หมากสองชั้น ช่อง 3 ดึง กูรูกีฬา “พิศณุ นิลกลัด” แค่เสริมทัพข่าว หรือ...?
"...ลูกค้าหลัก ที่ บริษัท สปอร์ต ทิปส์ จำกัด ของ “พิศณุ นิลกลัด” ได้รับการว่าจ้าง ในปี 2552- 2555 คือ ธนาคารออมสิน ซึ่งปรากฏรายชื่อเป็นหนึ่งลูกค้าคนสำคัญที่สร้างรายได้หลัก ให้กับ บริษัท ไร่ส้ม ของ สรยุทธ เช่นเดียวกัน.."

สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เมื่อนักข่าวรุ่นเก๋า อย่าง “พิศณุ นิลกลัด” ตัดสินใจย้ายค่ายจาก วิกหมอชิต ช่อง 7 ไปทำรายการร่วมกับ ช่อง 3 พร้อมชิมลางออกอากาศรายการ ที่มีชื่อว่า “สปอร์ตกูรู” ให้ได้ชมกันไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา
สาเหตุที่ทำให้หลายคนสนใจเรื่องนี้ เป็นเพราะ “พิศณุ นิลกลัด” ถือได้ว่าเป็นลูกหม้อคนหนึ่งของช่อง 7 เพราะทำงานมายาวนานกว่า 35 ปี ผ่านมาแล้วทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น เป็นบรรณาธิการข่าวการเมือง, ข่าวกีฬา, ผู้ประกาศข่าว และผู้บรรยายกีฬา
ปัจจุบัน “พิศณุ นิลกลัด” เป็นเจ้าของบริษัท สปอร์ตทิปส์ จำกัด มีหน้าที่ผลิตรายการสั้นๆ เกี่ยวกับกีฬา รวมถึงรับหน้าที่ผู้ดำเนินรายการ “สะเก็ดข่าว” ให้กับช่อง 7 สีด้วย
การย้ายค่ายของ “พิศณุ นิลกลัด” ครั้งนี้ จึงถือเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จของ ช่อง 3 ในการดึงดูด “นักข่าว” และผู้ผลิตรายการ ฝีมือดี ไปร่วมงานได้อีกหนึ่งคน
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ในปี 2550 ช่อง 3 ได้ตัว “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” จากโมเดิร์นไนน์ ไปร่วมงาน หลังจากรายการ "คุยคุ้ยข่าว" และ "ถึงลูกถึงคน" เริ่มมีปัญหาเรื่อง เรตติ้ง และปัญหาเรื่องเงินโฆษณาของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด
ก่อนที่ “กิตติ สิงหาปัด” จะตามเข้ามาสมทบ พร้อมกับก่อตั้ง บริษัท ฮอตนิวส์ จำกัด เพื่อผลิตรายการ ข่าว 3 มิติ ให้กับช่อง 3 ในช่วงปี 2551
และจากนั้น ข่าวการย้ายสังกัด ของ นักข่าว และศิลปิน ดาราชื่อดัง หลายคน จากช่อง ต่างๆ ที่ตบเท้าก้าวเข้ามาสู่ชายคาช่อง 3 ก็ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
หากพิจารณาจากคำให้สัมภาษณ์ของ “นักข่าว” ศิลปินดารา และผู้จัดรายการหลายคน ที่ย้ายค่ายมาซบช่อง 3 มักจะให้เหตุผลเหมือนกันว่า ทำงานกับช่องเดิม (ค่าย) มานาน ต้องการที่หาประสบการณ์การทำงานที่ใหม่ ดูบ้าง
และการลาจากค่ายเดิม ก็ไม่มีความขัดแย้งอะไรกัน
แต่ถ้าเจาะลึกลงไปในรายละเอียด จะพบว่า การย้ายค่ายที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยสำคัญ คือ เริ่มมีปัญหากับผู้ใหญ่ในค่ายในการทำงาน (ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่)
บางคนรุนแรงถึงขนาดจะถูกปลดรายการออกจากผังรายการ!!
เมื่อได้รับข้อเสนอที่คุ้มค่า กว่าเดิม จากค่ายอื่น การตัดสินใจย้ายค่ายใหม่ จึงเป็นคำตอบสุดท้าย
ว่ากันว่า กระบวนการทำงานของช่อง 3 ยุคปัจจุบัน จะสนับสนุนคนที่มีฝีมืออย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นนักข่าว นักแสดง จะถูกปั้นให้มีลักษณะคล้ายการปั้น “ดารา”
หากใครมีผลงานดี ทำงานเข้าตากรรมการ แรงสนับสนุนจากผู้ใหญ่จะยิ่งมีมากขึ้น
เห็นได้ชัดเจนจากกรณี “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” ที่ไม่ว่าจะมี “ข่าวฉาว” เกิดขึ้นมากเท่าไร ช่อง 3 ก็ยังคงโอบอุ้มต่อไป
เนื่องจากผลกำไรที่ช่อง 3 ได้รับ ตอบแทนคืนมาจาก “สรยุทธ” มีมูลค่ามหาศาลเช่นกัน
เห็นได้จากข้อมูลผลกำไร ของ บมจ.บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่มีการตรวจสอบพบว่า นับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงกลางเดือนพฤษภาคม 2555 บมจ.บีอีซี-เทโร เอ็นเตอร์เทนเมนท์ เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐอย่างน้อย 34 สัญญา วงเงิน 281,798,984 บาท
ในจำนวนนี้เป็นการทำสัญญา โดยมีเงื่อนไขต้องโฆษณาผ่านรายการ “เรื่องเล่าเช้านี้” ด้วย
ขณะที่ ประวิทย์ มาลีนนท์ บิ๊กบอส ช่อง 3 เคยให้สัมภาษณ์ ผู้จัดการออนไลน์ ถึงท่าทีเกี่ยวกับคดีความของนายสรยุทธ ไว้อย่างน่าสนใจ ว่า “ ก็บอกแล้วว่า ไปว่ากันที่ศาลก่อน ทางช่องก็รอดู เราตัดสินไม่ได้ เป็นเรื่องของเขาน่ะครับ ช่องไม่ได้อุ้มคุณสรยุทธนะครับ คุณสรยุทธเริ่มทำงานกับเราตั้งแต่รายการครึ่งชั่วโมง ถามว่าอุ้มตอนไหน ผมไม่ได้อุ้มตอนที่เขาดัง แต่อุ้มตั้งแต่ตอนเริ่มกับเราแล้ว เราอยู่ด้วยกันตั้งแต่ไม่มีอะไร ไม่ได้อุ้มตอนนี้ครับ อุ้มกันมา 10 ปีแล้วครับ”
“เขาก็กลัวจะสร้างความหนักใจให้เรา เขาก็ลำบากใจ ผมก็บอกว่าไม่เป็นไร ยังไม่มีคำตัดสินก็ไม่ต้องทำอะไร เขาก็กลัวว่าจะสร้างความลำบากใจให้เรา” บิ๊กบอส ช่อง 3 ระบุ
จากการตรวจสอบงบดุล บมจ.บีอีซี-เทโรฯ ที่นำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ล่าสุดในปี 2554 แจ้งว่า มีรายได้จากการขายและบริการ – สุทธิ 2,085,271,433 บาท มีกำไรสุทธิ 209,423,218 บาท
ส่วนปี 2553 แจ้งว่า มีรายได้จากการขายและบริการ – สุทธิ 1,887,457,601 บาท มีกำไรสุทธิ 277,589,623 บาท
ปี 2552 แจ้งว่า มีรายได้จากการขายและบริการ – สุทธิ 1,126,500,523 บาท มีกำไร สุทธิ 218,466,309 บาท
ขณะที่ตัวเลขมีกำไรสะสม 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 แจ้งว่ามียอดทั้งสิ้น 117,699,754 บาท
ด้วยตัวเลขรายได้ ที่เพิ่มขึ้น ทุกปีแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลก ที่ ประวิทย์ มาลีนนท์ บิ๊กบอส ช่อง 3 จะออกมาแสดงท่าทีต่อกรณี สรยุทธ อย่างหนักแน่นแบบนี้
ถามว่า การดำเนินธุรกิจของ ช่อง 3 ด้วยวิธีการดึงดูด ผู้ที่มีความสามารถเข้ามาร่วมไว้ในช่องตนเอง เป็นผลดีหรือไม่
คำตอบคือ เป็นผลดีต่อธุรกิจอย่างมาก เพราะนอกจากจะได้คนเก่ง ที่มีฝีมือเข้ามาทำงานด้วยแล้ว ยังเป็นการลดทอนตัดกำลัง คู่แข่งไปในตัว
แต่กลยุทธ์นี่ก็มีจุดอ่อน เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน
เห็นได้จากตัวเลขรายได้ของ นักข่าวชื่อดังบางคน ที่หลุดรอดออกมาว่าอยู่ที่ 7 หลักต่อเดือน ขณะที่รายได้ ของ สรยุทธ จากบริษัท บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และ บริษัท ชัดถ้อยชัดคำ จำกัด ล่าสุดอยู่ที่หลักพันล้านบาทต่อปี
เมื่อลงทุนไปสูง ความเสี่ยงในเรื่องผลตอบแทนที่ตามมา ก็มีสูงตามไปด้วยเป็นธรรมดา
และหากกลุ่มคนที่ดึงมา ไม่ใช่ “ของจริง” ปั้นไม่ขึ้น ผลตอบแทนที่ตามมา ก็คงไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
การจะคัดเลือกใครเข้ามาร่วมงาน จึงต้อง “คัด” และ “เน้น” กันเป็นพิเศษ ต้องมองแล้วว่า สร้างประโยชน์ได้มากน้อยขนาดไหน
ถ้าพิจารณาจากรายชื่อ บุคคลที่ถูกดึงมาร่วมงานกับช่อง 3 ในช่วงที่ผ่านมา ไล่ตั้งแต่ “สรยุทธ” มาจนถึงรายล่าสุดอย่าง “พิศณุ นิลกลัด” ที่มีจุดเด่นในเรื่องการทำ “รายการกีฬา” เพื่อเสริมทัพทีมข่าวกีฬาให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น
ขณะที่ลูกค้าหลัก ที่ บริษัท สปอร์ต ทิปส์ จำกัด ของ “พิศณุ นิลกลัด” ได้รับการว่าจ้าง ในปี 2552- 2555 คือ ธนาคารออมสิน ซึ่งปรากฏรายชื่อเป็นหนึ่งลูกค้าคนสำคัญที่สร้างรายได้หลัก ให้กับ บริษัท ไร่ส้ม ของ สรยุทธ เช่นเดียวกัน
งานนี้ คงพอมองกันออกแล้วว่า ช่อง 3 จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตอบแทนจาก “กูรู” ที่ชื่อ “พิศณุ นิลกลัด” ได้มากน้อยขนาดไหน??
