ผุดอีกไอเดียปรามทุจริต จี้เปิดข้อมูลการเสียภาษี นักการเมือง ขรก.ระดับสูง

คณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นการปฏิรูปฯ เสนอใช้มาตรการภาษีเล่นงานคนส่อทุจริต มอบป.ป.ช.เป็นเจ้าภาพ นำบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สินมาเทียบกับข้อมูลเสียภาษี พบผิดปกติส่งสรรพากรสอบซ้ำ ชี้เจ้าตัวอธิบายไม่ได้ ให้เสียภาษีย้อนหลัง 10 ปี
วันที่ 19 ธันวาคม คณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ร่วมกับ คณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชัน สำนักงานปฏิรูปเพื่อสังคมไทยที่เป็นธรรม จัดเวทีสัมมนารับฟังความเห็นภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ต่อ “ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูประบบการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยใช้พลังทางสังคมเป็นแรงขับเคลื่อน” โดยจะนำเข้าสู่เวทีสมัชชาปฏิรูปประเทศไทยที่จะจัดขึ้นในกลางปีหน้า (2556) ต่อไป
นายแพทย์พลเดช ปิ่นประทีป คณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นฯ ได้นำเสนอข้อเสนอเพื่อการปฏิรูประบบป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ใน 7 หัวข้อดังนี้
1.เสริมสร้างพลังทางสังคมที่เข้มแข็งในการป้องกันและสนับสนุนการปราบปรามการทุจริต
2.ปรับเปลี่ยนเจตคติทางสังคมให้เอื้อต่อการเอาชนะปัญหาการทุจริต
3.สร้างบรรทัดฐานสำหรับผู้บริหารประเทศให้เป็นแบบอบ่างในด้านการประกอบอาชีพสุจริตและเสียภาษีรายได้แก่รัฐ
4.สร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างและการใช้จ่ายงบประมาณสาธารณะของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ
5.ส่งเสริมกระบวนการผู้ชี้เบาะแสและคุ้มครองพยานในการปราบปรามการทุจริต
6.เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคดีทุจริตที่คั่งค้าง
7.เพิ่มประสิทธิภาพในการกลั่นกรองคนดีเข้าสู่อำนาจในการบริหารประเทศ
นพ.พลเดช กล่าวถึงการสร้างบรรทัดฐานสำหรับผู้บริหารประเทศว่า เป็นการใช้มาตรการทางภาษี โดยในระยะสั้นให้ ป.ป.ช.ออกระเบียบ คำสั่ง หรือประกาศให้ ป.ป.ช.มีหน้าที่ต้องตรวจสอบเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ กับข้อมูลการเสียภาษีเงินได้ของผู้นั้นว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ หากปรากฏความไม่สอดคล้องกันของผู้ใด ให้ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรตรวจสอบประเมินภาษี
ในระยะต่อมา ขอให้รัฐบาลหรือรัฐสภาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ให้ผู้ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ ต้องเปิดเผยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของผู้นั้นต่อสาธารณะย้อนหลังไปเป็นเวลา 10 ปี โดยตรวจสอบจากทรัพย์สิน หนี้สิน รายรับ รายจ่าย หรือสภาพการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่สอดคล้องกับภาษีเงินได้ที่แสดงไว้ต่อกรมสรรพากร รวมทั้งให้ตรวจสอบไปถึงกรณีการใช้ตัวแทนหรือนอมินีในการถือครองทรัพย์สินและหนี้สินแทนด้วย
“วิธีนี้เป็นการต่อยอดจากการแสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน เมื่อเห็นความผิดปกติของการเสียภาษี ป.ป.ช.ก็ใช้อำนาจให้สรรพากรตรวจสอบภาษีย้อนหลัง และที่สำคัญภาระในการชี้แจงก็จะต้องเป็นของเจ้าตัว ถ้าอธิบายได้ก็จบ ถ้าอธิบายไม่ได้ก็เสียภาษีย้อนหลัง” นพ.พลเดชกล่าว
นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ที่ปรึกษาคณะทำงานวิชาการเฉพาะประเด็นการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชัน กล่าวเพิ่มเติมว่า มาตรการนี้มีการใช้กันมานานแล้วในอารยประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ สำหรับสังคมไทยเองก็เชื่อมั่นว่าเรื่องภาษีเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่สังคมยอมรับได้ ปัจจุบันนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหลายท่านมีทรัพย์สินมากมาย แต่อาชีพและรายได้ที่เปิดเผยได้ มักไม่ได้รับคำอธิบายให้เห็นถึงความเป็นไปได้ เช่น คนที่เป็นอดีตข้าราชการยื่นบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน 200-300 ล้าน ถ้าบุคคลเหล่านี้บอกว่ามีเงินเดือนอย่างเดียว ในขณะที่ข้าราชการระดับสูงมีรายได้จากเงินเดือนประมาณล้านกว่าบาทต่อปี แสดงว่าต้องมีรายได้อย่างอื่น
“ไม่ว่าจะได้เงินมาอย่างไร เมื่อเป็นเงินได้ โดยหลักของระบบภาษีแล้วก็ต้องเสียภาษี ถ้ารอแต่จะพิสูจน์ว่าเงินที่ได้มาจากการทุจริตแล้วถึงจะเข้าไปตรวจสอบโดยกระบวนการที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มันไปไม่ถึง” นายอนุรักษ์กล่าว
ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า มาตรการปราบปราบทุจริตคอร์รัปชั่นในปัจจุบันมี 5 อย่าง ได้แก่ 1.ดำเนินคดีทางอาญาในความผิดฐานทุจริตหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 2.ยึดทรัพย์ให้ตกเป็นสมบัติของแผ่นดินฐานร่ำรวยผิดปกติ 3.ให้แสดงรายการบัญชีทรัพย์สิน-หนี้สิน ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง 4.ยึดทรัพย์ตามมาตรการการฟอกเงิน 5.การดำเนินการทางวินัยต่อเจ้าหน้าที่รัฐ.
