ระเบิด “ประชามติ” ศึกใหญ่ปี 2556
การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จะเป็นประเด็นร้อนตลอดปี 2556 อีกครั้ง เมื่อรัฐบาลตัดสินใจทำประชามติ ถามความเห็นประชาชนว่า “เห็นด้วยให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับหรือไม่”

การเปิดเกมรุกรอบนี้เพื่อให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตามเกมที่รัฐบาลต้องการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หลังมีความพยายามมากว่า 1 ปี ใน "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ซึ่งได้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เพื่อตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แต่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่สามารถแก้ไขทั้งฉบับได้ เพราะรัฐธรรมนูญ 2550 มาจากการทำประชามติ ดังนั้น หากจะแก้ทั้งฉบับก็ควรความเห็นประชาชนผ่านการทำประชามติเช่นกัน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้เลือกแนวทางการทำประชามติ โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ตั้งคณะทำงานศึกษาการทำประชามติ กำหนดส่งผลสรุปให้ ครม.ภายในเดือนมกราคม 2556 จากนั้นจะลุยทำประชามติคาดว่า จะมีขึ้นในเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2556
แม้ว่ารัฐบาลตัดสินใช้วิธีประชามติ แต่ก็มีข้อเสนออีก 2 แนวทาง ที่อาจเป็นทางเลือกสำรองในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากการทำประชามติไม่ผ่าน นั่นคือ 1.เดินหน้าลงมติวาระ 3 ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่คาวาระที่ประชุมรัฐสภา เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ตามการผลักดันของแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นักวิชาการฝ่ายแดง รวมถึง นายจาตุรนต์ ฉายแสง
หรือ 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา โดยให้รัฐสภาหรือ ครม.เป็นผู้เสนอร่างแก้ไข ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี หัวหอกขับเคลื่อน ได้เสนอให้แก้ 9 ประเด็น 89 มาตรา อาทิ ยกเลิกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปรับปรุงศาลปกครอง ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ ยกเลิกผู้ตรวจการแผ่นดิน เปลี่ยนที่มาของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้สรรหา
อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลเลือกการทำประชามติ เป็นเดิมพันชี้ขาดการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อหยุดกระแสต้านการแก้ไขตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
แต่การประชามติก็ไม่ง่ายสำหรับรัฐบาล หากพิจารณาปมต่างๆ ที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำ นปช. ชี้ช่องถึงความเสี่ยง มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ
1.จำนวนเสียงที่อาจไม่ถึงตามเกณฑ์ซึ่งทำให้การประชามติต้องล่มลง ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการทำประชามติ พ.ศ.2552 มาตรา 9 ระบุว่า การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติต้องมี “ผู้มาออกเสียง” เป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น
พท.กังวลมากที่สุด เกรงว่า จะได้เสียงไม่ถึง ซึ่งการทำประชามติมีสองด่าน
ด่านแรกที่ต้องทลายให้ได้ คือต้องมีผู้เดินทางมาใช้สิทธิ์เข้าคูหาเกินกึ่งหนึ่ง คือ 24 ล้านคนขึ้นไป จากตัวเลขผู้มีสิทธิ์ออกเสียงทั่วประเทศอย่างไม่เป็นทางการ 48 ล้านคน
ถ้าผ่านขั้นตอนนี้ได้ ยังต้องผ่านด่านที่สอง กล่าวคือ ในจำนวนผู้มาออกเสียงประชามติต้องมีเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งคือ 12 ล้านเสียงขึ้นไป ที่ลงคะแนนสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
โจทย์สำคัญอยู่ที่ด่านแรก คือการรณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เกิน 24 ล้านคนซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากหรือมากกว่า 50% ของจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ
เหตุผลของแกนนำ พท.ที่คัดค้านการทำประชามติ อ้างว่า การทำประชามติต่างจากการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ปกติแล้วจะมีผู้มาใช้สิทธิ์เกิน 50% ของประเทศ เนื่องจากมีปัจจัยและการรณรงค์จากหลายภาคส่วน กระตุ้นให้ประชาชนเข้าคูหา ไม่นอนหลับทับสิทธิ์ ที่สำคัญการเลือกตั้ง ส.ส. เป็นการชี้ขาดว่า พรรคใดควรมาเป็นรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ แก้ปัญหาปากท้องประชาชน
เมื่อดูการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งล่าสุดปี 2554 มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ทั่วประเทศ 35.2 ล้านคน จากยอดผู้มีสิทธิ์ 46.9 ล้านคน คิดเป็น 75 %
สำหรับคะแนนเสียงปาร์ตี้ลิสต์ที่เลือกพรรคเพื่อไทยมี 15.7 ล้านเสียง ถ้ารวมกับพรรคร่วมรัฐบาล 5 พรรค ก็ยังไม่ถึง 24 ล้านเสียง คือมีเพียง 17.4 ล้านเสียง
แยกย่อยกันให้เห็นชัดๆ อีกครั้ง
เฉพาะพรรคเพื่อไทย 15.7 ล้านเสียง
พรรคร่วมรัฐบาล ประกอบด้วย พรรคชาติไทยพัฒนา 0.90 ล้านเสียง พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน 0.4 ล้านเสียง พรรคพลังชล 0.17 ล้านเสียง พรรคมหาชน 0.13 ล้านเสียง และพรรคประชาธิปไตยใหม่ 0.1 ล้านเสียง
หรือจะให้บวกพรรคภูมิใจไทยทั้งพรรคเพราะเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีแนวโน้มเข้าร่วมรัฐบาลก็มีแค่ 1.2 ล้านเสียง
รวมเสียงทั้งหมดของฝ่ายรัฐบาลและที่คาดว่าจะเป็นรัฐบาลมี 18.6 ล้านเสียง
ถ้ายึดตัวเลขคร่าวๆจากการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งหลังสุดนี้ซึ่งเพิ่งผ่านไปเพียงปีเศษ หากรัฐบาลจะผ่านเสียงประชามติ ก็ต้องหาเพิ่มอีก 5.4 ล้านเสียงถึงจะได้ 24 ล้านเสียง
ย้อนกลับไปดูสถิติคะแนนปาร์ตี้ลิสต์ พรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 3 ครั้งหลังก็พบว่า สมัยพรรคไทยรักไทยซึ่งเฟื่องฟูสุดขีด
-ปี 2548 มีผู้เลือกพรรคไทยรักไทยยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 18.9 ล้านคน (ผู้มาใช้สิทธิ์ 32.3 ล้านคน)
-ปี 2550 พรรคพลังประชาชน ยุคสมัคร สุนทรเวช 12.3 ล้านคน (ผู้มาใช้สิทธิ์ 32.7 ล้านคน)
-ปี 2554 พรรคเพื่อไทย ยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 15.7 ล้านคน (ผู้มาใช้สิทธิ์ 32.5 ล้านคน)
ดูคะแนนของ พท.และอดีตของ พท.รุ่นปู่ ก็ยังไม่ถึง 24 ล้านเสียง และผ่านจุดสูงสุดตั้งแต่พรรคไทยรักไทยมาแล้ว ประชามติจึงเป็นงานสุดหินยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม เหตุผลด้านบวกที่ พท.เชื่อมั่นว่า จะปลุกให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์ได้เกิน 24 ล้านคน ก็คือการได้เห็นผลการลงคะแนนประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 ในยุคคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550 ครั้งนั้นพบว่า มีคนมาลงประชามติค่อนข้างหนาตา
โดยจำนวนผู้มาใช้สิทธิมี 25.9 ล้านคน เกินกว่ากึ่งหนึ่งจากผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 45.09 ล้านคน คิดเป็น 57.6% ส่วนที่ไม่มาใช้สิทธิ 19.1 ล้านคน คิดเป็น 42.3%
ในจำนวนผู้มาใช้สิทธิ์ 25.9 ล้านคนนี้ เห็นชอบรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 จำนวน 14.7ล้านคน คิดเป็น 57.8% และไม่เห็นชอบ 10.7 ล้านคน คิดเป็น42.19%
พท.ยังเชื่อว่า ประชาชนจะออกมาใช้สิทธิ์มากเพราะเรื่องแก้-ไม่แก้รัฐธรรมนูญพูดกันมาร่วม 5 ปี และเป็นเชื้อความขัดแย้งจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตยโดยเฉพาะมาตรา 309 ที่รองรับการกระทำของคณะรัฐประหาร และผลการกระทำอื่น เช่น การตรวจสอบทุจริตของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) จึงเป็นเหตุผลที่น่าจะทำให้ประชาชนจำนวนมากออกมาลงคะแนน ชี้ขาดแก้ไม่แก้ให้รู้แล้วรู้รอดทุกอย่างจะได้จบ
ด้วยเงื่อนไขสุดหิน ที่ต้องให้มีผู้มาออกเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 24 ล้านคน นี่เป็นเหตุผลให้ แกนนำ พท.เสนอให้เปลี่ยนแนวทางการทำประชามติ เป็นแบบ “ปรึกษา” เพราะใช้เสียงน้อยกว่าโดยใช้แค่เกณฑ์เสียงข้างมากไม่มีเงื่อนไขขึง-ตึง 2 ขั้นตอนเหมือนการทำประชามติแบบ “หาข้อยุติ” ที่กำลังทำอยู่
ประเด็นเรื่อง “จำนวนเสียง” จึงเป็นความเสี่ยงแรก
ความเสี่ยงถัดมา คือ 2.การจะถูกกลุ่มคัดค้านยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ให้ตรวจสอบว่า การทำประชามติที่จะมีขึ้น ขัดกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเองหรือเป็นประชามติที่ขัดกฎหมาย แกนนำ นปช.ออกมาชี้ช่องเองว่า จะขัดกับมาตราต่างๆ ในรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 190 เพราะกำหนดไว้ว่า เสียงเห็นชอบว่าประชามตินั้นจะผ่านหรือไม่ต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียง หมายความว่าจะต้องใช้เสียงเห็นชอบมากกว่า 24 ล้านเสียงเลยทีเดียว
ยังมีเรื่อง การตั้งคำถามทำประชามติ เบื้องต้น ครม.กำหนดว่า “เห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยให้สภาร่างรัฐธรรมนูญเป็นผู้ยกร่าง” ถ้าตั้งด้วยคำถามนี้จะขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้แล้วว่า ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้
อีกเรื่อง การรณรงค์ประชามติ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่รัฐบาลซึ่งมีส่วนได้เสียกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่มีสิทธิ์รณรงค์ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจถูกยื่นฟ้องเข้าข่าย การทำประชามติขัดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดว่า
ก่อนการออกเสียงประชามติ รัฐต้องดำเนินการให้ข้อมูลอย่างเพียงพอ และให้บุคคลฝ่ายที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบกับกิจการนั้น มีโอกาสแสดงความคิดเห็นของตนได้อย่างเท่าเทียมกัน
เช่นเดียวกับมาตรา 38 ของ พ.ร.ป.ประชามติฯ ที่ระบุไว้ว่า ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ อันเป็นให้การออกเสียงไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
หรือหากรัฐบาลจะใช้วิธีขนคนออกมาให้มากที่สุด เพื่อปั่นยอดผู้มาใช้สิทธิ์ให้ถึง 24 ล้านคน โดยอ้างเป็นหน้าที่ของรัฐที่สามารถอำนวยความสะดวก แต่ก็เสี่ยงผิดกฎหมายอีก “สดศรี สัตยธรรม” กรรมการการเลือกตั้ง เตือนว่า ถ้าทำอย่างนั้นผิดกฎหมายมาตรา 38 ของ พ.ร.ป.ประชามติฯ แน่
บทบาทของรัฐบาลถูกตีกรอบ ไม่ให้ใช้อำนาจเกี่ยวข้องเอื้อประโยชน์กับการทำประชามติที่รัฐมีส่วนได้เสียด้วย
ประเด็นเหล่านี้จึงเป็นอุปสรรคกับ พท. ที่อาจทำให้ประชามติไม่ประสบความสำเร็จ กระเทือนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการเดินทางกลับไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นได้
