เปิดใจ “บุญระดม จิตรดอน” เมื่อพี่สอนน้อง ว่าด้วย “หน้าที่” ของนักข่าว

หลังจาก “สำนักข่าวอิศรา“ เคยเสนอปรากฏการณ์ “ถึงพี่เด้งที่รัก” ที่ “บุญระดม จิตรดอน” หรือ “พี่เด้ง” คนข่าวรุ่นใหญ่ที่นักข่าวภาคสนามให้ความเคารพ โพสต์ข้อความระบายความในใจถึงการทำงานของสื่อมวลชนภาคสนามยุคปัจจุบัน ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมเป็นคลื่นใต้น้ำ เมื่อนักข่าวและอดีตนักข่าวทั้งรุ่นเล็ก-รุ่นกลาง-รุ่นใหญ่ โพสต์ข้อความถึงบุญระดม เรียกร้องให้สื่อภาคสนามยุคปัจจุบันไทบทวนการทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมา ว่าได้ทำ “หน้าที่” อย่างเต็มที่ สมกับที่สังคมตั้งความคาดหวังไว้หรือไม่
ก่อนหน้านี้ บุญระดมก็เคยให้สัมภาษณ์กับ “อิศรินทร์ หนูเมือง” ตีพิมพ์ลงใน “จุลสารราชดำเนิน” สะท้อนถึงการทำงานของนักข่าวรุ่นหลังๆ และสิ่งที่ควรจะปรับปรุงแก้ไข ในลักษณะพี่สอนน้อง
สำนักข่าวอิศราจึงขอนำมาเผยแพร่อีกครั้ง โดยหวังว่าบทสัมภาษณ์นี้จะเป็นประโยชน์ต่อการทบทวนตัวเองของสื่อภาคสนามยุคปัจจุบัน
@ มองปรากฏการณ์ของนักข่าวในสนามข่าวกาลเทศะ การปฏิบัติตัว วางประเด็น ของนักข่าวยุคนี้อย่างไร
นักข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ซึ่งถือเป็นศูนย์รวมของอำนาจฝ่ายบริหาร เป็นหัวใจสำคัญของข่าวการเมือง เป็นฐานรากของประเด็นข่าวการเมือง แต่ในเชิงพื้นที่ก็มีจุดอ่อน เพราะนักข่าวที่นี่พอทำงานได้สักระยะก็จะได้เลื่อนขั้นเข้าไปทำงานในโรงพิมพ์หรือในสถานี เด็กรุ่นใหม่ก็จะวนเวียนว่ายตายเกิดเข้ามาแทนที่ ทำให้ทำเนียบรัฐบาลกลายเป็นโรงเรียนบ่มเพาะของการเรียนรู้วิชาให้ทุกคนมีความเชี่ยวชาญ ทำให้ฐานรากของข่าวประเด็นทางด้านการเมือง แทนที่จะมีความแข็งแกร่งกลับอ่อนลง ต่างกับเมื่อก่อนที่นักข่าวก่อนจะไปประจำทำเนียบได้ จะต้องผ่านการเคี่ยวมาจากสายอื่นก่อน
@ การที่นักข่าวใหม่โดนสับเปลี่ยนเข้ามา ทำให้ความเชี่ยวชาญ และทักษะทางวิชาชีพ การตั้งคำถาม การตั้งประเด็นข่าวการเมืองเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
คุณสมบัติของเป็นนักข่าวต้อง มีความมั่นใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มั่นใจ ตั้งคำถามได้แล้วจะเป็นที่สุด การถามคำถามได้มากกว่าคนอื่น ก็ไม่ได้หมายความว่านักข่าวคนนั้นเก่ง แต่ต้องรู้จักทำหน้าที่นักข่าวในแง่ของการตรวจสอบข้อมูล อาทิเช่น เรื่อง ผบ.ตร. ที่เป็นประเด็นใหญ่ขึ้นมานำไปสู่การลาออกของนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ หากเป็นนักข่าวก็ต้องตั้งประด็นต่อยอด แล้วค้นหาว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไร
@ มีคำแนะนำอย่างไรให้นักข่าวรุ่นใหม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังข่าวได้
นักข่าวรุ่นใหม่ ก็ต้องพยายามเรียนรู้ เรื่องอย่างนี้ไม่ได้เป็นได้ในวันหนึ่งหรือสองวันหรอก ขนาดเราเองทำงานมาถึงจุดนี้ ถามว่าแค่นี้เราที่สุดแล้ว ก็มันไม่ใช่ คือนักข่าวอย่าคะนองตนจนคิดว่าตัวเองเก่งนะ ไม่มีคนไหนเก่งหรอก แต่ต้องค่อยๆ เรียนรู้ และสิ่งหนึ่งที่ต้องมีในตัวนักข่าวคือต้องรู้จักวางตัว ต้องมีกาลเทศะ ต้องมีความเมตตา ต้องไม่ดูถูกคนอื่น ต้องไม่คิดว่าตัวเองแน่
นักข่าวสมัยนี้คุณลักษณะที่เห็นได้ทั่วไป คือ ก้าวร้าว...ข้าแน่...ข้าเก่ง แหล่งข่าวไม่เอาไหน ซึ่งจริงๆ แล้วนักข่าวที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาลแหล่งข่าวของเราจริงๆ ก็เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงทั้งนั้น แม้ว่าแหล่งข่าวงี่เง่า เรานำมาพูดเล่นกันเองได้ แต่ก็ไม่สมควรที่จะไปตั้งคำถามด่าเขา หรือบางครั้งแกล้งพูดลอยๆ ด่าเขามันก็ไม่เหมาะ
สิ่งที่นักข่าวขาดมากในตอนนี้ คือการขาดความเมตตาต่อแหล่งข่าว อาทิเช่น กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นมะเร็ง ถามจริงว่าหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ไม่มีข้อเท็จจริง แต่สื่อก็มานำเสนอแล้ว เพราะคำพูดของแหล่งข่าวคนหนึ่ง บางคนก็หัวเราะสะใจกัน อีกกรณี การลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คำถามที่เกิดขึ้นกับนักข่าว คือว่า เฮ้ย...ทำไมยิงแล้วไม่ตาย ใครยิง ฉะนั้นอย่าไปว่านักการเมืองเลย ว่านักการเมืองเลว ทำให้เกิดวิกฤต แต่ทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะนักข่าว ต้องบอกเลยว่านักข่าวเป็นตัวจักรที่สำคัญตัวหนึ่งที่ทำให้วิกฤติของบ้านเมืองมันเกิดขึ้น
@ ข้อหาที่นักข่าวทำให้เกิดวิกฤติกลายเป็นข้อหาที่ดังขึ้นทุกวัน
บางครั้งคนเรามักไม่ยอมโทษตัวเอง ไปโทษคนอื่น โทษนักการเมือง แต่ว่าวันนี้นักข่าวมองย้อนกลับมาที่ตัวเองบ้างหรือเปล่า ทุกคนต้องยอมรับว่าบ้านเมืองขณะนี้เกิดวิกฤติ แต่สื่อวางเฉยไม่รับรู้เลยว่าบ้านเมืองมันกำลังวิกฤติ ไม่ยอมตระหนักในปัญหาของประเทศ ซึ่งดูได้จากการเสนอข่าวที่ยังมีคำถามที่ทิ่มตำ คำถามปิงปองที่ด่ากันไปมา บางคำพูดไร้สาระไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรต่อบ้านเมือง แต่ก็นำเสนอออกมา ถามว่าทำเพื่ออะไรทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าบ้านเมืองก็วิกฤติอยู่แล้ว
@ คุณบุญระดม ทำข่าวความมั่นคง ข่าวการเมือง แต่ตอนนี้คนไม่สนใจข่าวแบบนี้อีกแล้ว คิดอย่างไร
อาจจะเป็นเพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้คนเบื่อ อาทิเช่น สถานการณ์เดือนเมษายน 2552 โทรทัศน์บางช่องต้องทำเพื่อความอยู่รอด พยายามจะไม่รายงานข่าวการเมือง เพราะกลัวนักการเมืองจะเข้าไปแทรกแซง การออกข่าวการเมืองเป็นเรื่องซีเรียส กลัวว่าจะมีปัญหา เขาก็ใช้วิธีหลีกเลี่ยงไปเสนอข่าวชาวบ้านขัดแย้ง – ตบตี ข่าวอาชญากรรม ข่าวแปลก ข่าวดาราแย่งแฟนกัน เพื่อดึงกระแสอารมณ์ความรู้สึกของคนให้ไร้สาระ ดึงไม่ให้สนใจสถานการณ์ในประเทศ แล้วก็เอาภาพข่าวเหล่านั้นมาวนแล้ววนอีก เพื่อกระชากความรู้สึกของคน แต่หารู้ไม่ว่าการกระทำแบบนั้น ถึงแม้มันจะขายได้ คุณรวย แต่คุณกำลังสะสมปัญหาให้กับสังคม ทำให้สังคมเสียโอกาสที่จะบริโภคข้อมูลข้อเท็จจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองของตัวเอง
สื่อมีอิทธิพลมาก ที่จะสร้างกระแสฉุดรั้งให้คนได้รู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ทำไมเราถึงไม่ถือเอาความมีอิทธิพลที่มีอยู่อย่างมากมายใช้ให้เป็นประโยชน์ หันมาจับมือกันสักช่วงหนึ่ง พาบ้านเมืองให้พันจากวิกฤติ หลังจากนั้นก็ค่อยมาแข่งกัน มาอยู่ในบทบาทเดิมที่คุณเคยเป็น
@ จะบอกผู้บริโภคอย่างไรว่า ข้อมูลในสื่อส่วนไหนจริง ส่วนไหนไม่จริง เพราะสื่อก็แบ่งสีเลือกข้าง?
ก็ต้องชั่งน้ำหนักเอา สังคมในขณะนี้ชอบที่จะคิดว่า คนนั้นสีโน่น คนนี้สีนั้น ก็แบ่งสีให้เสร็จ แต่ถามว่าคนที่แบ่งเอาอะไรไปตัดสินว่าเขาเป็นใคร อะไร อย่างไร ทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน แต่เพราะความคิดของคนในสังคม แม้แต่ตัวนักข่าวเองยังไปแบ่งแยกเขา เหมือนกำลังมีความคิดที่จะแบ่งแยกประเทศ แต่ทุกคนควรคิดว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน เป็นมนุษย์เหมือนกัน
สื่อเองก็มีส่วนช่วยไปตอกย้ำให้ปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ให้บานปลายออกไป แต่หากสื่อช่วยกันตรวจสอบ แล้วนำข้อมูลข้อเท็จจริงของแต่ละฝายออกมาให้สังคมได้รับรู้ ไปพินิจพิเคราะห์เอาว่าเหตุการณ์ในปัจจุบันมันเกิดอะไรขึ้นด้วย สื่อเองก็ต้องนำเสนอข่าวในแง่ที่สร้างสรรค์ ช่วงนี้หยุดสักนิดหนึ่งได้ไหมกับการที่จะขายข่าว ขายหน้าหนังสือพิมพ์ หรือว่าขายหน้าจอ
ต้องยอมรับว่าสื่อทุกวันนี้ยังแบ่งข้าง ทำให้เราหนักใจเหมือนกัน เพราะกลายเป็นว่าสื่อเดี๋ยวนี้ไม่กล้าเสนอข่าวบางประเด็น เพราะกลัวที่จะโดนตราหน้าว่า เป็นสีโน้น สีนี้ ทำให้ตอนนี้ทุกคนวางเฉยไม่สนใจ เห็นนักการเมืองคนนี้ก็บอกว่าเลว ทุเรศ เพื่อคุณจะได้เป็นคนดี เพราะคุณเป็นกลาง
@ สื่อถือว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้นอกห้องเรียนของสังคม จะถามข่าวแบบไหน ให้เกิดการเรียนรู้
เป็นเรื่องที่ยากนะ...นักข่าวควรตั้งคำถามกับแหล่งข่าว ในเรื่องของการตรวจสอบเนื้อหารายละเอียด แต่ว่าบางคำถามของนักข่าว มักต้องการให้ประเด็นตามที่กลุ่มผลประโยชน์ต้องการ เหมือนมีวาระบางอย่างแฝงอยู่ บางครั้งการตั้งคำถามก็ไม่ได้เริ่มต้นจากนักข่าว เพราะคำถามอาจมาจาก กองบก. หรือสถานี หลายครั้งเหมือนกับกองบก.ตั้งธงไว้แล้ว ให้นักข่าวไปต้อนคำถามมา ให้ตรงกับที่ตั้งประเด็นไว้ล่วงหน้า
@ ผลจากความขัดแย้งทางการเมือง ทำให้เกิดข่าวปล่อยมากมาย นักข่าวควรบริหารข่าวปล่อยอย่างไร
ต้องขอเปรียบเทียบระหว่างสื่อไทยกับสื่อต่างประเทศ โดยสื่อไทยบางแห่งจะไม่ค่อยตรวจสอบข่าว พอแหล่งข่าวพูดมา ส่งข่าวเลย กองบก.ก็ไม่ได้ตรวจสอบ เพราะเชื่อตามนักข่าวที่ส่งข่าวไป แต่สำหรับสำนักข่าวต่างประเทศ เขาจะตรวจสอบนะ โดนเฉพาะข่าวที่มีความเซ็นซีทีฟ (อ่อนไหว) เช่นข่าวที่ระบุว่า “แหล่งข่าวกล่าวว่า” ซึ่งก็หมายความว่า แหล่วข่างเองก็ไม่กล้าเสนอหน้ามายืนยันข่าวนั้นว่าจริง แล้วความน่าเชื่อถือมันจะมีมากน้อยแค่ไหน
กรณีสำนักข่าวต่างประเทศ เขามีชื่อนักการเมืองบางคน ที่ให้ข่าว – แถลงข่าวแล้ว เขาจะไม่ใช้เลย ไม่เอาลงตีพิมพ์ ไม่ออกอากาศ จะกากบาทชื่อไว้เลยว่าหากคนนี้พูด...ไม่เอา แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นแบล็คลิสต์ แต่เหมือนกับไม่อยากจะออกอากาศให้นอกจากจะจำเป็นจริง เท่าที่มีอยู่ก็ประมาณ 2-3 คน เพราะเวลาพูด คำพูดของเขามันไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความน่าเชื่อถือ
@ อย่างไรเสียข่าวปล่อยก็ยังอยู่คู่กับข่าวจริงใช่หรือไม่
แน่นอนอยู่แล้ว ถ้าหากว่าสื่อยังตกเป็นเหยื่อซึ่งดูท่าแล้ว นักข่าวเองก็อยากจะตกเป็นเหยื่อ เพื่อจะให้แหล่งข่าวให้ข้อมูลเราให้ได้มากที่สุดใช่ไหมละ เพื่อให้แหล่งข่าวไว้ใจ อีกทั้งนักข่าวก็ยังหลงแหล่งข่าว หลงว่าเมื่อเราโทรศัพท์ไปเขาก็รับสาย – ให้ข่าว สนใจถามไถ่เรื่องส่วนตัว จนนักข่าวหลงคิดว่าสิ่งที่เขาบอกเป็นเรื่องจริง แล้วจะออกมาปกป้องแหล่งข่าวคนนั้นโดยไม่รู้ตัว หลงลืมไปว่ากำลังทำผิดหน้าที่ของตัวเอง ไม่รู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ข้างไหน ไม่รู้ตัวว่ากำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่
นักข่าวเป็นเพื่อนกับแหล่งข่าวได้ สนิทได้ชอบพอกันได้ แต่นักข่าวต้องขีดเส้นแบ่งการทำหน้าที่เอาไว้ ต้อรู้ว่าในฐานะที่เป็นเพื่อนกันคือเขาเป็นคนดี แต่เวลาที่เขาทำงานปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐมนตรี เป็นตำแหน่งทางด้านการเมือง ถามว่าทำงานได้อย่างที่เขาปฏิบัติต่อเราหรือเปล่า บางครั้งมันก็ไม่ใช่ มีถมไปบางคนที่นิสัยดี แต่ทำงานไม่ได้เรื่อง
@ เรื่องกาลเทศะโดยเฉพาะการแต่งตัว วางตัวของนักข่าวอดีตกับปัจจุบัน แตกต่างกันอย่างไร
นักข่าวมีความมั่นใจในตัวเองมาก ก็ทำให้เวลาตั้งคำถามกับแหล่งข่าว จึงเป็นคำถามที่มาจากความต้องการอยากรู้ของนักข่าว คำถามแสดงภูมิรู้ คำถามแฝงคำด่า เสียดสี คำถามที่โชว์ระดับความสนิทกับแหล่งข่าว แทนที่จะเป็นคำถามที่สังคมอยากรู้ ลืมว่าตัวเองเป็นนักข่าว ที่ควรให้เกียรติแหล่งข่าว นักข่าวที่แสดงความสนิทสนมกับแหล่งข่าวมาก บางครั้งอาจทำให้แหล่งข่าวที่มีตำแหน่งสูงๆ เสื่อมเสียได้ โดยที่นักข่าวอาจจะไม่รู้ตัว อาทิเช่น การเรียกแหล่งข่าวว่า “ตัวเอง”
เรื่องการแต่งตัว ด้วยความที่นักข่าวมีความเชื่อมัน มีความเป็นอิสระ มีความเป็นตัวของตัวเอง ก็ถ่ายทอดออกมาผ่านทางเสื้อผ้าที่ไม่สุภาพเป็นแนวแฟชั่น แนวเซ็กซี่ ลืมไปว่าทำเนียบรัฐบาลเป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของของอำนาจฝ่ายบริหาร ต้องให้เกียรติกับสถานที่ ต่างกับสมัยก่อนที่ต้องใส่กระโปรงมาทำข่าวในทำเนียบ ถ้าไม่ใส่ ก็เข้าไปไม่ได้ สมัยก่อนนักข่าวจะมีระบบพี่น้อง หากรุ่นพี่บอกรุ่นน้องก็ทำตาม นักข่าวรุ่นน้องสมัยก่อนจะเกรงใจรุ่นพี่ แต่สมัยนี้หากรุ่นพี่บอก รุ่นน้องจะด่ากลับ เพราะนักข่าวรุ่นใหม่มีความเป็นปัจเจกสูง และปัจเจกในทางที่ผิดเลย แต่งตัวกันตามสบายเลย
(ตีพิมพ์ครั้งแรก จุลสารราชดำเนิน ฉบับที่ 18 เมื่อเดือน พ.ย.2552)
