"เจ้าพ่อสวนดุสิตโพล" เฉลยที่มาคำถามเบาๆ เรื่องนักการเมือง กับ "วันสิ้นโลก"!
“(คำถามเรื่องวันสิ้นโลก) สิ่งที่อยากเสนอคือ เราเคร่งเครียดกับการเมืองมามาก ลองมามุมขำขันดูบ้างไหม คำถามในโพลดังกล่าว จึงออกมาในลักษณะผ่อนคลาย ไม่ซีเรียส เพื่อให้สุขภาพจิตดีขึ้น”

วันที่ 21 ธันวาคมนี้ ถูกลือมาแรมปี ว่าจะเป็น “วันสิ้นโลก”
แต่ผลการสำรวจความคิดเห็น หรือโพล ของ “สวนดุสิตโพล” เรื่องวันสิ้นโลก ที่มีคำถามสำคัญคือ “ถ้าวันสิ้นโลกเป็นจริง อยากให้นักการเมืองคนไหนรอด” กลับถูกตั้งคำถามกลับว่า ทำไปเพื่ออะไร? คนไทยหรือสังคมไทยได้ประโยชน์อะไรจากการผลโพลดังกล่าว?
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) จึงไปนั่งพูดคุยกับ ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล เพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้
ดร.สุขุม เริ่มต้นบทสนทนา ด้วยการกล่าวถึงหลักคิดในการทำโพลของสวนดุสิตโพลว่า ทำขึ้นเพื่อสร้างฐานข้อมูล ให้รู้ถึงความคิดเห็นของประชาชนในหลายด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
สำหรับวิธีการเก็บข้อมูลของสวนดุสิตโพล ดร.สุขุม กล่าวว่า จะใช้สิ่งที่เรียกว่า “การวิจัยเชิงสำรวจ” คือนำหลักสถิติในการจับประเด็นต่างๆ เอามาเรียงลำดับความสำคัญ และจะใช้หลักวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถอธิบายที่มาที่ไปของตัวเลขต่างๆ ได้ทั้งหมด
“คำถามเรื่องวันสิ้นโลกอยากให้ใครรอด เราไม่ได้มีช้อยส์ให้คนที่ทำแบบสำรวจเลือก ผลที่ออกมาจึงเป็นตัวชี้วัดจริงๆ ว่าทำไมประชาชนอยากให้นักการเมืองคนไหนรอดชีวิต ซึ่งมองในเชิงบวกจะเป็นตัววัดความนิยม ว่าประชาชนห่วงใยนักการเมืองคนไหน เพราะอะไร คล้ายๆ กับเป็นการจัดอันดับ” ดร.สุขุมกล่าว
ประธานดำเนินงานสวนดุสิตโพล ยังกล่าวถึง “ที่มา” ของคำถามดังกล่าวว่า สิ่งที่อยากเสนอคือเราเคร่งเครียดกับการเมืองมามาก ลองมามุมขำขันดูบ้างไหม คำถามในโพลดังกล่าว จึงออกมาในลักษณะผ่อนคลาย ไม่ซีเรียส เพื่อให้สุขภาพจิตดีขึ้น
“สังคมไทยที่มันยุ่งเหยิงในปัจจุบัน เพราะขาดอารมณ์ขัน เราไปซีเรียส จริงจัง กับเรื่องราวต่างๆ มากไปหรือไม่ ทั้งที่จริงๆ แล้ว อารมณ์ขันกับคนไทยอยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน และการหยอกล้อกัน ทำให้ภาคสังคมไทยดูเอื้ออาทรต่อกัน” ดร.สุขุมกล่าว
เขายังกล่าวว่า ที่ให้โหวตว่าจะเลือกนักการเมืองคนไหนรอด จริงๆ มันก็จะสะท้อนความผูกพันนะ แต่ถ้ามองแบบจริงจัง คือคะแนนนิยมเขาดีนะ อยากให้มองโพลในหลายๆ มิติ
ส่วนข้อสงสัยว่าการทำโพลจะมีผลต่อการชี้นำประชาชนในบางเรื่องหรือไม่?
ดร.สุขุม กล่าวว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วเขาสามารถออกโพลได้ทุกเวลา ไม่เว้นแม้แต่ระหว่างการเลือกตั้ง ที่เป็นเช่นนั้นเพราะสภาพการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคมของเขา มันบ่มเพาะให้คนถูกชักจูงได้ยาก แต่กลับกันในประเทศกำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา เมื่อโพลออกมา ทุกคนกลับเลือกบุคคลที่คะแนนในโพลนำโด่ง เพราะไม่มีใครอยากเลือกผู้แพ้ นี่คือความแตกต่าง
ดร.สุขุมยังกล่าวถึงขั้นตอนในการสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพล ว่า สำหรับงบที่ใช้จะมี 2 ส่วน คือ 1.หากเป็นโพลสาธารณะ จะใช้งบของตัวเอง 2.หากเป็นโพลที่มีคนจ้างมาก็จะใช้เงินก้อนนั้นในการจัดทำ
ส่วนการสุ่มกลุ่มตัวอย่าง เขากล่าวว่า จะคำนวณตามจำนวนประชากรเป็นหลัก ทำให้ภาคอีสานมีกลุ่มตัวอย่างมากกว่าภาคใต้ เพราะมีประชากรเยอะกว่า นอกจากนี้จะใช้วิธีการเวียนจังหวัด โดยดูขนาดของจังหวัด เช่น ถ้าเคยสำรวจ จ.อุบลราชธานีไปแล้ว ครั้งนี้ก็อาจจะสำรวจที่ จ.นครราชสีมา นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงเพศ อาชีพ อายุ การศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับคำถามในโพลนั้นๆ ด้วย
ดร.สุขุม ให้ข้อมูลอีกว่า กำลังหลักในทำงานของสวนดุสิตโพลได้แก่คนของ “มหาวิทยาลัยราชภัฏ” ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ
เขายังกล่าวว่า หน้าที่หลักของสวนดุสิตโพล ก็คือการ “สะท้อนข้อมูล” ต่างๆ ออกมา เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับหน่วยงานต่างๆ จะนำไปต่อยอด เพราะในยุคปัจจุบัน คนที่มีข้อมูลข่าวสารมากกว่า ก็จะได้เปรียบในการตัดสินใจหรือต่อรองเรื่องสำคัญ
“นี่คือหน้าที่เรา สร้างฐานข้อมูลไว้ประกอบการตัดสินใจระดับชาติ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมสะท้อนความคิดเห็น” ดร.สุขุมกล่าวทิ้งท้าย
-ที่มาภาพประกอบ เว็บไซต์สยามอินเทลลิเจนต์
