พระพร “วันเด็กแห่งชาติ”

“วันเด็กแห่งชาติ” เป็นวันดี มีคุณค่า และ มีความหมาย ควรที่ผู้ใหญ่ทุกคน จะตระหนักว่า “เด็กวันนี้ คือ ผู้ใหญ่ในวันหน้า” สังคมในวันนี้ คือ สังคมของเด็กเหล่านี้ในวันหน้า และจริงๆ แล้ว ผมประทับใจคำสอนหนึ่ง ที่ติดอยู่ที่ดิสนีย์แลนด์ มีเนื้อหาว่า
“เราไม่ได้รักษาโลก เป็นมรดกสำหรับคนรุ่นหลัง แต่เราขอยืมโลกจากคนรุ่นหลังมาอาศัยอยู่มากกว่า”
เมื่อเรายืมสังคมของลูกหลานไทยมา เราก็ไม่ควรจะทำให้เสียหาย มีคนมากมาย มักพูดถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมให้คนรุ่นหลังให้ดี ผมว่า สิ่งแวดล้อมสำคัญที่สุด คือ “คน” และ “สังคม” เราทุกคน ได้ขอยืมสังคมไทย จากลูกหลานไทย พ่อแม่ส่วนใหญ่อบรมสั่งสอน เรื่องคุณธรรมจริยธรรมมาอย่างดี เราก็ควรจะอบรมสั่งสอนเรื่องคุณธรรมปลูกฝังสำหรับเด็กรุ่นต่อๆไปให้ดีด้วย ขณะนี้ สังคมรุ่นเราเริ่มตกต่ำ ด้วยความเชื่อที่ว่า “รัฐบาลโกงชาติก็ได้ ถ้าประชาชนได้ประโยชน์ด้วย” เป็นความเชื่อบาป เพราะเท่ากับว่า จะโกงชาติ หรือ ปล้นชาติก็ได้ ขอมีส่วนร่วมด้วยก็พอ ทำให้กลายเป็นมีส่วนร่วมบาปไปด้วย
เพราะ รัฐบาลย่อมมีหน้าที่สร้างประโยชน์ให้ประชาชน โดยไม่ใช่บุญคุณของผู้บริหารรัฐบาล แต่เป็นเพราะ คนไทยช่วยกันเสียภาษี เพื่อให้รัฐบาลไปสร้างประโยชน์ให้ประชาชนต่างหาก
คำขวัญวันเด็ก มักมีคำสอนดีๆ จึงควรที่จะปลูกฝัง “สะสม” ให้กับเด็กๆ ไม่ต้องสนใจว่า ปีไหน ดีกว่า ปีไหน แต่เอาส่วนเพิ่มมารวมๆกัน ซึ่ง ใน 2 ปีหลังนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีคำขวัญวันเด็กดีๆ ว่า
พ.ศ.2555 - สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี
พ.ศ.2556 - รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน
และ ถ้าศึกษาถอยไปอีก 3 ปี นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มีคำขวัญวันเด็กดีๆ ว่า
พ.ศ.2552 - ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี
พ.ศ.2553 - คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม
พ.ศ.2554 - รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ
ซึ่งประเด็นเพิ่มเติมที่เด่นๆ ก็น่าจะเป็น จิตบริสุทธิ์ (2552) เชิดชูคุณธรรม (2553) และ มีจิตสาธารณะ (2554) ซึ่งก็น่าจะสะสมไว้สำหรับคนรุ่นหลังต่อไป
ผมมีแรงบันดาลใจ อยากแบ่งปัน หลักการพระคัมภีร์สำหรับวันเด็ก ดังนี้
1. สอนลูกให้อยู่ในทางชอบธรรม ดังพระคัมภีร์ สุภาษิต มีคำสอนว่า
“บุตรของเราเอ๋ย อย่าลืมคำสอนของเรา แต่ให้ใจของเจ้ารักษาบัญญัติของเรา เพราะสิ่งเหล่านี้จะให้วันเดือนปีชีวิตยืนยาว และอำนวยความสุขสมบูรณ์แก่เจ้า”
“อย่าให้ความจงรักภักดีและความซื่อสัตย์ทอดทิ้งเจ้า จงผูกมันไว้ที่คอของเจ้า จงเขียนมันไว้ที่แผ่นจารึกแห่งหัวใจของเจ้า ดังนั้น เจ้าจงหาความพอใจ และชื่อเสียงดี ในสายพระเนตรพระเจ้า และในสายตามนุษย์”
“จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น อย่าคิดว่าตนฉลาด จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย”
“บุตรชายของเราเอ๋ย อย่าดูหมิ่นพระดำรัสสอนของพระเจ้า หรือเบื่อหน่ายต่อพระดำรัสเตือนของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงตักเตือนผู้ที่พระองค์ทรงรัก ดังบิดาตักเตือนบุตรผู้ที่เขาปีติชื่นชม”
2. สอนลูกให้รู้จักความกตัญญู ดังพระคัมภีร์ มีพระบัญญัติ 1 ใน บัญญัติสิบประการว่า
“จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า”
คริสเตียนจึงให้ความสำคัญกับเรื่อง ความกตัญญู และ การให้เกียรติบิดามารดา เป็นระดับเดียวกับธรรมบัญญัติ 10 ประการทีเดียว และจากประสบการณ์ชีวิตของผม ความกตัญญูจะปกป้องเราเสมอจริงๆครับ
3. สอนลูกได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ดังพระคัมภีร์ ว่า
“และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น”
จากประสบการณ์ของผม หลายครั้งที่เราอยากสอนลูกในเรื่องต่างๆ ลูกกลับไม่มีความพร้อมที่จะฟัง อาจเป็นเพราะเรื่องเวลา อาจเป็นเรื่องอารมณ์ พ่อแม่ควรรู้ว่า เรื่องบางเรื่อง ควรสอนในเวลาที่เหมาะสม และเมื่อลูกมีอารมณ์ที่เหมาะสม เช่น ถ้าลูกจะพบผู้ใหญ่ สอนไว้ก่อนให้อ่อนน้อม ถ่อมตน และให้เกียรติ ก่อนที่จะไม่ได้ทำให้ถูกต้อง ก่อนที่ลูกเล็กๆจะเห็นของเล่น และดิ้นกับพื้นร้องขอ สอนก่อนให้รู้จักประหยัด รู้จักซื้อของที่เป็นประโยชน์ “ก่อน” ก็จะดีกว่า
ดังนั้น พ่อแม่ควรเตรียมพร้อมเสมอ ที่จะสอนลูกในเวลาที่ลูกพร้อม บทเรียนต่างๆ บทเรียนชีวิต บทเรียนวิชาการ ล้วนแต่เป็นสิ่งดีๆที่เด็กๆจะเปิดใจรับในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
4. สอนลูกด้วยความรัก และพระคุณ ดังพระเจ้าทรงรักโลก จึงได้ไม่พิพากษามนุษย์เพียงตามการกระทำเท่านั้น เพราะไม่มีใครรักษาความดีได้ตลอดเวลา และทุกๆสถานการณ์ แต่ทรงเปลี่ยนจากหลัก “ธรรมบัญญัติ” เป็น หลัก “พระคุณ” ที่ให้เราได้โอกาสครั้งที่ 2 ที่จะเชื่อว่า พระเยซูคริสต์รับโทษบาปผิดแทนเราไปแล้วและตัดสินใจจะเดินตามพระเยซูคริสต์ในทางชอบธรรมตลอดไป พระคัมภีร์ได้ให้คำสอนเรื่องลูกกับพ่อแม่ไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า” และ“ฝ่ายบิดา ก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เกรงว่าเขาจะท้อใจ”
การสอนนั้น ให้เน้นที่ความรัก และ การให้กำลังใจ จากประสบการณ์ของผม การดุ คำรุนแรง การใช้ความไม่รัก อาจได้ผลเร็ว แต่เป็นระยะสั้นเท่านั้น
การสอนที่ได้ผลคือ การให้กำลังใจ การสร้าง “ความรักดี” คือ “รักที่จะทำความดี” วันหนึ่ง ลูกทำ 10 อย่าง ดี 4 อย่าง ไม่ดี 6 อย่าง อย่าเอาแต่ดุด่า เรื่อง 6 อย่างนั้น แต่ให้ชม 4 อย่างที่ได้ทำดี และฉวยโอกาสชื่นชม ให้รู้สึกว่า“ทำดีนี่ ดีจริงๆ” และคอยหาโอกาสเมื่อมีการแก้ไขเมื่อไร ก็ให้ให้กำลังใจให้ดีเมื่อนั้น
เช่น หากลูกติดเกมส์ ก็น่าจะเริ่มต้นด้วยการต่อรอง เล่นอีกสัก ½ ชั่วโมงดีไหม แล้ว อ่านหนังสือต่อ พอลูกอ่าน ก็เข้าไป ชื่นชม ลูบผม เอาน้ำเย็นไปให้ เชื่อว่า ลูกก็จะค่อยๆ “รักดี” และ “รักที่จะทำความดี” ยิ่งๆขึ้นต่อไป
ถ้าเราให้ความสำคัญกับเด็ก ตระหนักดีว่า ไม่ใช่เรารักษาโลกไว้ให้คนรุ่นต่อไป แต่เราขอยืมโลกของลูกหลานมาอาศัยใช้ต่างหาก ช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะสังคม ระดับคุณธรรมให้ยังเป็น “แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ให้ถึงรุ่นลูกหลานเราให้ได้ เพราะ “แผ่นดินใดที่เป็นธรรม แผ่นดินนั้นย่อมเป็นทอง” ครับ
