ผ่าขุมข่าย“มอดไม้”เขมรตัดไม้พะยูงไทยส่งออกจีน-ใต้อุ้งมือ"ญา เปา"?
ผ่าขุมข่ายขบวนการ “มอดไม้” เขมร ลักลอบข้ามเขตไทย ตัด “ไม้พะยูง” เทือกเขาพนมดงรัก-เผยจ่ายค่าผ่านทางหัวละ 300 บ. ก่อนลำเลียงสินค้ากลับให้นายทุนส่งออกจีน - ใต้อุ้งมือ "ญา เปา"?

มีรายงานยืนยันชัดเจนว่า เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า (คปป.) อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อำเภอกันทรลักษ์, เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก, ทหารจากกองกำลังสุรนารี และตำรวจ สถานีตำรวจภูธรโดนเอาว์ ได้ร่วมกันจับกุมขบวนการมอดไม้ชาวกัมพูชา จำนวน 40 คนจากจำนวนกว่า 100 คน ที่แอบลักลอบข้ามมาตัดไม้พะยูงในเขตชายแดนไทยได้ในแถบเทือกเขาพนมดงรัก บริเวณป่าพลาญไก่เขี่ย ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของเขาพระวิหาร เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก พื้นที่เขตตำบลรุง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
ทั้งนี้ ของกลาง ที่พบในขณะจับกุมไม่ได้มีเพียงไม้พะยูงแปรรูป ขนาด 15 X 15 เซนติเมตร ยาว 40-120 เซนติเมตร จำนวน 109 ท่อน ปริมาตร 1.84 ลบ.เมตร ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกกว่า 7 ล้านบาทเท่านั้น
แต่ยังพบอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดไม้อาทิเลื่อยมือ 23 ปื้น ขวาน 17 เล่ม หัวไฟฉาย สำหรับส่องแสงเวลาทำงานกลางคืน 20 อัน ตลับเมตร 7 ตลับ
ส่วนกองกำลังคุ้มกันขบวนการมอดไม้นั้นหลบหนีหายเข้าไปยังฝั่งกัมพูชา
ด้วยสภาพภูมิประเทศของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาพนมดงรักที่สลับซับซ้อนเป็นแนวเทือกเขาสลับกับร่องห้วยที่มีความสูงชันและอยู่ติดบริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา มีเนื้อที่มากกว่า316 ตารางกิโลเมตร หรือ 197,500 ไร่ และมีไม้มากมูลค่าอย่างไม้พะยูงเป็นจำนวนมาก อีกทั้งมีหลายช่องทางเป็นทางเดินเท้าเข้าออกได้
จึงทำให้ขบวนการมอดไม้ชาวกัมพูชาเหิมเกริมใช้เวลาตอนกลางคืนออกปฏิบัติการล่าไม้พะยูงเพื่อลักลอบนำกลับเข้าฝั่งเขมรก่อนจะลำเลียงออกไปขายให้นายทุนส่งต่อไปจำหน่ายให้ประเทศจีน
@@ “พะยูง”ราคาสูงคุ้มเสี่ยง”คำสารภาพมอดไม้กัมพูชา

ใบสั่งตัดไม้พะยูง

วิธีการขนไม้ข้ามพรมแดนของขบวนการมอดไม้
“เรียว ลา” มอดไม้ชาวกัมพูชา วัย 37 ปี 1 ใน 40 ผู้ต้องหาที่พอจะพูดภาษาไทยได้ เปิดเผยข้อมูลหลังถูกจับว่า พวกเขาเดินทางมาจากหลายอำเภอในเขตจังหวัดพระวิหาร และจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชาจำนวน 70 คน เนื่องจากได้รับคำสั่งจากนายทุนกัมพูชา สั่งให้หาไม้พะยูงขนาดต่าง ๆ โดยไม้แต่ละขนาดจะมีราคาต่างกัน
หากเป็นไม้ขนาดหน้ากว้าง 15 X 15 เซนติเมตร ยาว 120 เมตร ราคาขายท่อนละ 1,500 บาทเงินไทย ซึ่งเขาและเพื่อนจะลักลอบเข้าหาไม้ในเขตไทยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
แต่บังเอิญรอบนี้โชคร้ายแม้จะได้ไม้ตามที่ต้องการแล้วก็ยังไม่สามารถกลับไปยังฝั่งกัมพูชาได้ เพราะค่ำเสียก่อน จึงจำเป็นต้องตั้งแคมป์พักแรมและจะเร่งขนไม้กลับในช่วงเช้าตรู่ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจับได้เสียก่อน
ผู้ต้องหาชาวกัมพูชาคนนี้บอกว่า มอดไม้ทุกคนรู้ว่าเสี่ยงแต่ก็ต้องมาทำเพราะคุ้มหากนำไม้กลับไปฝั่งกัมพูชาได้ เนื่องจากไม้พะยูงราคาแพง
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่เข้ามาตัดไม้ในเขตไทยจะต้องเสียค่าผ่านทางให้กับทหารกัมพูชาที่อยู่ฐานปฏิบัติ การติดชายแดนบริเวณแถบนี้ (กองพลที่ 8) คนละ 300 บาท และเมื่อได้ไม้ตามขนาดที่ต้องการแล้วก็จะขนกลับออกไปขายให้เจ้าหน้าที่ทหารฐานเดิมที่ข้ามมาต่ออีกครั้ง
มีหลักฐานชิ้นหนึ่งปรากฏว่า ขบวนการมอดไม้กัมพูชาอาจเกี่ยวข้องกับทหารกัมพูชาที่ทำหน้าที่เก็บค่าผ่านและทั้งเป็นนายหน้าจัดหาไม้ให้กับกลุ่มนายทุน คือ นอกจากเครื่องเลื่อยโซ่ยนต์พร้อมใบเลื่อยและอะไหล่จำนวนหนึ่งแล้ว ยังพบ หมวกทหารกัมพูชา เสื้อทหารติดอาร์มตรากองทัพแห่งชาติกัมพูชา บัตรประจำตัวทหาร บัตรสมาชิกพรรคประชาชนกัมพูชา เอกสารราชการของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา สมุดบันทึกเขียนข้อความเป็นภาษากัมพูชา รวมทั้งสัมภาระอื่นๆด้วย
ในขณะที่แหล่งข่าวชุดลาดตระเวนประจำเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาพนมดงรัก เปิดเผยเส้นทางของขบวนการมอดไม้ว่าเส้นทางหลักอยู่บริเวณ “ช่องจะจะแลง”แถวๆพลาญยาว ภูมะเขือ ด้านทิศตะวันตกติดกับปราสาทพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ ซึ่งห่างจากจุดที่ทหารไทยตั้งฐานประมาณ 10 เมตร อีกเส้นทาง คือ “ช่องทัพอู” ช่องทางลำเลียงตรงจุดนี้เป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบของทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี
บริเวณฐานปฏิบัติการจุดนี้ ผู้เขียนเคยมีโอกาสร่วมคณะไปกับชุดลาดตระเวนที่ออกค้นหา “วิทย์ ธูปหอมละออ” เจ้าหน้าที่ป่าไม้ “ชุดแรมโบ้” ที่หายตัวไปขณะมาร่วมปฏิบัติการปราบปรามขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูง เมื่อเดือน พ.ย. 2554 ที่ผ่านมา
มีสภาพเป็น”ฐานลอย” (ไม่เป็นทางการ) ที่อยู่โดดเดียว ห่างไกลจากฐานปฏิบัติการอื่นมาก โดยมีทหารพรานผลัดเวรกันเฝ้าประจำเพียงแค่ 3-4 คนเท่านั้น จึงไม่แปลกที่ทหารพรานฐานนี้จะไม่กล้าจับ หรือเปิดฉากปะทะ
หรือแม้แต่ดำเนินการจับกุม โดยกลุ่มมอดไม้ชาวกัมพูชาจะเข้ามาตรงช่องทับอูครั้งละ 20-30 คนโดยมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายคุ้มกันอย่างแน่นหนาด้วย และอีกเหตุผลอาจเกิดจาก เกรงว่าหากเปิดฉากยิงปะทะ อาจจะเป็นชนวนลุกลามไปสู่การปะทะกันอีกรอบได้ ดังนั้นผู้บังคับบัญชาระดับสูงจึงสั่งการให้หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างถึงที่สุดตามนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลชุดปัจจุบัน
“การเข้ามาแต่ละครั้งของขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงชาวกัมพูชา หากเป็นทหารทำเองก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร แต่หากผู้ที่จะเข้ามาเป็นพลเรือนจะต้องจ่ายเงินก่อนขึ้นมาครั้งละ 300 บาทไทย โดยจะจ่ายให้ทหารภายในหน่วยบัญชาการ กองพลสนับสนุนที่ 8 กองทัพกัมพูชา ซึ่งทางทหารกัมพูชาให้เหตุผลกับชาวบ้านว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปแบ่งให้ทหารฝั่งไทยด้วยเพื่อแลกกับการไม่ถูกจับกุมจึงจำเป็นต้องเก็บค่าหัวคิวตรงนี้ ซึ่งเรื่องนี้จะเท็จจริงอย่างไรนั้น เป็นเรื่องของฝ่ายความมั่นคงจะต้องลงไปตรวจสอบดูเอง”แหล่งข่าวให้ข้อมูล
แหล่งข่าวรายนี้ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เมื่อกลุ่มมอดไม้จ่ายค่าผ่านด่านให้ทหารกัมพูชาแล้ว ทหารกองพลสนับสนุนที่ 8 จะส่งชุดคุ้มกันที่เป็นทหารให้ตามจำนวนคนที่เข้ามาแต่ละตามความเหมาะสม โดยชุดคุ้มกันจะติดอาวุธสงครามเข้ามาให้การคุ้ม ครอง เช่น ปืนอาร์ก้า M 79 และเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ซึ่งการโต้ตอบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยนั้นจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละครั้งที่เกิดการปะทะขึ้น หากฝ่ายไทยโจมตีหนักก็จะโต้ตอบด้วยอาวุธหนัก เพื่อเปิดทางให้มอดไม้กลับเข้าไปในเขตชายแดนกัมพูชาได้หมดก่อนจึงจะยุติการยิงแล้วล่าถอยออกไป
“ชัชวาล อินทุมาร” หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ขบวนการลัก ลอบตัดไม้พะยูงในเขตเทือกเขาพนมดงรัก ส่วนใหญ่จะเป็นชาวกัมพูชาโดยมีนายทุนใหญ่ชาวไทยอยู่เบื้องหลัง โดยนายทุนไทยจะ”รู้กัน”กับนายทุนกัมพูชา โดยขบวนการนี้จะต้องมีการจ่ายส่วยให้ทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาเพราะทุกครั้งที่ไม้ถูกลักลอบตัดจากฝั่งไทยจะถูกชักลากกลับไปเขมรเพื่อพักเก็บไว้ก่อน เพื่อรอเวลาส่งต่อไปประเทศเวียดนามและจีน แต่หากนำออกไปไม่ได้จะมีการเคลื่อนย้ายไม้ไปเก็บในเขต จ.นครพนมเพื่อรอข้ามเรือไปประเทศลาวเพื่อส่งต่อไปที่เวียดนามและจีนเช่นกัน

ทหาร ตำรวจและป่าไม้สนธิกำลังเข้าจับกุมขบวนการมอดไม้เมือเดือนเม.ย.55
@@ ทหาร-ป่าไม้คุม 3โซนพื้นที่เสี่ยงทางแก้ปัญหา
สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาการลักลอบเข้ามาตัดไม้ของชาวกัมพูชาในฝั่งไทยนั้น “ชัชวาล” เสนอว่า ในเขตพื้นที่ 3 กิโลเมตรที่อยู่ติดชายแดนให้ทหารเป็นผู้ดูแลร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ชาวกัมพูชาลักลอบเข้ามาตามช่องทางที่เป็นจุดบอดๆ แต่การเข้าจับกุมโดยเฉพาะในเขตพื้นที่อนุรักษ์ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ส่วนพื้นที่ชั้นนอกที่จะออกมาทางฝั่งไทยก็ให้กรมป่าไม้ ร่วมกับฝ่ายปกครอง หรือตำรวจตั้งด่านจุดตรวจจุดสกัดป้องกันการลักลอบนำไม้ออกไป
“ ผมเสนอให้ทำ 3 โซนคือ เขตพื้นที่ชายแดน พื้นที่อนุรักษ์ และ พื้นที่กันชน หรือ บัฟเฟอร์โซน โดยมอบหมายให้เจ้าหน้าที่แต่ละฝ่ายทำหน้าที่ที่ตัวเองรับผิดชอบอย่างเข้มข้น นอกจากนี้ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงกลาโหมก็เจรจากับฝ่ายกัมพูชาให้ห้ามปรามคนของเขาไม่ให้เข้ามา แต่ที่ผ่านมาเรากลับได้ข้อมูลว่าทหารกัมพูชาเป็นคนปล่อยให้ชาวบ้านเข้ามาตัดไม้ ซึ่งไม่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นปัญหาก็ไม่จบ คือ ฝ่ายนโยบายและเจ้าหน้าที่ระดับปฎิบัติต้องทำงานควบคู่กันไปจึงจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน”ชัชวาล กล่าว
สำหรับมูลค่าความเสียหายในการลักลอบตัดไม้พะยูงนั้นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ประเมินว่า เฉพาะในรอบปี 2555 ที่ผ่านมา สามารถยึดของกลางได้ประมาณ 70 – 80 ลบ.ม. มูลค่าความเสียหายโดยคิดเป็นลูกบาศก์เมตรต่อราคาขายเฉพาะในเขตอีสานใต้ปีละประมาณ 3 ล้าน แต่หากถ้าคิดเป็นมูลค่าในเมืองจีนตกปีละ 150 – 200 ล้านบาทถือว่าความต้องการใช้ประโยชน์จากต่างประเทศอยู่ในระดับเกณฑ์ปานกลาง และยังวางใจในสถานการณ์ไม่ได้
@@ กองกำลังติดอาวุธขบวนการใหญ่นำไม้พะยูงออก
แม้ไทยจะมีมาตรการปราบปรามอย่างเข้มงวด แต่ฝ่ายกัมพูชากลับไม่ได้สนใจที่จะหาแนวทางร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวมากนัก ตรงกันข้าม วิซาโล เลขาธิการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา กลับทำหนังสือเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา เข้าพบเพื่อขอยื่นหนังสือประท้วงรัฐบาลไทยเรียกร้องไม่ให้ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวกัมพูชาที่เข้ามาเก็บหาของป่าตามแนวชายแดนด้วยการยิงด้วยอาวุธปืนจนเป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และขอให้ไทยทำโทษสถานเบา เช่นจับกุมแล้วดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ฝ่ายเอกอัครราชทูตไทยได้โต้แย้งว่า สาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ไทยต้องตอบโต้เนื่องจากชาวกัมพูชาลักลอบเข้ามาตัดไม้โดยผิดกฎหมายในดินแดนไทยและติดอาวุธเข้ามาพร้อมทั้งยิงเข้าใส่ฝ่ายไทยก่อน
ขณะที่ พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่ 2 ให้ข้อมูลสอดคล้องว่า ชาวกัมพูชาที่เข้ามาลักลอบตัดไม้ในเขตไทยส่วนใหญ่จะมีกองกำลังติดอาวุธคุ้มครอง เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตรวจพบและแสดงตัวเพื่อจับกุมจะถูกยิงจากกองกำลังคุ้มดังกล่าว ไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตัวซึ่งเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายไม่ใช่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นหน้าที่ของที่จะต้องรักษาอธิปไตยและทรัพยากรของชาติไทย
“ที่ผ่านมาเราสามารถจับกุมชาวกัมพูชาที่เข้ามาลักลอบตัดไม้และส่งดำเนินคดีตามกฎหมายได้จำนวนมาก โดยไม่มีการใช้อาวุธถ้าเราไม่ถูกยิงก่อน จะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำซากเช่นนี้อีกถ้ากัมพูชาสามารถควบคุมคนของตัวเองไม่ให้เข้ามาลักลอบตัดไม้ในเขตไทยได้เรื่องอย่างนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน”พ.อ.ประวิทย์ กล่าว
@@ ถอดรหัส "ญา เปา”ตัวการใหญ่ส่งไม้พะยูง???
หากย้อนเวลากลับไปในช่วงเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา เมื่อต้นเดือน ก.พ. 54 ที่บริเวณชายแดนด้านเขาพระวิหารที่ผ่านมา
ห้วงเวลานั้น ปรากฎชื่อของ “นายวิชัย” หรือ “ พ.อ.ญา เปา”ในข้อมูลทางการข่าวของหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวกัมพูชา 3 คนได้ในขณะเข้ามาสอดแนมและลักลอบกำหนดพิกัดที่สำคัญ ที่ตั้ง ทางทหาร ที่ตั้งพลเรือนตลอดจนหลุมหลบภัย วัด บ้าน โรงเรียนและตำบลที่กระสุนตกที่เคยสู้รบกัน ในพื้นแนวชายแดนอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยเฉพาะบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทางขึ้นปราสาทพระวิหาร

“ครั้งนั้น เราจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน ส่วน พ.อ.ญา เปา หัวหน้าขบวนการใหญ่ ที่เป็นนายทหารกัมพูชาสามารถหลบหนีไปได้ พร้อมกับนำพิกัดที่ลักลอบบันทึกไว้ในแผนที่นำติดตัวไปได้ โดยกลับกัมพูชาไปทางด่านตรวจคนเข้าเมืองด้านจังหวัดสระแก้ว เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 54 และจากการตรวจสอบย้อนหลังพบว่า 19 ปีที่แล้ว “วิชัย” หรือ “Mr. YA POV” (ญา เปา) คนนี้เป็นสายลับทางทหารคนสำคัญของกัมพูชา”แหล่งข่าวให้ข้อมูล
ข้อมูลจากหน่วยงานด้านความมั่นคงระบุว่า “ญา เปา” หรือ “อับดุล เลาะฮิมห์” หรือนายวิชัย ถือหนังสือเดินทางเข้า – ออกประเทศไทยโดยถือสัญชาติกัมพูชา สัญชาติมาเลเซียและสัญชาติเวียดนาม นอกจากนี้เขายังมีภรรยาเป็นชาวไทยมุสลิม อยู่ที่ย่านหนองจอก กรุงเทพฯ โดยคนในชุมชนหนองจอกรู้จักเขาในฐานะ เซียนไก่ เท่านั้น
แต่สำหรับกลุ่มขบวนการที่ทำธุรกิจมืดตามแนวชายแดนไทย – กัมพูชา ชื่อ “ญา เปา” ซึ่งล่าสุดทราบว่าได้เลื่อนยศ เป็น พลจัตวาแล้ว เมื่อตรวจสอบข้อมูลจาก ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 1 หน่วยเฉพาะกิจทหารพรานนาวิกโยธิน ( ชค.ทพ.นย. 1) เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 52 ทราบว่า “วิชัย” หรือ “อับดุล เลาะฮิมห์” ได้เดินทางเข้ามาพร้อมคณะนายทหารฝ่ายกัมพูชา
และเขามีรายชื่อเป็นอันดับ 3 ของคณะเพื่อมาพบปะเยี่ยมเยียนนายทหารฝ่ายไทยที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ( ฉก.นย.ตราด) ในชุดเครื่องแบบทหารติดยศ “พ.อ.ญา เปา” มาในนามที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ของ สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา
ดังนั้น การปรากฏตัวครั้งล่าสุดของเขาในเขตพื้นที่ชายแดนด้านอ.กันทรลักษ์ และ อ.ขุนหาญ คงไม่ต้องอธิบายว่า บุคคลคนนี้มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องกับไม้พะยูงหรือไม่
เพราะสายสัมพันธ์ทั้งทางด้านการเมืองและเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ของ "ญา เปา” คงจะอธิบายได้ว่า เหตุใดชาวกัมพูชา จึงกล้าเข้าลักลอบตัดไม้พะยูงในฝั่งไทยได้อย่างไม่เกรงกลับเจ้าหน้าที่คนใดเลย
“เขาอาศัยสายสัมพันธ์ที่มีกับนักการเมืองท้องถิ่นบางคน จนถึงการเมืองระดับประเทศในการอำนวยความสะดวกเรื่องการนำไม้พะยูงออกมาจากเทือกเขาพนมดงรักและลำเลียงขนย้ายไปสู่จุดหมายปลายทาง โดยมีการแบ่งผลประโยชน์กันอย่างลงตัว จึงทำให้ปัญหาการลักลอบตัดไม้พะยูง ในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนแทบทำอะไรไม่ได้เลย”แหล่งข่าวด้านความมั่นคงระบุ
---------------------------
หมายเหตุ :ข่าวและสารคดีเชิงข่าวในโครงการ "พัฒนาทักษะทางวิชาชีพให้แก่บุคลากรในวิชาชีพสื่อมวลชน" โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
