“The Dreamers” ภาพสะท้อนประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสและค่านิยมทางเพศของวัยรุ่นไทย

เมื่อเร็วๆ นี้ ชมรมประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ กลุ่มประชาคมจุฬาฯเพื่อประชาชน (CCP) ได้ร่วมฉายภาพยนตร์เรื่อง The Dreamers และเสวนาในหัวข้อ “เปลือยฝัน 1968 : งานฉายภาพยนตร์และเสวนา เรื่อง The Dreamers" ณ อาคารมหาจักรีสิรินธร คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยวิทยากรที่เข้าร่วมวงเสวนา ได้แก่ นายธนัท ปรียานนท์ ประธานชมรมประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายกษิติ สังข์กุล นิสิตสาขาโฆษณา มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ และ รองศาสตราจารย์ฉลอง สุนทราวาณิชย์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
The Dreamers กำกับโดยผู้กำกับชื่อดังอย่าง Bernardo Bertolucci ออกฉายในปี 2003 โดยดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ The Holy Innocents ของ Gilbert Adair ภาพยนตร์จับเหตุการณ์จลาจลกลางกรุงปารีสในปี 1968 มาเล่า ฝรั่งเศสตอนนั้นเป็นช่วงที่นักศึกษากำลังลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลแบบจารีตนิยม โดยมีจุดเริ่มจากการประท้วงกรณีปลดผู้อำนวยการหอภาพยนตร์แห่งชาติ และขยายไปสู่การลุกฮือของพวกกรรมกรในเวลาต่อมาด้วย
ในเรื่อง “แมทธิว” หนุ่มอเมริกันผู้หลงใหลในศิลปะภาพยนตร์และประเทศฝรั่งเศส ได้เดินทางมาปารีสและใช้เวลาขลุกอยู่แต่ในหอภาพยนตร์ เขาได้รู้จัก “อิซาเบล” และ “ธีโอ” พี่น้องฝาแฝด ทั้งสองอาศัยช่วงที่พ่อแม่ไปตากอากาศ ชวนแมทธิวมาค้างที่บ้าน
หนุ่มสาวทั้ง 3 ได้ร่วมกันทดลองค้นหาตัวตน รวมทั้งตรวจสอบอารมณ์ ความปรารถนาและสภาพจิตใจในรูปแบบต่างๆ แมทธิวมีเพศสัมพันธ์กับอิซาเบล ธีโอก็พยายามมีเพศสัมพันธ์กับแมทธิวเช่นกัน แต่ท้ายที่สุด ทั้งสามก็ได้เข้าร่วมกับชบวนประท้วง
ในช่วงแรก นายธนัท ปรียานนท์ ได้แสดงทัศนคติว่า เหตุการณ์ในภาพยนตร์ The Dreamers คือเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1968 นั้นเป็นยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงและการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งตัวภาพยนตร์ก็ใช้ตัวละคร 3 ตัว คือ แมทธิว เธโอ และอิซาเบล ในการท้าทายสถาบันทางสังคมต่างๆ โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวและการเมือง
ส่วน นายกษิติ สังข์กุล นักศึกษาสาขาการโฆษณา มหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า สิ่งที่สังเกตได้ชัดจากการดูภาพยนตร์เรื่องนี้ของตัวเองจำนวนหลายรอบแล้ว เชื่อได้ว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้าง “พัฒนาการทางอารมณ์” ให้กับผู้ชมหากได้อย่างแน่นอน เช่น ดูรอบแรกอาจจะชื่นชอบ ประทับใจ แต่ดูครั้งต่อๆ ไป อาจจะเริ่มรังเกียจตัวละครมากขึ้นก็เป็นได้ ส่วนความโป๊เปลือยของตัวละครในหลายๆ ฉากนั้นเป็นสิ่งที่แล้วแต่คนจะมองว่าเหมาะสมหรือไม่
“มีการวิพากษ์วิจารณ์กันหลายกระแสมากว่า ความโป๊เปลือยที่ปรากฏบนภาพเป็นความไร้รสนิยมของผู้กำกับ ซึ่งตรงนี้ผมขอไม่แสดงความคิดเห็นว่า ความไร้รสนิยมกับความโป๊เปลือยมันเชื่อมโยงกันอย่างไร และหนังเรื่องนี้เป็นหนังดีไหม ผมก็คงไม่สามารถตอบได้ และคิดว่าคงไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ด้วย” นายกษิติ กล่าว
นักศึกษาสาขาภาพยนตร์ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นเรื่องวัยรุ่นนั้น ตนมองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สะท้อนวัยรุ่นฝรั่งเศสสมัยนั้นอย่างชัดเจน คือเป็นยุตที่คนหนุ่มสาวไฝ่หาเสรีภาพอย่างมาก ต้องการสร้างเอกลักษณ์แบบปัจเจกบุคคลมากขึ้น จะเห็นได้จากพฤติกรรมของตัวละครที่ทั้งท้าทายขนบทั้งเรื่องเพศ ครอบครัว และแนวคิดทางการเมือง แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งข้อมูลทางประวัติศาสตร์และตอนจบของ The Dreamers เองก็ไม่ได้เชิดชูคนพวกนี้หรือบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1968 เป็นความสำเร็จทางอุดมการณ์ของคนหนุ่มสาวที่ “มีไฟ” แต่อย่างใด
ทางด้าน รองศาสตราจารย์ฉลอง สุนทราวาณิชย์ ได้กล่าวถึงบริบททางประวัติศาสตร์ในช่วงปี 1968 ที่มีผลต่อ “สังคมไทย” โดยชี้ว่า วัยรุ่นไทยช่วงนั้นได้รับอิทธิพลทางการเมืองโดยตรงจากการปฏิวัติฝรั่งเศสปี 1968 น้อยมาก เนื่องจากปฏิวัติ 1968 ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ปรากฏผลชัดเจน และไม่ต่อเนื่องเท่ากับปฏิวัติในปี 1789 แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในปี 1968 ก็แสดงให้เห็นกระแสโลกที่กำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอีกหลายๆ ด้านทั่วโลก ไม่เพียงแต่ในฝรั่งเศส ซึ่งไทยเองก็อยู่ในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นด้วย
เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกิดร่วมสมัยกัน ได้แก่ การปฏิวัติจีนของ “เหมา เจ๋อตุง” และการชนะการรบ Tet Offensive ของคอมมิวนิสต์เวียดนามนำโดย “โฮจิมินท์” ทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจอิทธิพลของประเทศตะวันออกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยในช่วงนั้นกลับทำตัวเป็นแค่ “สุนัขรับใช้” ของชาติตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกาในการรุกรานเพื่อนบ้าน ราวกับว่าการปฏิวัติ 1968 ในฝรั่งเศสเป็นปรากฏการณ์ที่สวนทางกับบทบาทของประเทศไทยในช่วงนั้นก็ว่าได้
ในขณะเดียวกัน สำหรับประเด็น “เรื่องเพศ” ใน The Dreamers อาจารย์จากภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ฝังแนวคิดค่านิยมการ “ปลดปล่อย” ทางเพศของตะวันตกมาด้วย เนื่องจากในช่วงปี 1968 เกิดกระแส “การปลดปล่อยทางเพศ” หรือ Sexual Liberation ขึ้นด้วย ประกอบกับการเข้ามาของทหารอเมริกันในไทยช่วงสงครามเวียดนาม เหล่านี้ทำให้วัยรุ่นไทยในสมัยนั้นก็ได้รับอิทธิพลเกี่ยวกับแนวคิดทางเพศแบบตะวันตกมามากกว่าเรื่องแนวคิดทางการเมือง มีความพยายามท้าทายค่านิยมทางเพศแบบเดิมของสังคมไทยด้วยกิจกรรมทางเพศแบบตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ และพัทยา จะเห็นได้จากการเกิดสถานบันเทิงและสถานเริงรมย์ต่างๆ มากมาย
“ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นช่วงนั้นต้องยอมรับเลยว่า ค่อนข้างอึดอัด อึดอัดในแง่ที่ว่าเราเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่กดทับ อย่างก็เพิ่งจะมาเรียนสหจริงๆ ตอนเข้าเตรียมฯ เวลาเจอผู้หญิงนี่สั่นกลัวเลยครับ ทำตัวไม่ถูก แต่ในขณะเดียวกัน นั่นคือช่วงที่กิจกรรมทางเพศของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นกัน” รองศาสตราจารย์ฉลอง กล่าว
นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ฉลอง ยังได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจด้วยว่า ในช่วงที่คนหนุ่มสาวที่มีหัวคอมมิวนิสต์ของไทย “หนีเข้าป่า” ไปอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์แบบจีน แต่สุดท้ายก็ต้องหนีออกมาสู่เมืองอีกครั้งนั้น เหตุผลหนึ่ง น่าจะเป็นเพราะการกดทับเรื่องเพศของสมาชิกพรรคอย่างเข้มงวดจนทำให้คนหนุ่มสาวไทยที่อาจมีค่านิยมเรื่องเพศแบบตะวันตกแล้วในช่วงนั้นไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้นั่นเอง
