จับสัญญาณ “การเมือง” เข้าทำ ... เกมกินรวบ สสส.-สปสช.?
2 กองทุนด้านสุขภาพของไทยกำลังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงจะถูกฝ่ายการเมืองเข้าฮุบ

จังหวะการเข้าทำของฝ่ายการเมือง นาทีนี้ดุดันและสม่ำเสมอ
ชิ้นปลามันในนาม องค์กรตระกูล “ส.” คือผลเลิศที่เล็งเห็น
ปรากฏเป็นร่องรอยอันน่าเคลือบแคลง
สัญญาณถูกส่งผ่านกระบวนการการแต่งตั้งตัวบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งคณะกรรมการ (บอร์ด) โดยเฉพาะกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
กว่า 3,000 ล้านบาทในกองทุนแรก และอีกกว่า 1.5 แสนล้านบาทในกองทุนหลัง คืองบประมาณมหาศาลเร้าฝ่ายการเมือง
เหตุผลไม่ซับซ้อน ... ท่วงทำนองจึงชัดเจนขึ้นตามลำดับ
ความพยายามของฝ่ายการเมืองรุกหนักช่วงปลายปี 2555
เริ่มตั้งแต่ “ข้อเสนอ” จากบิ๊กกระทรวงสาธารณสุข ส่งตรงมายังที่ประชุมบอร์ด สสส.เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2555ให้ “ปรับแก้” เกณฑ์วิธีการสรรหาบอร์ดสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ
เสมือนหนึ่งคำสั่งเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ต้องการให้เปลี่ยนสัดส่วน “กรรมการสรรหา” บอร์ดผู้ทรงคุณวุฒิ จากเดิม 9 คน ให้เหลือเพียง 5 คน
หนำซ้ำยังต้องการให้อำนาจแก่ประธานบอร์ด สสส.เพื่อคัดเลือกกรรมการสรรหาเอง
โดยตำแหน่ง ประธานบอร์ดสสส.คือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี โดยข้อเท็จจริง “นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์” รมว.กระทรวงสาธารณสุข รับมอบหมายให้ดำเนินการแทน
เข้าใจโดยง่าย ... บอร์ดสสส. มีทั้งสิ้น 21 ตำแหน่ง
แบ่งเป็น 2 กลุ่ม หนึ่งคือกรรมการโดยตำแหน่ง 11 ราย ล้วนแล้วแต่เป็นข้าราชการ อีกหนึ่งคือ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 9 ราย คัดเลือกจากคุณสมบัติ
แน่นอนว่าข้าราชการตัดสินใจตามนโยบาย – นโยบายที่บางครั้งอยู่เหนือเหตุผล
“นพ.วิชัย โชควิวัฒน” บอร์ด สสส. วิพากษ์ว่า หากให้อำนาจฝ่ายการเมืองเป็นผู้กำหนดบุคคลเข้าเป็นกรรมการสรรหาได้ ก็เท่ากับให้อำนาจแก่ฝ่ายการเมืองแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทั้ง 9 คนได้ทั้งหมด
"หากเปิดช่องให้ผู้ทรงคุณวุฒิมาจากฝ่ายการเมืองอีก 9 คน ก็เท่ากับ สสส.จะกลายเป็นราชการ การเมืองสั่งการได้ตามอำเภอใจ ท้ายที่สุดก็จะผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย" นพ.วิชัย ระบุ
ดังนั้น หากฝ่ายการเมืองสามารถจัดสรรตัวบุคคลเข้าบอร์ดผู้ทรงคุณวุฒิได้สำเร็จ ... ข้อกังวลเรื่อง “การเมืองกินรวบ” ก็อาจเป็นคำกล่าวที่ดูจะไม่เกินจริงเท่าใดนัก
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ต้อง “จับตา” คืออุบัติการณ์ที่เกิดขึ้นในบอร์ด สปสช.
นั่นด้วยจังหวะการเข้าทำของฝ่ายการเมืองช่างดุดัน และเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
ย้อนกลับไปยังการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2555 ที่ประชุมเห็นชอบให้ “เพิ่ม” ตำแหน่งรองเลขาธิการ สปสช. อีก 2 ตำแหน่ง
เหตุผลที่ให้ไว้คือ ภารกิจของ สปสช.มากขึ้นผันตามนโยบายรัฐบาล จึงต้องมีบุคคลกรสำหรับสานต่องาน
โดย 2 ตำแหน่งที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ รองเลขาธิการ สปสช.คนหนึ่งจะรับผิดชอบงานด้านการบูรณาการ 3 กองทุน และการต่างประเทศ และอีกรองเลขาธิการ กสทช.อีกคนหนึ่ง จะรับผิดชอบงานด้านการจัดการกองทุนต่างๆ ภายใน สปสช.
“นพ.วินัย สวัสดิวร” เลขาธิการสปสช. ให้เหตุผลว่า สาเหตุที่ขอแต่งตั้งตำแหน่งรองเลขาธิการเพิ่ม เนื่องจากปัจจุบัน สปสช. มีงานมากขึ้นทั้งการเป็นศูนย์เคลียริงเฮาส์ 3 กองทุน ทั้งการสาธารณสุขระหว่างประเทศ นอกจากนี้ในอนาคตรัฐบาลจะผลักดันบูรณาการมะเร็งมาตรฐานเดียว ซึ่ง สปสช. ก็ต้องรับภาระที่เพิ่มขึ้น
"เริ่มแรกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีเจ้าหน้าที่เพียงกว่า 200 คน ตอนนี้มีมากถึง 870 คน และต้องบริหารเงินนับแสนล้านบาท จึงจำเป็นในการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงมาช่วยทำหน้าที่เพิ่มเติม" นพ.วินัย ระบุ
“บุญยืน ศิริธรรม” บอร์ด สปสช.สัดส่วนภาคประชาชน ตั้งข้อสังเกตว่า ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าผู้มีอำนาจเตรียมส่งเด็กในสังกัดเข้าล้วงลูกการบริหารเงินกองทุนของ สปสช. ดังนั้น อยู่ๆ มีการสั่งให้บรรจุวาระเพื่อกลับมติใหม่แบบนี้เป็นการจ้องจะยึดอำนาจ
ขณะที่ นพ.ประดิษฐ ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. ยืนกรานว่า ข้อเสนอให้เพิ่มตำแหน่งดังกล่าวมาจากฝ่ายบริหารของ สปสช.เอง ยืนยันว่าไม่มีเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะในที่ประชุมมีการสอบถาม แล้วว่าจะถอนเรื่องนี้ออกหรือไม่ซึ่งก็มีการยืนยันว่าจะนำวาระดังกล่าวเข้าพิจารณา
อย่างไรก็ดี กลับมีเสียงหลุดรอดออกมาให้ได้ยินว่า การเปิดตำแหน่งรองเลขาธิการ สปสช.อีก 2 ตำแหน่ง ครั้งนี้ สอดรับกับแนวทาง “บางอย่าง” ที่ฝ่ายการเมืองเตรียมไว้เพื่อบรรลุผลในอนาคตอันใกล้
ความน่าจะเป็นที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งคือการ “ปรับเปลี่ยน” และ “จำกัด” บทบาทของ สปสช.
เดิมที ก่อนมี สปสช. อำนาจทางการเงิน-การบริหารงบประมาณ ขึ้นตรงกับกระทรวงสาธารณสุข มี รมว.กระทรวงสาธารณสุขกำหนดทิศทาง ชี้เป็นชี้ตาย ... เรื่อยมาจนตั้ง สปสช.ในปี 2545 อำนาจของกระทรวงสาธารณสุขถูกตัดทอนลง มีการโอนย้ายงบประมาณมาให้ สปสช.บริหารจัดการ
แน่นอนว่า กระทรวงสาธารณสุขย่อมไม่พอใจ – อำนาจ รมว.กระทรวงสาธารณสุขถูกลิดรอน
เป็นเหตุให้ทิศทางการดำเนินงานของรัฐบาลเพื่อไทย ตั้งแต่ยุค “วิทยา บุรณศิริ” เรื่อยมาถึง นพ.ประดิษฐ พยายามเน้นบทบาท สปสช.ให้เป็นเพียง “เคลียริ่งเฮาส์” โดยสอดรับอย่างถูกเหลี่ยมกับการแต่งตั้งรองเลขาธิการ สปสช.อีก 1 ตำแหน่ง เพื่อดูแลเคลียริ่งเฮาส์โดยตรง
ที่น่าสนใจคือ บุคคลที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ค่อนข้างแน่ชัดจากวงในแล้วว่า เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของ นพ.ประดิษฐ และเป็นอดีต สส.จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 สมัย
นอกจากนี้ ที่ประชุมบอร์ด สปสช.ล่าสุด เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2556 มีการหารือถึงสถานการณ์การบริหารงานส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคร่วมกัน (PP) ระหว่างสธ.กับสปสช.
ประกอบด้วย 1.งบส่งเสริมป้องกันถูกแยกเป็น 2 ส่วน ระหว่าง สปสช.และกระทรวงสาธารณสุข จนขาดความเชื่อมโยง
2.การบริการส่งเสริมป้องกันระดับพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพ จะต้องครอบคลุมประชากรเป้าหมายได้มากที่สุด โดยที่ผ่านมา สปสช.ใช้ “กิจกรรมแลกเงิน” จนทำให้พื้นที่ไม่สามารถประเมินความครอบคลุมที่แท้จริงได้ ทำให้เกิดปัญหาประชาชนบางส่วนไม่ได้รับบริการ
และ 3.ที่ผ่านมา สปสช.โอนงบ PP ตรงไปยังจังหวัดและอำเภอ ส่งผลให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดไม่สามารถกำกับ ติดตามการดำเนินงานได้ เป็นเหตุให้เกิดช่องว่างในการบริหารงบประมาณในจังหวัด 4.ปัญหาการบูรณาการทำงานร่วมกับกองทุนตำบลฯ ทำให้การดำเนินงานขาดทิศทางที่ชัดเจน
ข้อมูลข้างต้นสะท้อนว่า สปสช. ไร้ประสิทธิภาพ ชวนให้คิดถึงความเป็นไปได้ในการ “จำกัดบทบาท” สปสช. และทวงคืนอำนาจให้สธ.อีกครั้ง
ตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยเข้าสู่อำนาจ เสียงส่วนใหญ่ของบอร์ดสปสช. เปลี่ยนขั้ว ถูกกุมด้วย “การเมือง-ข้าราชการ” โดยสมบูรณ์
จากนี้จึงต้องติดตามท่วงทำนอง-การเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด
เพราะทั้งหมดมีนัยสำคัญต่อระบบสาธารณสุขไทยแทบทั้งสิ้น
