ได้เที่ยวประเทศใหญ่ๆ...ได้คิดว่าเราตัวเล็กนิดเดียว

ตั้งแต่ช่วงคริสตมาสที่ผ่านมา ผมและครอบครัวได้มีโอกาสไปเที่ยวเฉลิมฉลองเทศกาลคริสตมาส กับบริษัททัวร์สากล เพื่อไปเที่ยว อังกฤษ เยอรมัน เนเธอแลนด์ เยอรมัน ออสเตรีย อิตาลี สวิสเซอแลนด์ ฝรั่งเศส เป็นการเที่ยวที่ไปหาเรื่อง “หนาว” ถึงขั้นวันหนึ่งได้เห็นหิมะตก เที่ยวหลายๆประเทศด้วยการนั่งรถบัสยาวไกล ต้องถือว่า ได้ลงทุน “ก้น” ไปมากมาย เพราะนั่งจนไม่รู้จะหมุนองศาไหนแล้ว ก้นช้ำเกือบทุกมุมจริงๆ (ฮา)
ได้มีโอกาสเห็นประเทศใหญ่ๆ ทำให้ได้คิดว่า เราตัวเล็กนิดเดียวในโลกงดงามใบนี้ และ มีมุมมองหลายๆเรื่องที่อยากมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านครับ
1. อารยธรรมตะวันตก มีการ “พัฒนา” มายาวนาน ได้เห็นวัฒนธรรมตะวันตก ควบคู่กับเรื่องราวตามประวัติศาสตร์ การเติบโตของคริสตจักรหลายประเทศ อาการเก่าแก่เช่นวิหารต่างๆสร้างอย่างยิ่งใหญ่ หลายๆอาคารสร้างมาแล้วกว่า 500-600 ปี แต่เป็นอาคารคอนกรีต ใช้หินใช้อิฐก่อขึ้นเป็นตึกสูงเทียบเท่ากว่าตึก 10 ชั้นในปัจจุบัน โดยไม่มีเสากลางอย่างน่าอัศจรรย์ สะท้อนวัฒนธรรมแห่งการคิด พัฒนา การสะสมความรู้วิชาการที่ก้าวหน้าจริงๆ เราได้เห็นมหาวิทยาลัยอายุกว่า 400-500 ปี เทียบได้กับช่วงกลางกรุงศรีอยุธยาก่อนยุคสมเด็จพระนเรศวรมหาราชอย่างน่าสนใจ
2. อารยธรรมตะวันตก มีการ “พัฒนา” ในระดับ “กว้าง” มีชนชั้นกลางเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ ตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ไปยุโรป ก็รู้สึกแตกต่างจากภาพที่คิดไว้ เราอยู่ในสภาพแวดล้อมไทยๆ รู้สึกว่า ถ้าสังคมที่พัฒนาไปไกล น่าจะมีตึกสูงๆทันสมัยมากมาย แต่ที่ไหนได้ แต่ละเมืองในยุโรปที่เราไปชมกัน ทั้งลอนดอน โคโลญ มิวนิค แอมสเตอร์ดัม โรม ลูเซิน ปารีส ในเมืองหลักๆ กลับเป็นอาคารที่เรียกได้ว่า “ตึกแถว 4-5 ชั้น” เต็มเมืองอย่างกว้างขวาง แต่ตึกแถวของเขาสวย มีเอกลัษณ์ มีภูมิทัศน์ภาพรวมที่ดี ทำให้เห็นว่า แต่ก่อนที่สังคมตะวันตกพัฒนา ในหลายๆราชอาณาจักร ก็มีการพัฒนาโดยการสร้างฐานะกันอย่างกว้างขวาง ถือว่าเป็นการรวยกระจาย มากกว่า รวยกระจุก สะท้อนการพัฒนาฐานะจากประชาชนทั่วไป ให้เติบโตเป็นผู้มีความรู้ และมีโอกาสทำมาหากินจนกลายเป็นชนชั้นกลาง เป็นสังคมที่แข็งแรง และแบ่งปัน ทำให้เป็นรากฐานของการพัฒนาบ้านเมืองที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
3. สังคมมีการร่วมแรงร่วมใจ คำนึงถึงภาพรวมของบ้านเมือง “ตึกแถว” น่ารักๆ ในแต่ละเมืองหลักๆ มีการรักษาภาพรวมอย่างดี บางกลุ่มอาคาร จะเป็นโทนสีเดียวกัน ลวดลายของอิฐ กรอบหน้าต่าง หลังคาเป็นโทนเดียวกัน บ้างก็อาศัยความหลากสี ตึกละสีๆ แต่ก็ดูมีรูปแบบ ทำให้เห็นเมืองน่ารักไปอีกแบบ บางกลุ่มอาคาร มีลายเหล็กดัดระเบียง บางกลุ่มอาคารเน้นกรอบปูนคอนกรีต บางกลุ่มอาคารเน้นลายสีอิฐ และขนาดมาตรฐาน ฯลฯ ถือว่า มีการพิจารณาร่วมกันอย่างน่ารัก สะท้อนว่า (1) สังคมเคารพภาพรวมของบ้านเมือง พร้อมทำตามกติการ่วมกัน (2) แต่ละคนไม่เห็นแก่ตัว พร้อมทำอาคารของเราโดยให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ดังจะเห็นได้ว่า ไม่มีใครตากผ้ากันจนบ้านเมืองดูเลอะเทอะ และ (3) ผู้ดูแลบ้านเมืองไม่คอรัปชัน ลองนึกภาพว่า ถ้าต้องให้มีหน่วยงานกำกับ เราก็มักจะนึกเห็นภาพเจ้าหน้าที่ตั้งเงื่อนไขต่างๆที่ไม่ชัดเจน หวังสินบน หากเป็นเช่นนั้น ก็จะทำให้การกำกับเบี่ยงเบนไปตามสินบนและคอรัปชัน บ้านเมืองก็ยากที่จะออกมางดงามได้
4. ประชาธิปไตยแบบ “เสรีนิยม” ทำให้สังคมเข้มแข็ง ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย โดยมีระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม (และหลายคนอาจพูดเป็น “ทุนนิยม”) เป็นหลักที่ประชาชนมีเสรีภาพ และโอกาส เท่าเทียมกัน ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย หลายๆคนสร้างสมฐานะ 2-3 รุ่น เพื่อให้รุ่นลูกหลานมีการศึกษาดีขึ้น มีโอกาสดีขึ้น เราได้เห็นประเทศอย่างอังกฤษ หรือ เยอรมัน มีความเข้มแข็งมาก กิจการต่างๆที่แข่งขันได้ดี เช่น BMW, Mercedes Benz, TESCO, Premier League Football, สถาบันศึกษา, ละครเวที ฯลฯ เป็นเสาหลักในการพัฒนาประเทศทีเดียว ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ประเทศที่แข่งขันอย่างเข้มแข็ง ก็ยังมีอัตราว่างงานที่น้อย เช่น อังกฤษ 7.8%, เยอรมัน 5.4% สหรัฐอเมริกา 7.7% และเห็นชัดว่า สภาพบ้านเมืองที่อังกฤษ และ เยอรมัน ก็ดู สะอาด สะดวก กว่าประเทศอื่นๆ
5. ประชาธิปไตยแบบ “ประชานิยมหนักๆ” ทำให้สังคมอ่อนแอ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย โดยมีระบบเศรษฐกิจแบบประชานิยม หรือ ถึงขั้น “สังคมนิยม”) พยายามเน้นให้คนเชื่อว่า ที่แต่ละคนมีฐานะไม่เท่าเทียมกัน เป็นเพราะได้เปรียบเสียเปรียบกัน จึงพยายามใช้นโยบายผันเงินจากคนทำงาน ให้กับรากหญ้ามากขึ้น ก็กลับทำให้ประชาชนขาดแรงจูงใจในการทำงานหนักขึ้น ศึกษาสูงขึ้น หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจยุโรป ประเทศที่มีนโยบายประชานิยม หรือสังคมนิยม ก็จะมีอัตราว่างงานที่สุงกว่า เช่น กรีซ 26.0%, เสปน 26.2%, อิตาลี 11.1% และ ฝรั่งเศส 10.7% เห็นชัดว่า สภาพบ้านเมืองที่อิตาลี เสปน และ แม้กระทั่ง ฝรั่งเศส ก็ดู ขาดระเบียบ และสกปรก กว่าประเทศอื่นๆ ประชาชนหลายคนใช้สิทธิทางสังคมสำหรับคนจนส่วนใหญ่จนอัตราการว่างงานสูงกว่าประเทศที่ประชาชนอยู่ในระบบเศรษฐกิจแบบแข่งขันเสรี
ผมเองและเพื่อนๆที่รู้จักกันหลายๆคน ก็เติบโตจากฐานะครอบครัวที่ยากจนมาก่อน ผมก็เชื่อว่า สังคมไทยมีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อกัน ดังนั้น นโยบายประชานิยม ก็คงเป็นนโยบายที่มีส่วนช่วยยกระดับประชาชนรากหญ้าทั่วไปอย่างกว้างขวางขึ้น แต่คงควรทำในระดับที่ “พอดี” ยังรักษาให้กลไกการแข่งขัน กลไกตลาดยังทำหน้าที่ต่อไปอย่างเป็นธรรม ก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจมั่นคง ประชาชนเข้มแข็งได้ แต่ถ้าช่วยเหลือเกินเลยไป จนกลไกเศรษฐกิจขาดเหตุผล ขาดสมดุล และอาจขาดความพร้อมในการแข่งขันได้ดีต่อไปในอนาคต นอกจากนั้น การช่วยเหลือมากๆ คนที่ช่วนเหลือที่แท้จริงอาจเป็น “ลูกหลาน” ของเรา ที่ต้องแบกภาระหนี้ที่คนรุ่นเราสะสมไว้ให้เป็นมรดก ครับ
ได้เห็นโลกกว้างใหญ่ ทำให้ได้คิดว่าเราตัวเล็กนิดเดียว ซึ่งเมื่อเกิดมาบนโลกงดงามยิ่งใหญ่ใบนี้ ก็หวังว่า จะได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า มีความหมาย และได้มีส่วนร่วมสร้างคุณค่าที่ดีให้กับสังคม ก็น่าจะช่วยกันและกันทำให้โลกนี้ดีขึ้น ลูกหลานของเราได้รับโลกที่มีสภาพแวดล้อมยังมั่นคง และยังมีระดับคุณธรรมจริยธรรมในจิตใจที่งดงาม เป็นมรดกต่อไป
