เอแบคโพลล์ชี้ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งต่อเนื่อง หวังปี 56 การเมืองปรองดองพาชาติเจริญ
เอแบคโพลล์ชี้ดัชนีความสุขคนไทยโตต่อเนื่อง จากความกลมเกลียวคนในชาติเทิดทูนสถาบันกษัตริย์ คาดปี 56 นักการเมืองปรองดองสร้างพาประเทศเจริญ ระบุ ‘แหล่งท่องเที่ยว’ ยังเป็นโอกาสทองของชาติ
น.ส.ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลการศึกษาวิจัย ‘ความสุขประเทศไทยประจำปี 2555 กับ จุดแข็ง โอกาส แรงบันดาลใจ และผลลัพธ์ของประเทศไทยที่คนไทยต้องการในปี 2556’ พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยภายในประเทศประจำปี 2555 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบว่า ความสุขมวลรวมของคนไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลาในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี คือ จาก 7.40 ในต.ค. มาอยู่ที่ 7.53 ในพ.ย. และมาอยู่ที่ 7.61 ในธ.ค. โดยดัชนีความสุขที่มีค่าสูงสุดยังคงอยู่ที่การได้เห็นความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนในชาติแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ อยู่ที่ 9.54 รองลงมาคือบรรยากาศความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวอยู่ที่ 7.80 สุขภาพใจอยู่ที่ 7.63 สุขภาพกายอยู่ที่ 7.40 หน้าที่การงาน การประกอบอาชีพที่ทำอยู่ในปัจจุบันอยู่ที่ 7.22 วัฒนธรรมประเพณีไทยอยู่ที่ 7.17 และภาพลักษณ์ของประเทศไทย คนไทยในสายตาต่างชาติ อยู่ที่ 7.13 ตามลำดับ
สำหรับองค์กรและคณะบุคคลที่ประชาชนเรียกร้องให้ช่วยกันสร้างความปรองดองของคนในชาติในปี 2556 ที่ พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 35.2 ได้แก่ นักการเมือง รองลงมา คือ ร้อยละ 27.5 ได้แก่ สื่อมวลชน อันดับสามหรือร้อยละ 13.2 ได้แก่ กลุ่มนายทุน และการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รองๆ ลงไปคือ กองทัพ ฝ่ายปกครอง ตำรวจ องค์กรอิสระ เช่นสถาบันศาล กรรมการสิทธิฯ และอื่นๆ เช่น วุฒิสมาชิก เป็นต้น
เมื่อถามถึง ‘โอกาส’ ของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 45.9 ระบุเป็นแหล่งท่องเที่ยวของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติทั่วโลก รองลงมาคือ ร้อยละ 26.7 ระบุมีการค้าการลงทุนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 11.4 ระบุเป็นประเทศที่เจริญเติบโตด้วยเทคโนโลยี ร้อยละ 10.9 ระบุคนในชาติมั่งมี ร่ำรวย เป็นสุขและคุณธรรมมั่นคงในจิตใจของประชาชน และสุดท้ายคือร้อยละ 5.1 ระบุเป็นศูนย์รวมหรือฮับด้านสุขภาพและความสวยความงามของผู้คน ตามลำดับ นอกจากนี้ ด้านจุดแข็งของประเทศไทยที่มีมากที่สุด พบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 36.7 ระบุเป็นประชาธิปไตย รองลงมาคือ ร้อยละ 23.3 เป็นประเทศเดียวจะแบ่งแยกไม่ได้ รองๆ ลงไปคือ ทำเลดีเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน มีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเป็นเมืองแห่งโอกาส ตามลำดับ
ส่วนแรงบันดาลใจของคนไทยเพื่อทำสิ่งที่ดีในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือ ร้อยละ 48.9 ระบุความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ รองลงมาคือ ร้อยละ 16.8 ระบุความเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณแผ่นดิน และรองๆ ลงไปคือ การให้อภัย มีความรัก ความสามัคคี ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ความขยันหมั่นเพียร มีวินัย จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ตามลำดับ สอดคล้องกับผลลัพธ์ที่คนไทยต้องการในปี 2556 พบว่า อันดับหนึ่งหรือร้อยละ 38.1 ระบุความสงบสุข ร่มเย็น ความเป็นเอกภาพปรองดองของคนในชาติ รองลงมาคือร้อยละ 24.3 ระบุ ร่ำรวย มีกิน มีใช้ และรอง ๆ ลงไปคือ คุณธรรมและหลักศาสนา ความมั่นคงในจิตใจของผู้คน สุขภาพใจร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว และเป็นที่ยอมรับชื่นชอบของนานาประเทศทั่วโลก ตามลำดับ
ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวว่า ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศชาติสงบสุขร่มเย็นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้จักให้อภัย และเกิดความปรองดองของคนในชาติขึ้นอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นเช่นกันว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้จบปริญญาหรือการศึกษาสูงมากนักและมีรายได้น้อยแต่ ‘คิดได้’ และ ‘คิดเป็น’ มีวุฒิภาวะทางปัญญาโดยเล็งเห็นว่า ประเทศชาติและประชาชนจะอยู่รอดได้ทุกสถานการณ์ ถ้านักการเมืองทำบทบาทที่แท้จริงของนักการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยนั่นคือ การทำหน้าที่ ‘ลดความขัดแย้ง’ ในหมู่ประชาชน ‘ไม่ใช่ตัวสร้างความขัดแย้ง’ ให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชนเสียเอง
ดังนั้น ความสุขของคนไทยส่วนใหญ่ทั้งประเทศที่อยู่บนความต้องการเห็นผลลัพธ์ ผลพลอยได้ของประเทศไทยในปี 2556 ที่จะมาถึงนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยการทำ ‘หน้าที่’ ของนักการเมือง และสถาบันสื่อมวลชนที่ต้องช่วยกันทำให้ประเทศไทยเป็น ‘เมืองแห่งโอกาส’ ของความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน และช่วยกันประคับประคองอารมณ์ของผู้คนในชาติ ไม่เป็นฝ่ายปลุกปั่นยุยงให้เกิดความรุนแรงบานปลายขึ้น และถ้าเกิดอะไรขึ้นในปีหน้าที่จะนำสู่การสูญเสียก็ควรใช้ทางออกของการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่นานาประเทศให้การยอมรับทั่วโลกเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศเอาไว้ให้เกิดความมั่นคงยั่งยืนต่อไป.
