทำ การทำงานของเด็กน้อยในวันนั้นจึงอาจไม่มีศิลปะชั้นเชิงมากมาย แต่มีความตั้งใจเกินร้อย
ผมถูกสอนทั้งจากครูบาอาจารย์ นักข่าวรุ่นพี่ และกมลสำนึกในตัว ให้ทำ “หน้าที่” อย่างเต็มที่ เวลาในชีวิตส่วนใหญ่ของผมจึงตกอยู่กับการอ่านข่าว ดูข่าว ฟังข่าว ครุ่นคิดหาประเด็น และที่สำคัญ สนทนากับแหล่งข่าวให้กว้างและมากที่สุด เพื่อเพิ่มพูนความรู้ในตัว ขณะเดียวกัน ก็เรียนรู้ศาสตร์ เคล็ดวิชาจากนักข่าวรุ่นพี่ ทั้งศาสตร์-ศิลป์ หลายกระบวนท่า เพื่อนำมาปรับใช้กับตัว
ผมศึกษานโยบายแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งยุทธศาสตร์ภาพกว้าง ศึกษาโครงสร้างองค์กรด้านความมั่นคง ทั้ง สมช. สขช. กองทัพ และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ตัวเองได้ตั้งคำถามและทำข่าวนี้อย่างมีองค์ความรู้
ผมศึกษานโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและนโยบายประชานิยม เพื่อให้รู้โครงสร้าง ผลกระทบ เพื่อทำข่าวที่เกี่ยวข้องอย่างรู้เท่าทัน
ผมศึกษากลเกมการเมือง ชั้นเชิงการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อเท่าทันกลเกมเล่ห์เหลี่ยมและใช้ทำงานกับแหล่งข่าวที่มีชั้นเชิงการเมืองในระดับสูง
ผมศึกษาทฤษฎีการเมือง พรรคการเมือง อำนาจรัฐ อำนาจนิติบัญญัติ เพื่อใช้ประกอบการทำงาน
ผมศึกษาความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ จุลภาค-มหาภาค ดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เข้าใจเมื่อพี่ๆ นักข่าวสายเศรษฐกิจตั้งคำถามในวงสัมภาษณ์ผู้นำประเทศที่มีบทบาทขับเคลื่อนทิศทางหลัก
ผมศึกษาวิธีอ่านเอกสารราชการเพื่อเขียนข่าว ทั้งหนังสือราชการ ทั้งตีตราเปิดเผย ตีตราลับ มติ ครม. เรื่องประกอบมติ หนังสือข้อเรียนจากประชาชน ทะเบียนการค้า เอกสารผู้ถือหุ้น ไปจนถึงกฎหมายหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ฯลฯ
ยิ่งได้รู้มากขึ้น...ได้ทำข่าวมากขึ้น...ยิ่งสนุก แม้งานแต่ละวันของเราจะเยอะจนแทบไม่ได้กระดิกตัว...แต่ทุกครั้งที่ได้ทำข่าวเชิงลึก หรือสืบสวนสอบสวน ผมกลับมีความสุขทุกที จนลืมความเหน็ดเหนื่อยและแรงเสียดทานที่เราได้รับจากการทำข่าวนั้นๆ
และยิ่งผมได้เห็นบรรยากาศการทำงานของ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ต่างก็มีหลัก มีไฟวิชาชีพ ทุกคนไม่ละต่อ “หน้าที่” พี่ๆ หลายคนเป็นหัวหอกในการตั้งคำถามต่อผู้มีอำนาจ หลายคำถามเป็นคำถามที่ผมยอมรับว่าในช่วงแรกๆ ผมก็ไม่กล้าถาม แต่ผมได้เรียนรู้วิธีการ ชั้นเชิงมาโดยตลอด ทุกคนช่วยกันถาม ถ้าเป็นประเด็นที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม เราจะช่วยกันถาม ถ้าใครคนใดคนหนึ่งโดนแหล่งข่าวสวนกลับ จะมีอีกทีมช่วยถามประคองผ่อนกระแส แล้วกลับมาถามใหม่ ไม่มีการโดดเดี่ยวให้ใครต้องลุยโดยลำพัง
ก่อนทำหน้าที่เราหารือกันหลวมๆ ว่าใครจะถามประเด็นไหน ทำให้รูปแบบการสัมภาษณ์ของเราค่อนข้างครบ ได้ทั้งข่าวการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ ทั้งหมดเป็นระบบนิเวศในวงข่าวที่ผมจดจำไม่ลืม...
ดังนั้น...เมื่อผมทำการบ้านและเตรียมตัวจนพร้อม ผมไม่เคยละที่จะตั้งคำถามต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นประเด็นข่าวหมู่ หรือประเด็นข่าวเดี่ยว เปิดโอกาสให้มีการชี้แจง แต่ไม่ละเว้นที่จะยิงคำถามเพื่อคลายปมข้อสงสัย และหากผมไม่เข้าใจในสิ่งใด นักข่าวรุ่นพี่หลายคนผู้มีประสบการณ์ล้วนเมตตาแนะนำสั่งสอนสม่ำเสมออย่างไม่อิดออด
เหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ผมจำได้ไม่ลืม มันสลักลึกในกล่องแห่งความทรงจำ ใน 2 สัปดาห์แรกของการเป็นนักข่าว ต้นสังกัดส่งผมลงสนามติดตามการเดินสายของนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่ง และแล้วประสบการณ์แรกที่ฝึกให้ผมแกร่ง ผมจำได้ดี เมื่อผมยิงคำถามต่อนายกฯท่านนั้นในช่วงเช้าที่ศาลากลาง จ.ประจวบคิรีขันธ์ ถึงนโยบายให้กู้แก่รัฐบาลพม่าเพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคม ผ่านเอ็กซิมแบงค์
ใน 2 คำถามแรก ผมถามถึงความคืบหน้า ท่านนายกฯก็ตอบไปตามหลักการ แต่เมื่อผมเริ่มเข้าคำถามเกี่ยวกับเอกสารเงื่อนไขโครงการฉบับภาษาอังกฤษ ซึ่งในหน้ากระดาษในหนึ่ง มีการระบุอุปกรณ์เคเบิลใยแก้วนำแสงว่าต้องใช้ของบริษัทหนึ่งเท่านั้นอยู่ในเงื่อนไขการให้กู้ (ซึ่งบริษัทนั้นเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองชัดเจน) ผมถูกนายกฯท่านนั้นสวนมาทันที “....แหม จะเอาให้ได้เลยนะ คุณจะเอาให้ได้เลยนะ ใครให้มาถาม...!” จากนั้นท่านนายกฯก็ชักสีหน้าไม่พอใจแล้วเดินฝ่าวงสัมภาษณ์ของไปทันที
ทั้งวงสัมภาษณ์นิ่งอึ้ง สบตากันเลิกลัก ตัวผมเบาโหวง ในฐานะนักข่าวใหม่ ผมตั้งตัวไม่ถูก เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าการทำหน้าที่ของเรา จะส่งผลให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ เรายังใหม่ แล้วจะทำยังไงต่อ?
รุ่นพี่หลายคนมาพูดคุยกับผม เหมือนเขาจะรู้ว่าผมรู้สึกโหวง หลายคนปลอบผมว่า ทำหน้าที่ถูกต้องแล้ว ไม่เป็นไร เป็นนักข่าวมันต้องเจอแบบนี้แหละ เพราะเราทำหน้าที่ตรวจสอบแทนประชาชน...
จากวันนั้น...ในเส้นทางวิชาชีพ ผมจึงทำ “หน้าที่” ต่อมา ไม่ว่าจะปรับเปลี่ยนย้ายสายไปที่ไหน จนถึงวันนี้ วันที่อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามวัฏจักร...แต่แม้จะเป็นวันที่ออกมาแล้ว ผมก็ยังคิดและเป็นเหมือนเดิม...ผมคิดว่าทุกวันนี้ผมเป็นประชาชนที่ต้องคิด สังเกต ตั้งคำถาม ชั่งน้ำหนักทุกเรื่องในชีวิต ผมได้มันมาจากการเป็น "นักข่าว"...
คิดถึงพี่เด้ง เพื่อน พี่ น้อง ในวิชาชีพอันแสนภูมิใจทุกคนครับ
