เปิดความเห็น“กฤษฎีกา”หย่าศึก ปมภาษีหนัง“หนุมานพบ 11 ยอดมนุษย์” ?
"..ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว จึงทำให้หนังในตำนานเรื่อง หนุมานพบ 11 ยอดมนุษย์ เดินทางเข้ามาอยู่ในความดูแลของ หอภาพยนตร์ โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรนำเข้าตามความเห็นของกรมศุลกากร แม้แต่บาทเดียว.."

หากพิจารณารายละเอียดในความเห็นทางกฎหมายต่อ กรณีการเรียกเก็บภาษีอากรการนำเข้าฟิล์มต้นฉบับภาพยนตร์ เรื่อง หนุมานพบ 11 ยอดมนุษย์ หรือ “Star Warriors” ซึ่งบริษัท ไชโยชิตี้ สตูดิโอ จำกัด ได้บริจาคกรรมสิทธิ์และลิขสิทธิ์ภาพยนตร์ ให้หอภาพยนตร์ ของ คณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เผยแพร่เป็นทางการ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา
จะพบว่า ความเห็นทางกฎหมายที่แตกต่างกัน ระหว่าง หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) กับ กรมศุลกากร ในเรื่องนี้ เริ่มก่อตัวขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา
หลังจากกรมศุลกากร โดยส่วนมาตรฐานพิกัดอัตราศุลกากร 1 ได้มีหนังสือ ที่ กค 0518(3) /11843 ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2555 แจ้งถึงหอภาพยนตร์ ว่า ยังไม่สามารถดำเนินการพิจารณายกเว้นอากร การนำเข้าฟิล์มต้นฉบับภาพยนตร์ เรื่อง หนุมานพบ 11 ยอดมนุษย์ ให้ได้
เนื่องจากขาดข้อมูลและเอกสารบางอย่างที่ใช้ประกอบการพิจารณา และขอให้แสดงข้อมูลว่า หอภาพยนตร์ฯ เป็นหน่วยงานอื่นของรัฐระดับกรม หรือเทียบเท่ากรมหรือไม่ เนื่องจากผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นส่วนราชการระดับกรม หรือเทียบเท่าขึ้นไป
จากนั้น หอภาพยนตร์ฯ ได้มีหนังสือ ที่ วธ 0900/1229 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2555 แจ้งกลับไปยังกรมศุลกากรว่า หอภาพยนตร์ฯ เป็นหน่วยงานอื่นของรัฐ คือ เป็นองค์การมหาชน ที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2552 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2552 และมีสถานะเป็นนิติบุคคลเทียบเท่ากรม อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีผู้อำนวยการเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
แต่ต่อมากรมศุลกากร ได้แจ้งผลการพิจารณาว่า หอภาพยนตร์ฯ มิใช่ส่วนราชการระดับกรม หรือเทียบเท่าขึ้นไป จึงไม่อยู่ในข่ายได้รับการพิจารณายกเว้นอากรการนำเข้าจึงต้องชำระอากรตามกฎหมาย หากหอภาพยนตร์ฯ มีความประสงค์ที่จะขอยกเว้นอากรสำหรับของที่ได้รับบริจาค ขอให้ส่วนราชการผู้ควบคุมดูแลระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไปเป็นผู้ยื่นขอยกเว้นอากรหอภาพยนตร์ฯ เห็นว่า องค์การมหาชนเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นนิติบุคคลตามความนัยมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชนฯ และพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ส่วนที่ 1 การจัดระเบียบบริหารราชการส่วนกลาง มาตรา 7 (4) ซึ่งบัญญัติว่า กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม
เมื่อกรมศุลกากร ยืนยันหนักแน่น แบบนี้
หอภาพยนตร์ฯ จึงได้ทำหนังสือขอหารือต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า หอภาพยนตร์ฯ มีฐานะเป็นส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป และผู้อำนวยการหอภาพยนตร์ฯ มีฐานะเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป ตามนิยามคำว่า “ส่วนราชการ” ของพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรฯ ภาค 4 ประเภท 11 หรือไม่
ทั้งนี้ ในการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 12 ) ได้มีการเชิญมีผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ.ร.) ผู้แทนกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) และผู้แทนหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) เป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริง
ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่า กรมศุลกากรพิจารณาไม่ยกเว้นอากรให้แก่หอภาพยนตร์ฯ สำหรับการนำของเข้า เนื่องจากประกาศกรมศุลกากร ที่ 4/2552เรื่อง ระเบียบปฏิบัติสำหรับการขอยกเว้นอากรสำหรับของตามภาค 4 ประเภท 11 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ซึ่งเป็นระเบียบปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ในการพิจารณายกเว้นอากร กำหนดว่า ส่วนราชการที่ขอยกเว้นอากรต้องเป็นส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อหอภาพยนตร์ฯ มิใช่หน่วยงานระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป จึงไม่อาจยกเว้นอากรให้ได้
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 12) เห็นว่า ของที่ได้รับยกเว้นอากรจะต้องเป็นไปตามที่กำหนดในภาค 4 ของบัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 ซึ่งในรายการประเภท 11 กำหนดยกเว้นอากรสำหรับของที่นำเข้ามาหรือส่งออกไปเพื่อบริจาคเป็นการสาธารณกุศลแก่ประชาชนโดยผ่านส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศล หรือเป็นของที่นำเข้ามาเพื่อให้แก่ส่วนราชการหรือองค์การสาธารณกุศลตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมศุลกากรกำหนดด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยมีหมายเหตุกำหนดนิยาม “ส่วนราชการ” ให้มีความหมายเป็นการเฉพาะ แสดงให้เห็นว่า กฎหมายประสงค์จะให้หน่วยงานอื่นของรัฐที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่หรือที่จะได้จัดตั้งขึ้นต่อไปในอนาคต เว้นแต่รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกัน
ดังจะเห็นได้จากเหตุผลในการตราพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2543 (3) ซึ่งได้กำหนดนิยามดังกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก
ดังนั้น ส่วนราชการที่ได้รับยกเว้นอากรสำหรับของประเภท 11 ในภาค 4 ของบัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรฯ จึงหมายถึงหน่วยงานทุกประเภทที่รัฐจัดตั้งขึ้น แต่ไม่รวมถึงรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ
เมื่อหอภาพยนตร์ฯ จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2552 โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5(4) แห่งพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. 2542 จึงมีสถานะเป็นหน่วยงานของรัฐและเป็นนิติบุคคลตามมาตรา 6(5) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว หอภาพยนตร์ฯ จึงเป็นหน่วยงานอื่นของรัฐตามนิยาม “ส่วนราชการ” ที่บัญญัติไว้ ในหมายเหตุท้ายช่องรายการของประเภท 11 ในภาค 4 ของบัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรฯ และมีสิทธิได้รับยกเว้นอากรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดสำหรับของประเภท 11 ในภาค 4 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 12) ยังระบุด้วยว่า สำหรับกรณีที่ประกาศกรมศุลกากร ที่ 4/2552 เรื่อง ระเบียบปฏิบัติสำหรับการขอยกเว้นอากรสำหรับของตามภาค 4 ประเภท 11 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 กำหนดให้ส่วนราชการที่เป็นผู้ยื่นขอยกเว้นอากรต้องเป็นส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไป และผู้ลงนามในหนังสือขอยกเว้นอากรต้องเป็นหัวหน้าส่วนราชการตั้งแต่ระดับกรมหรือเทียบเท่าขึ้นไปหรือผู้ได้รับมอบหมาย ย่อมไม่สอดคล้องกับนิยาม “ส่วนราชการ” ที่กำหนดไว้ในหมายเหตุท้ายช่องรายการของประเภท 11 ในภาค 4 ของบัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรฯ
เป็นเหตุทำให้หน่วยงานของรัฐประเภทองค์การมหาชนไม่สามารถขอยกเว้นอากรสำหรับการนำของเข้าหรือส่งของออกเพื่อบริจาคเป็นสาธารณกุศลแก่ประชาชนผ่านองค์การมหาชน หรือสำหรับของที่นำเข้ามาเพื่อให้แก่องค์การมหาชนได้ตามที่พระราชกำหนดดังกล่าวกำหนด
เนื่องจากองค์การมหาชนเป็นหน่วยงานที่อยู่ในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีที่รักษาการตามกฎหมาย มิได้เป็นหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงหรือสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี จึงไม่เป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินที่จะเทียบกับกรมได้
ดังนั้น กรมศุลกากรสมควรทบทวนแก้ไขระเบียบดังกล่าวให้สอดคล้องกับนิยาม “ส่วนราชการ” ที่บัญญัติไว้ในหมายเหตุท้ายช่องรายการของประเภท 11 ในภาค 4 ของบัญชีท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรฯ ต่อไป
ด้วยความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว จึงทำให้หนังในตำนานเรื่อง หนุมานพบ 11 ยอดมนุษย์ เดินทางเข้ามาอยู่ในความดูแลของ หอภาพยนตร์
โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรนำเข้าตามความเห็นของกรมศุลกากร แม้แต่บาทเดียว!!
