แกะรอย “แผนชิงเมืองหลวง” จากมันสมองของ “ภูมิธรรม เวชยชัย”

ในขณะที่หลายๆ คนสนใจว่า พรรคเพื่อไทย (พท.) จะใช้วิธีการหาเสียงแบบใด เพื่อส่ง “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” ขึ้นสู่เก้าอี้ผู้ว่าราชการ กทม.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) กลับสนใจ ทั้ง “ผล” ของการคิดแคมเปญหาเสียงดังกล่าว มาจาก “วิธี” คิดแบบใดของทีมยุทธศาสตร์ พท.
บ่ายแก่ๆ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เราจึงบุกไปถึงชั้น 4 อาคารโอเอไอ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ที่ทำการ พท. ขอจังหวะแทรกภารกิจอันยุ่งเหยิงของ “ภูมิธรรม เวชยชัย” เลขาธิการ พท.ในฐานะ ผอ.เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ของ พท. เพื่อตอบข้อสงสัยดังกล่าว
*****
อยากทราบวิธีคิดในการวางยุทธศาสตร์หาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ของ พท.
การหาเสียงเป็นจังหวะของมัน คงจะพูดทีเดียวไม่ได้หมด
พท.แบ่งเฟสในการหาเสียงอย่างไร ในเวลาอีกไม่ถึง 50 วันที่เหลืออยู่
ถ้านับจากวันรับสมัคร (21 ม.ค.) จะเหลือเวลาหาเสียงอีกแค่ 48 วัน ช่วงแรกจะเป็นการเปิดตัว ทำความเข้าใจ แนะนำตัวผู้สมัคร ว่าเหตุใด พท.จึงตัดสินใจนำเสนอคนๆ นี้มาให้ประชาชนได้พิจารณา แต่เราอาจะสบายนิดหนึ่ง เพราะตัวผู้สมัครที่เราเลือกตอนนี้ ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครรู้จัก จึงไม่ต้องเสียเวลาในการทำความเข้าใจให้ประชาชนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ดังนั้นขั้นตอนการแนะนำตัวก็จะทำให้กระชับและสั้นลงได้ เฟสแรกจะเป็นอย่างนี้
หลังจากนั้นก็จะเป็นการนำเสนอว่า พท.จะเริ่มพัฒนา กทม.อย่างไร เพื่อตอบสนองความต้องการของคน กทม.ให้สูงที่สุด
นอกจากเฟสแรกแนะนำตัวแล้ว เฟสต่อๆ ไปจะทำอะไร
pattern ในการหาเสียงไม่ได้ตายตัว การเมืองไม่มีอะไรตายตัว ไม่ใช่ 1+1=2 2+2=4 เพราะในสถานการณ์หนึ่ง เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา นักการเมืองต้องปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์เป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่ที่สำคัญกว่านี้ เราก็ต้องโชว์ให้ประชาชนเห็นว่า พท.คิดอย่างไรกับการดูแล กทม. และทำให้คน กทม.เชื่อว่าบุคคลที่ พท.นำเสนอจะนำนโยบายไปปฏิบัติได้จริง คน กทม.จะเชื่อไหมว่า สิ่งที่ พท.คิด นโยบายที่ พท.นำเสนอ จะทำได้จริง แล้วจะส่งผลดีต่อคน กทม.นี่คือแผนที่เราจะใช้ในการรณรงค์ให้คน กทม.ตัดสินใจ
นี่คือหลักคิดของ พท.เลย คือทำให้คน กทม.เชื่อว่า นโยบายจะทำได้จริง และตัวบุคคลจะนโยบายไปปฏิบัติได้จริง
จะพูดอย่างนั้นก็ได้ แต่หลักของเราก็คือ เราคิดอย่างไรกับ กทม. เราเลือกคนแบบไหน ให้มาทำสิ่งที่เราคิดให้เป็นจริง ส่วนเขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พวกท่านจะเป็นคนตัดสินใจ โดยการหย่อนบัตรลงคะแนนเสียง
พวกเวิร์ดดิ้ง อาทิ “ไร้รอยต่อ” “คืนความสุข” ที่ พล.ต.อ.พงศพัศใช้ในช่วงแรกของการหาเสียง จะช่วยดึงคะแนนได้มากน้อยแค่ไหน หรือพอถึงจุดหนึ่งก็อาจจะต้องเปลี่ยนเวิร์ดดิ้ง
มันไม่อาจจะเอาแค่คำพูดคำนั้นมาดูว่าจะดึงคะแนนได้หรือไม่ได้ เพราะการใช้ catch word ในทางการเมือง เป็นแค่การใช้ศิลปะในการสรุปความ ใช้คำพูดสั้นๆ กระชับ ได้ใจความ เนื่องจากตามป้ายหาเสียง หรือการพูดประชาสัมพันธ์ motto ต่างๆ มันมีเวลาในการสื่อสารเพียงเสี้ยววินาที จึงต้องคิดว่าจะมีคำพูดไหนที่สั้น ใช้เวลาไม่มาก แต่สื่อความหมายได้ตรงกับสิ่งที่เราต้องการจะบอก ในสิ่งที่เราอยากจะทำให้กับประชาชนผู้หย่อนบัตรลงคะแนน
ฉะนั้นมันคงไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ที่จะทำให้คนตัดสินในเลือกใครหรือพรรคใด มันต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีก เช่นตัวผู้สมัครน่าเชื่อถือแค่ไหน มีศักยภาพไหม พรรคที่สนับสนุนเขา มีผลสำเร็จในการทำงานไหม เพราะบางพรรคก็พูดบ่อย แต่ไม่คอยมีผลงาน บางพรรคพูดแล้ว คนรู้สึกเลยว่าจะมาทำจริง ไม่มาหลอกเรา ที่สำคัญนโยบายต่างๆ ที่คุณคิด ได้คิดโดยใช้พื้นฐานว่าไปนั่งอยู่ในหัวใจเขาหรือเปล่า เสนอในสิ่งที่ตรงประเด็น ตรงปัญหา ตรงใจเขาหรือเปล่า
นี่คือองค์ประกอบที่ประชาชนจะใช้ในการตัดสินใจ พรรค คน นโยบาย ไม่ใช่แค่การใช้ catch word เพียงอย่างเดียว
ระหว่างคน พรรค นโยบาย หรืออื่นๆ คน กทม.ใช้ปัจจัยอะไรมาประกอบการตัดสินใจว่าจะเลือกผู้สมัครรายใดมากที่สุด
ผมเชื่อว่าการตัดสินใจของคน ไม่ได้มีองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งที่ชัดเจนเหมือนกันทุกคน การที่คนๆ หนึ่ง จะตัดสินใจเลือกผู้บริหาร กทม.ที่จะมีผลต่อชีวิตของเขา เขาคงดูหลายๆ อย่าง ทั้งประวัติ-ภูมิหลังของผู้สมัคร ผลที่จะเกิดจากการเลือกคนๆ นี้ ความน่าเชื่อถือของนโยบายที่เสนอ ส่วนว่าใครจะตัดสินใจโดยใช้ปัจจัยไหนเป็นสำคัญ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขามีประสบการณ์ชีวิต ช่วงใยเรื่องอะไร ให้ความสำคัญกับเรื่องไหนเป็นพิเศษ หน้าที่ของพรรคก็ต้องทำให้ครบ
แต่คน กทม.มีความหลากหลายสูง ความต้องการก็แตกต่างกันมาก พท.จับจุดได้หรือไม่ว่า ความต้องการหลักๆ ของคนในเมืองนี้คือเรื่องอะไร
ผมคิดว่าแต่ละพรรคก็คงจะมองไม่ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับความละเอียดของแต่ละพรรค แต่ละผู้สมัคร ว่าถ้าเข้าไปคลุกคลีกับเขามาก ก็มีโอกาสจะเสนอนโยบายที่ตรงกับความต้องการได้มาก แน่นอนว่า กทม.เป็นมหานครที่มีความสลับซับซ้อน หน้าที่ของเราจึงต้องดึงปัญหาของคน กทม.ออกมาให้ได้เห็นว่ามีเรื่องอะไรบ้าง แล้วเราจะมีวิธีในการเข้าไปแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร พท.เป็นพรรคที่มีกระบวนการทำนโยบายเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะเรามีการสำรวจความคิดเห็นประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ในการหาเสียง การสื่อสารทางการเมืองก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะต่อให้นโยบายดีแค่ไหน คิดไว้ดีอย่างไร แต่ไปสื่อสารบอกเขาไม่ได้ คนก็ไม่ตัดสินใจเลือกคุณ
ดังนั้นกระบวนการทำนโยบายของ พท.จึงต้องชัดเจน กระชับ แล้วใช้ catch word มาสื่อสารทางการเมือง ต้องมานั่งคิดว่าในระยะเวลาแค่นั้น จะทำอย่างไรให้คนซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้สนใจการเมือง 100% ต้องตัดสินใจว่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ พท.นำเสนอหรือไม่ อะไรที่ทำให้คุณนั่งรถผ่านมาแว่บหนึ่ง หรือแค่ได้ยินเสียงผ่านวิทยุแว่บหนึ่ง แล้วคุณก็รู้ว่า อ้อ! นี่เป็นสิ่งที่ พท.กำลังคิด และกำลังจะทำ
แต่คู่แข่งก็คงจะใช้วิธีการนี้เช่นกัน จะทำอย่างไรให้เกิดความแตกต่าง
ผมไม่เคยดูของฝั่งตรงข้าม ผมสนใจแค่ประชาชนจะคิดอย่างไร มองอย่างไร ฝ่ายตรงข้ามจะมองหรือทำอะไร ก็เป็นวิธีการของเขา เราคงไม่ไปใส่ใจ หรือต้องไปศึกษารายละเอียด สิ่งสำคัญคือประชาชน ถ้าเราทำอะไรไปแล้วเขาไม่รู้เรื่อง เราก็ต้องกลับมาทบทวนแล้ว แต่ถ้าเขาบอกว่า เห้ย! ดีมากเลย ฟังปุ๊บเข้าใจ แสดงว่าเราทำถูกต้องแล้ว
เท่าที่ศึกษามาปัญหาที่คน กทม.ต้องการวิธีการแก้ไขจากผู้ว่าฯกทม.มากที่สุด อยากให้ลองยกตัวอย่างสัก 3 ลำดับแรกว่ามีอะไรบ้าง
หลักๆ ก็คือชีวิตทางเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ โอกาสในรายได้ เพราะถ้าปากท้องเขายังหิ้ว มื้อนี้ไม่มีข้าวจะกิน จะให้ไปคิดอะไรใหญ่โตคงจะยาก แต่ถ้าปากท้องอิ่มแล้วถึงจะไปดูชีวิตด้านอื่นๆ มากขึ้น ก็เหมือนเราถ้ายังท้องหิว ก็คงจะไม่ไปคิดเรื่องความปลอดภัยหรือการคมนาคม

ตลอดช่วงเวลาหาเสียง พท.จะใช้วิธีใดในการสอบทานว่าแนวทางที่ใช้อยู่ถูกต้องหรือไม่ และต้องทำในช่วงจังหวะใด บ่อยครั้งแค่ไหน
เราก็จะมีการสำรวจตรวจสอบในเบื้องต้น แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นโพลล์อย่างเดียว อาจจะมีวิธีอื่นๆ ร่วมด้วย เช่นฟังความเห็น ดู feedback บางทีเราไม่ต้องไปทำโพลล์เอง แต่ใช้วิธีฟังโพลล์คนอื่นก็ได้ แม้มันอาจจะบอกได้ไม่ 100% เพราะโพลล์บอกได้แค่ความโน้มน้าว ประเด็นสำคัญคือการหยิบข้อมูลเหล่านั้น นำมาประเมินและวิเคราะห์ว่าจะไปใช้ประโยชน์อย่างไรต่อไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นศิลปะ
โดยหลักแล้วยุทธศาสตร์ในการหาเสียงจะต้องปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ หรือวางภาพใหญ่ไว้แล้วเดินไปตามแนวทางนั้น
ในชีวิตจริงก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ยิ่งโลกปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรวดเร็วทันใจ การปรับเปลี่ยนให้ทันจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ความใหม่ทางการเมืองสำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ ถือเป็นแต้มต่อหรือข้อเสียเปรียบ
แล้วแต่ว่าคุณจะมองบนพื้นฐานของอะไร ถ้ามองในเชิงบวก ความใหม่ก็คือสด ถึงจะมีประสบการณ์น้อยกว่าคนอื่น แต่บางคนใหม่ที่นี่ แต่เก่าจากที่อื่น ประสบการณ์เพียบ มันก็พูดยาก สำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ ถ้าคำว่าการเมือง หมายถึงการเข้าสู่วังวนทางการเมือง เหมือนอาชีพอย่างหนึ่ง มาช้าก็ไม่ได้เสียหายอะไร แม้จะเพิ่งเข้าการเมืองได้ไม่กี่วัน แต่จากการผ่านร้อนผ่านหนาวในฐานะข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นถึงรอง ผบ.ตร.ที่คลุกคลีกับประชาชนมา ความใหม่จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับ พล.ต.อ.พงศพัศ
ถ้าถามว่าจะไปสู้กับนักการเมืองที่เก่าแก่ได้หรือไม่ ไม่มีปัญหา เพราะ พล.ต.อ.พงศพัศถึงจะใหม่ แต่ก็มีพรรคที่เก่าระดับหนึ่งช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ พท.เคยพิสูจน์ตัวเองตั้งแต่สมัยยังเป็นพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ถึงวันนี้ 10 กว่าปีแล้วว่า แม้จะเป็นพรรคใหม่ ก็ยังเอาชนะพรรคเก่าแก่ได้
ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครจะใหม่หรือเก่า แต่อยู่ที่ว่าได้คิดค้นอะไรใหม่ๆ หาคำตอบใหม่ๆ ไม่ยึดติดกรอบมากเกินไป มีความยืดหยุ่นในการแก้ไขปัญหาหรือไม่ เพราะโลกยุคหนึ่ง สังคมอยากต้องการความนิ่ง พรรคที่อยู่มานานก็อาจจะช่วยได้ แต่ในยุคปัจจุบันที่มีพลวัตรความเปลี่ยนแปลงมากมาย การไวต่อควมเปลี่ยนแปลง รับรู้ เข้าใจ และปรับตัวให้ทัน จะมีประโยชน์มากกว่า
ถึงจุดนี้คน กทม.ต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง” แล้วหรือ อะไรคือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้หันมาเลือกผู้ว่าฯ กทม. “คนใหม่” แทนที่ “คนเก่า”
ปัจจัยสำคัญคือต้องถามว่าชีวิตความเป็นอยู่ของคน กทม.ในวันนี้ดีแล้วหรือยัง ถ้าดี น่าพอใจมาก และอยากให้ดำรงอยู่เช่นนี้ต่อไป เขาก็คงไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าเหลียวไปดูแล้วเห็นว่ายังมีจุดที่เป็นปัญหาเต็มไปหมด อยากให้เปลี่ยนไปในทางที่เป็นประโยชน์ เขาก็คงต้องการความเปลี่ยนแปลง
นี่คือโจทย์ที่สำคัญสำหรับผู้สมัครแต่ละคน ว่าคุณเข้าใจความเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า เพราะคนใน กทม.มีความต้องการที่หลากหลาย ความต้องการของคนที่สีลม สาทร พระนคร ป้อมปราบ กับความต้องการของคนที่บางแค หนองแขม หนองจอก มีนบุรี มันไม่เหมือนกัน กระทั่งใน กทม.ชั้นในอย่างบางซื่อ จตุจักร ก็ไม่เหมือนกับปทุมวัน ราชเทวี ถ้าไปถามคนที่สีลม เขาอาจจะต้องการการเดินทางที่สะดวก ถ้าไปถามคนแถวๆ ชานเมืองติดต่างจังหวัด เขาอาจจะต้องการพื้นที่สีเขียว ต้องการไฟสว่าง น้ำประปาที่ดี ถามว่าคนจะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.เข้าใจถึงเรื่องนี้หรือเปล่า

ได้วิเคราะห์ถึงจุดอ่อนและจุดที่ต้องปรับปรุงของ พล.ต.อ.พงศพัศไว้อย่างไรบ้าง
คงอยู่ที่สื่อและประชาชนจะสะท้อนมา แต่มองในแง่เรา พล.ต.อ.พงศพัศเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สื่อสารกับผู้คนได้ มีความสามารถในการประสานงานกับผู้คนได้กว้างขวาง ซึ่งจะทำให้การทำงานประสบความสำเร็จ ที่สำคัญเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นสูง
ส่วนที่ยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง คือเขาอาจจะใหม่ทางการเมือง แนวทางการต่อสู้กันแบบมุ่งจะเอาชนะทุกวิถีทาง แบบที่ผมไม่อยากจะเรียกว่า ใช้วิชามาร พล.ต.อ.พงศพัศอาจจะยังไม่เคยชิน นี่ก็อาจเป็นจุดอ่อนได้ คงต้องให้เวลาปรับตัวอีกสักระยะ
แล้วตัวคู่แข่งขันคนสำคัญอย่าง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯกทม.จากพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีจุดอ่อนจุดแข็งอะไรบ้าง
โดยวิธีทำงานของ พท. เราไม่เคยไปวิเคราะห์หรือล่วงล้ำคู่ต่อสู้ เพราะเราคิดว่าเราสู้กับตัวเราเอง ผมจึงขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ไปวิจารณ์คู่ต่อสู้
คุณภูมิธรรมเคยวิเคราะห์ว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้น่าจะสู้ได้ เพราะเมื่อปี 2552 คะแนนของคุณยุรนันทน์ ภมรมนตรี ผู้สมัครของพรรคพลังประชาชน (พปช.) ได้มาราว 6 แสนเสียง ถ้าไปบวกกับคะแนนของ ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล ที่ได้ราว 3 แสนเสียง ก็จะสูสีกับคะแนนของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ที่ได้ราว 9 แสนเสียง
ในการเลือกตั้งทุกครั้ง คะแนนที่เกิดขึ้นจะมาจากหลายส่วน มาจากคะแนนพื้นฐานของพรรคโดยตรง อันนี้ปฏิเสธไม่ได้ เพราะพรรคที่ทำงานให้กับประชาชนย่อนมีฐานของตัวเอง อีกส่วนคือคะแนนของตัวผู้สมัคร ซึ่งแต่ละคนจะมีฐานมวลชนที่สนิทสนมคุ้นเคยหรือรักใคร่เอื้ออาทรต่อกัน อีกส่วนคือเรื่องของนโยบาย ถ้าเชื่อว่าพรรคนี้ ผู้สมัครคนนี้ พูดจริงทำจริง มันก็จะมากบวกๆ กัน
แต่โดยปกติคะแนนฐานนิยมของแต่ละพรรคจะ fix ซึ่งในสนาม กทม. ข้าง ปชป.จะมีมากกว่า ข้าง พท.
ถ้าไปดูตามสถิติ คะแนนฐานของพรรคจะอยู่ที่ราว 20% ของคะแนนที่ผู้สมัครรายนั้นๆ ได้รับ แล้วตัวบุคคลจะมาเติม แต่ในสถานการณ์ที่นโยบายโดนใจ voters มากๆ คะแนนก็จะขึ้นลงตามสภาพ มันไม่มีอะไรหยุดนิ่งถาวร พรรคที่คนเคยนิยม ถึงจุดหนึ่งก็จะลดถอยได้ พรรคที่ไม่เคยได้รับความนิยม หากเสนออะไรที่ถูกใจคน ก็มีโอกาสชนะได้
ซึ่ง พท.หวังจะบวกแต้มในส่วนของนโยบาย
ไม่ทราบ แล้วแต่การตัดสินใจของประชาชน แต่ พท.เสนอว่ามาถึงวันนี้มันต้องมีความเปลี่ยนแปลง
หากดูหน้าตาผู้สมัครที่เปิดตัวออกมาหมดแล้ว สุดท้ายจะเป็นการแข่งขันระหว่างผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ หรือจะมีตัวเลือกที่ 3 โผล่ขึ้นมาด้วย
เราแข่งกับตัวเรา และเราคิดว่าทุกคนมีเกียรติ มีคุณสมบัติ มีความสามารถเพียงพอ ไม่มีใครรู้ว่าผลการตัดสินใจ ใครจะอยู่ในหัวใจประชาชน จนกว่าผลการลงคะแนนจะออกมา
ตามสถิติต้องได้กี่คะแนนถึงจะชนะการเลือกตั้ง ผู้สมัครได้เป็นผู้ว่าฯกทม. แล้วเป้าหมายของ พท.อยู่ที่กี่คะแนน
ตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของผู้สมัคร ถ้าดีเด่นกันทุกคนก็จะดึงกัน ผู้ชนะอาจจะได้คะแนนไม่ถึงล้าน แต่ถ้าผู้สมัครมีคนที่มีจุดเด่นสูงอยู่ไม่กี่คน คะแนนมันอาจจะทะลุไปเลยก็ได้ มันไม่สามารถตอบเป็นมาตรฐานให้กับทุกครั้งได้ จะตอบได้ต้องดูการหาเสียง การดำเนินงาน การปราศรัยต่างๆ สักระยะ
