เปิดคำให้การ "สุรพล นิติไกรพจน์" คดี อสมท.-ช่อง3 สอนมวย "ธาริต" อย่าจุ้น เรื่องอยู่ใน ป.ป.ช.

นายสุรพล นิติไกรพจน์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตประธานคณะกรรมการ บริษัท อสมท จำกัดได้ทำหนังสือถึงถึง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ "ประธานคณะกรรมการ บมจ. อสมท" ซึ่งมีผู้มากล่าวโทษว่า มีการต่ออายุสัญญาสัมปทานการดำเนินการกิจการโทรทัศน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า
มีผู้กล่าวหาร้องเรียนคณะกรรมการ อสมท ว่า ได้กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอยู่แล้ว การดำเนินการในเรื่องนี้ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยการตั้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้
สำหรับหนังสือของนายสุรพลมีสาระสำคัญดังนี้
ตามหนังสือที่อ้างถึงได้ขอให้ข้าพเจ้าไปให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในวันที่ 16 มกราคม 2556 เวลา 13.30 น. นั้น เนื่องจากในวันเวลาดังกล่าว ข้าพเจ้าต้องไปเป็นผู้บรรยายในหลักสูตรนักบริหารยุติธรรมระดับกลาง ที่สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม จึงไม่สามารถมาตามการนัดหมายได้ จึงขอชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ บมจ. อสมท ดังนี้
1.ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ บมจ. อสมท จนลาออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2554 ในขณะนี้ข้าพเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกิจการของ บมจ. อสมท แต่อย่างใดทั้งสิ้น ดังนั้น หากประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงหรือขอสำเนาเอกสารหรือหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับการดำเนินการของ บมจ. อสมท โปรดติดต่อกับประธานคณะกรรมการหรือกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของ บมจ. อสมท ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในปัจจุบัน
2.สำหรับข้อซักถามในหนังสือที่อ้างถึง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ในอดีตเมื่อดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ บมจ. อสมท นั้น ขอชี้แจงเพื่อเป็นข้อมูลให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องสัญญาสัมปทานระหว่าง บมจ. อสมท กับ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ดังต่อไปนี้
2.1 ความสัมพันธ์ระหว่าง บมจ.อสมท กับ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ในปัจจุบันเป็นไปตามสัญญาร่วมดำเนินกิจการรับส่งโทรทัศน์สี ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 3 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2532 ซึ่งได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินการโดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ซึ่งยังคงมีผลผูกพันใช้บังคับอยู่จนปัจจุบันโดยมิได้มีการแก้ไข และไม่ได้มีการทำสัญญาสัมปทานฉบับใหม่ มิได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม หรือมิได้มีการจัดให้มีการประกวดราคา หรือเสนอราคา หรือดำเนินการใด ๆ อันจะมีสภาพเป็น "การเสนอราคา" ตามความหมายแห่งมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542แต่อย่างใดทั้งสิ้น
2.2 ต่อข้อซักถามในเรื่องที่คณะกรรมการ อสมท ได้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ ที่ 30/2553 ที่แต่งตั้งให้ นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และแต่งตั้ง กรรมการใหม่ให้นายสิทธิศักดิ์ เอกพจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ. อสมท เป็นประธานแทนนั้น มาจากเหตุผลที่กระทรวงการคลังซึ่งมีผู้แทนอยู่ในคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ทักท้วงว่า การที่ พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 กำหนดให้ตั้งผู้แทนกระทรวงเจ้าสังกัด เป็นประธานตามมาตรา 13 นั้น กระทรวงการคลังได้มีหนังสือเวียนแจ้งไว้แล้วว่า ในกรณีดังกล่าว ให้ตั้งผู้แทนที่เป็นพนักงานของรัฐวิสาหกิจนั้นๆ มิใช่ผู้แทนที่เป็นข้าราชการจากกระทรวงเจ้าสังกัด
ดังนั้น คณะกรรมการ อสมท จึงมีมติยกเลิกการตั้งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมอบหมายให้รองผู้อำนวยการใหญ่ของ บมจ. อสมท เป็นประธานแทนตามข้อสังเกตและทักท้วงของผู้แทนกระทรวงการคลัง
2.3 การที่คณะกรรมการ อสมท เรียกร้องให้บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ให้ผลประโยชน์เป็นพิเศษนอกเหนือจากหน้าที่ตามสัญญาให้แก่ บมจ. อสมท เพราะเห็นว่าในขณะพิจารณาเรื่องดังกล่าวบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด อยู่ในฐานะและสภาวะที่สามารถให้ค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวได้ คณะกรรมการ อสมท ที่ข้าพเจ้าเป็นประธาน จึงเรียกร้องให้บริษัท ให้ค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจากที่ระบุและได้ผูกพันกันไว้ในสัญญา (ซึ่งมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อสัญญา เพราะระยะเวลาของสัญญาจะไปสิ้นสุดลงในปี 2563 ตามที่ได้ลงนามผูกพันไว้เดิม) และได้เจรจาขอให้ชำระค่าตอบแทนเพิ่มเติมหลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้ข้อยุติที่ทางบริษัทตกลงยินยอมชำระค่าตอบแทนพิเศษนอกเหนือจากสัญญาเดิม เพิ่มให้แก่ บมจ. อสมท อีก 405 ล้านบาท
2.4 การที่ บมจ. อสมท เคยแจ้งเตือนบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด เรื่องการผิดสัญญา 2 ครั้ง เป็นการตรวจสอบตามเงื่อนไขของสัญญาที่ผูกพันกันไว้ตาม ที่ระบุไว้ว่า เมื่อครบ 20 ปี ของการลงนามในสัญญา หากบริษัทไม่ได้ผิดสัญญาให้ระยะเวลาของสัญญาขยายไปอีก 10 ปี (จนถึง พ.ศ. 2563) ดังนั้น บมจ. อสมท จึงต้องทำการตรวจสอบว่ามีการผิดสัญญาหรือไม่ เมื่อปรากฏข้อสงสัยว่าอาจมีการกระทำที่ผิดสัญญาเกิดขึ้นสองกรณีคือการโอนทรัพย์สินให้แก่ บมจ. อสมท ไม่ครบถ้วน และการให้ผู้อื่นประกอบกิจการที่ได้รับสัมปทานแทน บมจ. อสมท ก็ได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทชี้แจงตามข้อสัญญา
ต่อมา บริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ก็ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวมายัง บมจ. อสมท ว่ามิได้มีการดำเนินการใดๆ ที่ผิดต่อข้อสัญญาแต่อย่างใด โดยได้ชี้แจงรายละเอียดหลักฐานและข้อเท็จจริงมายัง บมจ.อสมท ซึ่งทางฝ่ายบริหารของ บมจ. อสมท ได้ตรวจสอบแล้วและเห็นว่า ไม่ได้มีการดำเนินการที่ขัดต่อข้อสัญญาแต่อย่างใด คณะกรรมการ บมจ. อสมท จึงมีความเห็นว่าทั้ง 2 กรณีไม่ใช่การกระทำที่ขัดต่อข้อกำหนดในสัญญา
3. การที่ บมจ. อสมท ดำเนินการรับค่าตอบแทนจากบริษัทบางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ เป็นกรณีที่มีประเด็นปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 อยู่ด้วย เนื่องจากสัญญาฉบับนี้กระทำขึ้นก่อนวันที่กฎหมายดังกล่าวใช้บังคับ และมีประเด็นเรื่องการตีความหมายและขอบเขตของถ้อยคำที่ระบุอยู่ในสัญญา ที่ลงนามไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ด้วย ดังนั้น ก่อนที่คณะกรรมการ อสมท จะตัดสินใจรับค่าตอบแทน 405 ล้านบาท บมจ. อสมท ได้ทำหนังสือหารือและขอความเห็นทางกฎหมายเพื่อให้ได้ข้อยุติในทางบริหารในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวจากคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ซึ่งมี ศาสตราจารย์พนัส สิมะเสถียร เป็นประธานได้ตอบข้อหารือในประเด็นทางกฎหมายดังกล่าวมายัง บมจ. อสมท แล้ว ตามความเห็นที่ปรากฏในเรื่องเสร็จที่ 609/2554 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2554) และการดำเนินการในเรื่องนี้ของคณะกรรมการ อสมท ก็เป็นไปตามแนวทางที่ปรากฏตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวทุกประการ
4. เรื่องการดำเนินการเกี่ยวกับสัญญาร่วมดำเนินกิจการโทรทัศน์สีกับบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ของ บมจ. อสมท ในขณะนี้ได้มีผู้กล่าวหาร้องเรียนคณะกรรมการ อสมท ว่าได้กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และอยู่ระหว่างพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 อยู่แล้ว ดังปรากฏหลักฐานตามหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ลงวันที12 พฤษภาคม 2553
ดังนั้น การดำเนินการในเรื่องนี้ซ้ำซ้อนโดยทราบดีอยู่แล้วว่ากรณีเป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ประจำของรัฐถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อันเป็นกรณีที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
หากพ้นจากการตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ไปถึงขั้นการตั้งข้อกล่าวหาในคดีอาญาอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป,ช. จึงอาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตามประมวลกฎหมายอาญาได้.
