'ประยุทธ์'จับมือรบ.ร่วมแก้ปมพระวิหาร
3 ม.ค.56 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้หารือร่วมกับ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ภายหลังจากการอวยพรปีใหม่ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ได้พูดถึงแนวทางการดำเนินการในเรื่องความมั่นคงว่าจะทำอย่างไร รวมถึงปัญหาที่ค้างคา ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ตั้งทีมโฆษกชี้แจงงานด้านความมั่นคง เพราะบางอย่างต่างคนต่างพูดกันไป อาจไม่ตรงกัน จึงจำเป็นต้องมีทีมงานให้ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนรับทราบไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งทีมโฆษก ทางรัฐบาลจะเป็นผู้จัดตั้ง โดยมี พลเรือน ตำรวจ ทหาร เข้าไปร่วม ส่วนการทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศในกรณีปราสาทเขาพระวิหารนั้น เราทำงานร่วมกันมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2505 จนมาถึงช่วงปี 2551 ก็มีปัญหา ซึ่งในที่ประชุมเมื่อวันที่ 2 ม.ค.ที่ผ่าน อยากให้สองประเทศอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีความร่วมมือกัน และสองประเทศไม่ได้มีแนวโน้มจะสู้รบกัน เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตขอให้ผ่านไป แต่นโยบายของรัฐบาล คือ ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศ สำหรับกองทัพบกได้จัดกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 2 ไปรับผิดชอบในพื้นที่เขาพระวิหารอยู่ รวมถึงตำรวจตระเวณชายแดน 2 กองร้อย ภาพลักษณ์ที่ออกมาจะได้ดูเบาลงในสายตาของภายนอก ซึ่งทุกอย่างที่เคยมีปัญหาผ่านมาตอนนี้ก็จบสิ้นแล้ว ตั้งแต่เรามีการปรับวิธีการ มีการพูดคุยกัน ถือเป็นความก้าวหน้าที่ดี
"ส่วนกรณีที่ศาลโลกจะมีการตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหารในช่วงกลางปีนี้นั้น เป็นเรื่องของการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม แต่ในช่องทางการพูดคุยเรายังเน้นการพูดคุยกันทางคณะทำงานร่วม (JWG)ที่ดำเนินการตามมติศาลโลก ส่วนรัฐบาลก็คุยกับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อนำภาพรวมทั้งหมดสรุปให้กับรัฐบาลของประเทศตัวเอง เพื่อแก้ไขปัญหาในการอยู่ร่วมกันในอนาคต ส่วนการเก็บกู้วัตถุระเบิดยังคงดำเนินการต่อไป แต่คงใช้เวลานานพอสมควร โดยจะมีการกำหนดจุดที่มีการสัญจรของประชาชนที่จะเก็บกู้อย่างเร่งด่วน เพื่อความปลอดภัย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า เรื่องใดที่กระทรวงการต่างประเทศต้องการเร่งรัดให้ดำเนินการแต่ยังติดขัดที่ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ใช้คำว่าติดขัด แต่เป็นการหาวิธีการอย่างไรให้คนภายนอกและศาลโลกได้เข้าใจว่าไม่ใช่ ไทย หรือ กัมพูชา ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนทำ ต้องให้ทั่วโลกหรือศาลโลกเห็นว่าทั้ง 2 ประเทศพูดคุยในทวิภาคีได้ และอยู่ร่วมกันได้ รวมถึงหาแนวทางในการอยู่ร่วมกันได้ในอนาคต โดยไม่มีการสู้รบกันอีกอย่างยั่งยืน ถ้าหากเราไม่มีช่องทางพูดคุยเลยให้เป็นเรื่องรัฐบาลกับรัฐบาล จะดูเหมือนว่าฝ่ายความมั่นคงกับรัฐบาลมีความขัดแย้งกัน ตนมองว่า ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล หรือ ฝ่ายความมั่นคง ประเทศชาติสำคัญที่สุด ทุกคนมุ่งหวังให้ประเทศชาติปลอดภัย ไม่มีการสู้รบ ซึ่งทหารทำหน้าที่ในการรักษาเขตแดนตามนโยบายของรัฐบาล ส่วนการให้ตำรวจตระเวณชายแดนเข้าไปเสริมกำลังในพื้นที่นั้น เป็นขั้นตอนการดำเนินการที่ทำไปทีละขั้น ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็ดูแลอยู่แล้ว ส่วนรัฐบาลก็เป็นฝ่ายบริหาร เป็นสิ่งที่ต้องทำงานร่วมกัน
ลั่นปี 56 ดันกอ.รมน.ทำงานเป็นรูปธรรม
พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นประธานในพิธีอำนวยการและมอบของขวัญปีใหม่แก่กำลังพล ข้าราชการ ลูกจ้าง กอ.รมน. โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เสนาธิการทหารบก ในฐานะ เลขาธิการ รมน. เป็นตัวแทน กอ.รมน.กล่าวขอบคุณ รองผอ.รมน.ที่ได้ดูแลเอาใจใส่โดยเฉพาะช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ได้ผลักดันให้ข้าราชการประจำ และอัตราช่วยราชการได้รับเงินพิเศษรายเดือน ซึ่งสภาความมั่นคงแห่งชาติ กำลังเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี โดยขั้นต่ำ จำนวน 2,000 บาท และขยับขึ้นไปตามชั้นยศ ด้านพล.อ.ประยุทธ์ ได้อ่านสาส์นอวยพรปีใหม่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.รมน.ตอนหนึ่งว่า เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่จึงขอส่งความสุขและความปรารถนาดีมายังเพื่อนข้าราชการ ลูกจ้างกอ.รมน.จากผลการปฏิบัติงานในรอบปีที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ทุกท่านได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลด้วยความเสียสละ อดทน อุทิศตนอย่างเต็มกำลังความสามารถจึงขอแสดงความชื่นชมและขอบคุณทุกท่านที่ร่วมกันสร้างผลงาน เกียรติประวัติ และความภาคภูมิใจให้กับ กอ.รมน.
จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวอวยพรปีใหม่แก่ กอ.รมน. และกำลังพลว่า กอ.รมน.ถือเป็นองค์กรพิเศษ จัดตั้งขึ้นมาด้วยกฎหมายพิเศษ มีหน้าที่ป้องกันแก้ไขภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ และยังเป็นองค์กรหลักในการบูรณาการร่วมกับกระทรวง ทบวง กรม ในการแก้ไขปัญหาของประเทศ แสดงให้เห็นว่าเราไม่ใช่องค์กรการเมือง เป็นองค์กรที่จัดขึ้นมาเพื่อบูรณาการการทำงาน อยู่ภายใต้รัฐบาล ซึ่งอยากให้ประชาชนได้เข้าใจงานด้านความมั่นคงที่เราทำ สำหรับการทำงานในปี 56 ตนจะดูเรื่องการทำงานให้เป็นรูปธรรม จับต้องได้ ซึ่งเราใช้เวลากันมาตั้งแต่ปี 51 จนกว่าจะมาถึงวันนี้ได้ คิดว่าเราได้วอร์มมาพอสมควร จนเกิดความเข้มแข็ง ความอดทน และ ความเข้าใจ
“ถ้าพวกท่านเหนื่อย อยากให้มองไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านทรงทำงานเหน็ดเหนื่อยมาอย่างยาวนาน อยากให้ทุกคนตั้งจิตอธิษฐานให้ท่านพลานามัย สมบูรณ์ แข็งแรง อยู่เป็นมิ่งขวัญของเราอย่างต่อไป ซึ่งในปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชดำรัส เรื่องความมีคุณธรรม ความเมตตา กรุณา อยากให้ทุกคนไปหาคำตอบว่าจะทำอย่างไร ซึ่งคุณธรรมต้องยู่ในจิตใจทุกคน ” พล.อ. ประยุทธ์กล่าว

