TDRI วิเคราะห์ “ค่าแรง 300 บ.” เสี่ยงทำแรงงานเพื่อนบ้านทะลัก-จีดีพีหด 1.7%
เมื่อวันที่ 11 ม.ค. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้เผยแพร่งานวิจัยเรื่อง “ภาพรวมนโยบายรายได้ไม่น้อยกว่า 300 บาทต่อวันและเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท” ที่จัดทำโดย รศ.ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์และคณะ เพื่อวิเคราะห์ถึงผลกระทบของนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทของรัฐบาล ที่มีผลบังคับใช้ทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า นโยบายดังกล่าวมีผลกระทบอย่างมหาศาลกับตลาดแรงงานไทย โดยมีข้อดี คือทำให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่ากันทั่วประเทศ มีฐานะความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น โดยมีแรงงานได้ประโยชน์โดยตรงประมาณ 3.2 ล้านคน หรือเกือบร้อยละ 30 ของลูกจ้างเอกชนทั้งหมด แต่ก็มีข้อเสีย คือทำให้ต้นทุนรายจ่ายของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น กลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งหุ่ม กลุ่มอุตสาหกรรมการค้าและบริการ เป็นต้น สูงขึ้นมาก และหากยังไม่สามารถปรับระดับผลิตภาพแรงงานให้สูงขึ้นอีกร้อยละ 8-10 จะทำให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายใตประเทศ (จีดีพี) ลดลงกว่าร้อยละ 1.7 จากกรณีปกติ
งานวิจัยดังกล่าวยังระบุว่า การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้เป็นการปรับสูงและทันที สาขาอาชีพที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือสาขาเกษตรกรรมที่อาศัยแรงงานเป็นหลัก รองลงมาคือสาขากิจการโรงแรมและบริการด้านอาหาร และสาขาก่อสร้าง นอกจากนี้ยังส่งผลต่อการส่งออกโดยจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยลดลง ที่สำคัญคือจะทำให้มีแรงงานผิดกฎหมายจากเพื่อบ้านไหลเข้าสู่ประเทศไทยมากกว่าเดิม เนื่องจากประเทศไทยมีค่าจ้างขั้นต่ำ 260 เหรียญสหรัฐต่อเดือน มากกว่าประเทศพม่า (50-60 เหรียญสหรัฐต่อเดือน) ประเทศกัมพูชา (60-70 เหรียญสหรัฐต่อเดือน) และประเทศลาว (70 เหรียญสหรัฐต่อเดือน) โดยปัจจุบันแรงงานต่างด้าวในไทยมีประมาณ 3.8 ล้านคน แต่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายเพียง 8.9 แสนคนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายของงานวิจัยของทีดีอาร์ไอชิ้นดังกล่าวได้สรุปว่า การตัดสินใจขั้นค่าแรงสูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ค่อนข้างเหมาะสม คือตลาดแรงงานกำลังขาดแคลนแรงงานระดับล่างอย่างรุนแรง แต่ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะประสานความร่วมมือเพื่อปรับและเพิ่มทักษะให้มีสมรรถนะสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งจะทำให้โครงสร้างตลาดแรงงานไทยมีความแช็งแกร่งและลดผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นได้กับหลายภาคส่วนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
-ที่มาภาพประกอบเว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล