เสียงเตือน 3 นักวิชาการ ร่วมถกแก้ รธน.วง “โภคิน-พรรคร่วม”
"โคทม-สมบัติ-วุฒิสาร" 3 นักวิชาการที่เคยร่วมวงถกกับคณะทำงานพรรคร่วม รบ. ต่างส่งเสียงเตือนการ "แก้ไข รธน." รอบใหม่ออกมาพร้อมกัน ...ทำไม?

แถลงการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ประกอบด้วย "พรรคเพื่อไทย-พรรคชาติไทยพัฒนา-พรรคชาติพัฒนา-พรรคพลังชล" โดยมี นายโภคิน พลกุล ประธานคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่งหัวโต๊ะ ซึ่งถือฤกษ์วันรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา ประกาศว่าจะกลับเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง
แม้จะมีการโยนหินถามทางมาว่า จะมีการทำประชามติก่อนการลงมติร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ที่ค้างการพิจารณาอยู่ในวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่จะกลับมาเปิดสมัยประชุมอีกครั้ง ในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ ในวาระที่ 3
“ทีมข่าวอิศรา” สอบถามนักวิชาการและตัวแทนองค์กรต่างๆ ที่ไปแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กับคณะทำงานชุดโภคิน ว่าได้เสนอวิถีแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้อย่างไร และมองการประกาศกลับมาแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงเวลานี้อย่างไรบ้าง
คนแรก นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่เกริ่นนำว่า กล่าวว่า ข้อเสนอที่ไปพูดคุยกับคณะทำงาน ถือว่าไม่ได้การตอบรับใดๆ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“ผมไปคุยกับคณะทำงานดังกล่าวรวม 2 ครั้ง ครั้งแรก ผมเสนอว่าถ้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ไปยกร่างรัฐธรรมนูญ หากเดินต่อไปมันก็ตัน ควรจะให้มีคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวนร้อยกว่าคน ให้มีตัวแทนจากทุกภาคส่วน ไปยกร่างมาเลย ส่วนวิธีการอย่างไร ค่อยมาหารือกันอีกที เมื่อคณะกรรมการชุดนี้ยกร่างเสร็จ ก็ให้ส่งไปให้รัฐสภาพิจารณา หากผ่านความเห็นชอบในวาระที่ 1 และ 2 ก็ให้ไปทำประชามติ ถ้าประชาชนเห็นด้วย ก็ส่งไปให้รัฐสภาลงมติในวาระที่ 3 ข้อเสนอดังกล่าวมีจุดประสงค์คือต้องการให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยึดโยงกับทั้งรัฐสภาและประชาชน แต่คณะทำงานชุดนายโภคินดูจะไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้”
“ครั้งที่ 2 ผมก็เสนอว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ควรให้ฝ่ายการเมืองทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่ควรดึงภาคส่วนอื่นๆ มาร่วมด้วย ทั้งฝ่ายการเมือง นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ฯลฯ จะต้องได้เสนอแนวคิดของตัวเอง โดยกระบวนการนี้จะต้องทำก่อนมีการลงมติในวาระที่ 3 แต่ถึงเวลานี้ก็ชัดเจนว่า คณะทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลไม่รับแนวคิดนี้ เพราะแนวทางที่พูดคุยกับแนวทางที่จะทำมันขัดแย้งกัน เพราะเสียงในสภาฯเขาทำได้อยู่แล้ว แต่มันจะไม่สง่างาม เพราะเป็นการใช้เสียงข้างมากเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญไปเลย ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย ซึ่งผู้กระทำจะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตามมาด้วย” นายโคทมย้อนอดีต
นายโคทม กล่าวว่า เชื่อว่าเมื่อไรที่มีการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความขัดแย้งในสังคมจะมีขึ้นอย่างแน่นอน เพราะมีฝ่ายที่ประกาศตัวว่าไม่เอาด้วย ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และองค์กรอื่นๆ ที่บอกว่าไม่เห็นด้วย
“ผมไม่มองแบบ ปชป.ที่ว่ารัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายรัฐมนตรี แต่คิดในหลชักที่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลได้คิดรอบคอบแค่ไหนในการเดินหน้า เพราะหากคิดไม่รอบคอบ แล้วเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มี ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สุดท้ายก็ต้องออกมาเป็นรัฐธรรมนูญที่สังคมบางส่วนเขาอาจไม่ยอมรับ จะกลายเป็นปัญหาในอนาคตต่อไปไม่จบไม่สิ้น” นายโคทมกล่าว
คนที่ 2 นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า ได้รับเชิญจากคณะทำงานให้ไปแสดงความเห็น เพราะเคยเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตั้งในสมัยรัฐบาล ปชป. แต่ก็ไม่ได้มีการให้ข้อแนะนำหรือความเห็นอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้เสนอแนวคิดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้กับคณะทำงานรวมถึงไม่ได้บอก ด้วยว่าการลงมติของรัฐสภาในวาระ 3 ทำได้หรือไม่ได้
อย่างไรก็ตาม นายสมบัติ กล่าวว่า หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญควรแก้เป็นรายมาตราดีกว่าจะมาแก้ทั้งฉบับ คือแก้เฉพาะที่เป็นปัญหาจริงๆ เช่นมาตรา 237 เรื่องการยุบพรรคการตัดสิทธิการเมืองห้าปี ซึ่งเป็นมาตราที่เห็นได้ว่าหลายส่วนเห็นพ้องไปในทางเดียวกันว่าเป็นเรื่องที่ควรแก้ไข รวมถึงมาตราอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นปัญหาอีกก็เสนอกันไป
“รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันยังใช้ได้ดี และหลักการสำคัญหลายมาตราก็ดึงมาจากรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 การแก้ก็ควรแก้ที่เป็นปัญหาในการบังคับใช้จริงๆ เว้นแต่เห็นตรงกันในสังคมว่าบางเรื่องจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงทั้งโครงสร้างไปเลย สร้างโครงสร้างใหม่ขึ้นมา ก็ถึงจะยกร่างใหม่ทั้งฉบับ แต่วันนี้ดูสภาพการณ์แล้ว คนส่วนใหญ่ไม่พร้อมที่จะให้มีการแก้ใหม่หมด” นายสมบัติเชื่อ
นายสมบัติยังกล่าวย้ำว่า ยิ่งเวลานี้แค่บอกจะกลับมาเริ่มต้นใหม่กันอีกกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็เห็นแล้วว่ามีความเห็นที่ไม่เห็นด้วย เห็นแตกต่างออกมา สุดท้ายความเห็นที่แตกต่างกันแบบนี้ ก็จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองต่อไป
“เวลานี้ถือว่าการเมืองนิ่งดีมากโดยเฉพาะหลังประเทศผ่านพ้นวันสำคัญ 5 ธันวาคมมาแล้ว การแก้ไขรัฐธรรมนูญกระบวนการต่างๆ มันใช้เวลานานเป็นปี ก็จะทำให้เกิดเรื่องอะไรต่างๆ ตามมาได้ในช่วงนั้น ถ้าอยากเห็นบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ การจะทำอะไรทั้งที่เห็นผลข้างหน้าว่าจะเกิดปัญหาเกิดข้อขัดแย้ง ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ แล้วจะทำทำไม ก็นักการเมืองไม่ใช่หรือที่ชอบพูดเสมอว่าทำเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อประชาชน พฤติการณ์กับคำพูดต้องไปด้วยกันด้วย นักการเมืองต้องทำในสิ่งที่พูด” คือคำเตือนจากอธิการบดีนิด้า
และคนสุดท้าย นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ที่กล่าวว่า ได้บอกกับคณะทำงานไปว่า การจะลงมติกวาระที่ 3 ร่างรัฐธรรมนูญที่ค้างระเบียบวาระการประชุมสภาฯอยู่ เป็นการตัดสินใจทางการเมืองที่พรรคร่วมรัฐบาลสามารถตัดสินใจได้เอง
นายวุฒิสาร กล่าวว่า แต่ตนได้ย้ำไปว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าพูดขึ้นมาเมื่อใด ก็ต้องมีคนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังนั้นหากจะแก้ไขไม่ว่าทำแบบไหน ก็ต้องบอกกับสังคมให้ชัด ต้องเคลียร์ให้จบก่อนว่าปัญหาของการใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้อยู่ตรงไหน แล้วจะปรับปรุงให้ดีขึ้นอย่างไร ต้องทำให้สังคมเห็นประเด็นหลักตรงนี้
“คนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เป็นเรื่องปกติ สำคัญที่ว่าต้องสื่อสารให้สังคมเข้าใจ การจะทำประชามติ ไม่ว่าก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือก่อนการบังคับใช้ ถ้าสังคมไม่เข้าใจ ทำไปก็ไม่มีความหมาย ผลลัพธ์ออกมาก็ไม่คุ้มค่ากับงบประมาณที่เสียไป” นายวุฒิสารชี้เงื่อนปมสำคัญ
รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ถ้าสังคมไม่ไว้วางใจว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญไปเพื่ออะไร แล้วรัฐบาลจะใช้เสียงข้างมากเลย ก็ต้องระวังจะก่อให้เกิดความชัดแย้งตามมา ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องอธิบายให้ได้ว่าจะแก้เพื่ออะไร
“เพราะเมื่อดูแล้วการแก้รัฐธรรมนูญหากเป็นไปตามที่เขาประกาศ ที่จะทำให้เป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยบอกว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลพวงจากคณะรัฐประหาร ต้องยกเลิกแล้วร่างฉบับใหม่ คนที่ไม่เห็นด้วยก็ย่อมมี ตรงนี้ก็ต้องระวังอาจเกิดเหตุอะไรขึ้นก็ได้” นายวุฒิสารกล่าว
