เลขาฯสมช.ชี้คดีเขาพระวิหาร "ไทยต้องเคารพคำตัดสินของศาลโลก"
"เมื่อปราสาทเป็นของเขาก็คงต้องให้เขาขึ้น เพราะมันไม่ใช่ของของเรา"

ยังต้องตามติดต่อเนื่องสำหรับประเด็น "ปราสาทเขาพระวิหาร" ที่งวดเข้ามาสู่ช่วงโค้งสุดท้ายกับการแถลงปิดคดีด้วยวาจาของฝ่ายไทยกับกัมพูชาในระหว่างวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ หลังจากนั้นก็ต้องมาคอยลุ้นกันว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ซึ่งมีกำหนดจะตัดสินในเดือน ต.ค.ปีนี้ ผลจะเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้ด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ “สุรพงษ์ โตวิจักรชัยกุล” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การต่างประเทศ โน้มน้าวให้คนไทยยอมรับความพ่ายแพ้ล่วงหน้า เพราะรูปคดีมีแต่ “เจ๊า” กับ “เจ๊ง” ก่อนจะแจกแจงว่า ศาลโลกจะตัดสิน 4 แนวทาง คือ 1. ศาลอาจไม่มีอำนาจพิจารณาคดีและแทงจำหน่ายคดี 2.ศาลรับพิจารณาคดีและตัดสินตามท่าทีไทยคือตาม มติ ครม.ปี 2505 3.ศาลอาจรับพิจารณาคดีและตัดสินตามท่าทีกัมพูชา คือตามแผนที่ 1/2 แสนและ 4.ตัดสินแบบกลางๆ โดยไม่อิงท่าทีทั้งของไทยและกัมพูชา
สุรพงษ์สรุปว่า ถ้าเป็นไปตามแนวทางที่ 1.คือเสมอตัว แนวทางที่ 2.คือเจ๊า ซึ่งทั้ง 2 กรณีอาจมองว่าเราชนะคือเสมอตัว อันที่ 3 และ 4 สรุปง่ายๆ คือแพ้
คดีพื้นที่ทับซ้อน “ปราสาทเขาพระวิหาร”ที่จะชี้ชะตาในเดือนต.ค.นี้ จึงเป็นภาระหนักของรัฐบาลที่ต้องตั้งรับทั้งศึกนอกและศึกใน
“พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือเสธ.แมว บอกถึงแนวทางการต่อสู้ และยุทธศาสตร์ในมุมของความมั่นคง กับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า “จุดยืนมรดกโลกเมื่อปราสาทเป็นของเขาก็คงต้องให้เขาขึ้น เพราะมันไม่ใช่ของของเรา”
*****
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ “ปราสาทเขาพระวิหาร” ระหว่างไทย-กัมพูชา ข้อเท็จจริง เป็นอย่างไร
ความคืบหน้าปราสาทเขาพระวิหาร ตอนนี้เราต้องเตรียมการที่เรื่องจะต้องเข้าสู่กระบวนการ ที่ศาลโลกกำหนดว่าจะนั่งบัลลังก์รับฟังการชี้แจงด้วยวาจาครั้งสุดท้าย ระหว่างวันที่ 15-19 เม.ย.นี้ ซึ่งจริงๆแล้วนัยยะถ้าคนเข้าใจองค์รวมร่วมกัน มันไม่ได้เกิดคำพิพากษาอะไรใหม่ แต่เป็นเรื่องของการตีความแล้วนำมาอธิบายให้กระจ่างแจ้งขึ้นเท่านั้น ฉะนั้นคำพิพากษาเมื่อปี 2505 กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ ก็คือนัยยะเดียวกัน ตรงนี้ไม่ว่าผลจะเกิดขึ้นอย่างไร มันก็คือผลเฉกเช่นเดียวกันกับเมื่อปี 2505 ซึ่งถ้าเปรียบเทียบทางคณิตศาสตร์ คือเมื่อปี 2505 เมื่อ x+y ถามว่าเท่ากับเท่าไหร่ ศาลก็ตอบว่าเท่ากับ 1+1 และต่อมาเมื่อถึงตอนนี้ทุกคนก็ยังสงสัยอีก 50 ปีผ่านไป ก็ถามคำถามเดิม คำตอบก็ยังคือ1+1แต่ถ้าเกิดเพิ่มเติมขึ้นมาก็จะกลายเป็น 1+1=2 แต่ที่เท่ากับ2 มันก็คือ เท่ากับ 2 เมื่อปี 2505 เพียงแต่ไม่ได้พูดถึงเท่านั้น พูดเพียงแค่ 1+1
ดังนั้นถ้าผลเกิดขึ้นอย่างไรก็คือสิ่งที่ดำรงคงอยู่ ซึ่งคำพิพากษาครั้งที่แล้วข้อเท็จจริงปรากฏไว้อยู่แล้ว และทั้งไทยและกัมพูชาก็ยอมรับแล้วอยู่แล้วว่าคำพิพากษาคืออะไร และได้ปฏิบัติกันมาอย่างต่อเนื่องตามคำพิพากษา นั่นก็แสดงถึงการยอมรับ ฉะนั้นหมายความข้อข้อเท็จจริงเกิดการยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว ไทยจึงนำไปสู่การต่อสู้ว่าจะยื่นอีกทำไม ในเมื่อความหมายมีความเข้าใจตรงกันแล้ว
ทางออกที่ไทยได้คาดการณ์ไว้เป็นอย่างไร
ตอนนี้เราต้องเข้าใจก่อนว่าเป็นผู้พิพากษาชุดใหม่ ชุดนี้ก็จะมาอธิบายความมากขึ้น เราจึงเกิดข้อกังวลมากขึ้นตรงนี้ตามที่กัมพูชายื่นไว้ จะส่งผลให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนขึ้นมาหรือไม่ แต่จริงๆ ในหลักของการปฏิบัติเนื่องจากเราเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เราต้องเคารพผลคำพิพากษาไม่ว่าผลออกมาอย่างไร เราต้องเคารพตามนั้น และเชื่อว่าการที่เราเคารพการตัดสินของศาลโลก ไม่น่าจะทำให้เกิดปัญหา เพราะว่าการที่เราเคารพแสดงให้เห็นว่าการเป็นสมาชิกยูเอ็นของไทย มีเกียรติภูมิ เข้าใจ และยอมรับกลไกของศาลโลกซึ่งเป็นกลไกอำนวยความยุติธรรมสากล
ถ้าผลที่ออกมาในทิศทางที่เป็นผลเสียต่อประเทศไทยเช่น ศาลตัดสินตามคำร้องของกัมพูชาเสนอให้ยึดตามแผนที่ 1:200,000 ทางไทยเตรียมแผนรับมืออย่างไร
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจให้ประชาชนยอมรับผลของศาล เพราะผลนี้คือผลเช่นเดียวกับเมื่อปี 2505 แต่ครั้งนี้จะทำให้ทุกอย่างเกิดความกระจ่างขึ้น และถามว่าเราจะไปทำอะไร หรือการที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาเสนอว่าอย่าไปรับคำตัดสินของศาล ซึ่งตรงนี้ในนัยยะสามารถพูดได้ แต่อีกประเด็นหนึ่งในส่วนของสหประชาชาติการเกี่ยวข้องกับอธิปไตยเราสามารถที่จะไม่ยินยอมพร้อมใจอะไรได้ แต่ในความเป็นจริงในกฎบัตรเดียวกันแต่คนละข้อของสหประชาชาติ ได้ระบุเอาไว้ว่าไม่ได้ ถ้าคุณเป็นสมาชิกของสหประชาชาติคุณต้องรับฟังและเคารพคำสั่งศาล แต่ถ้าคุณไม่เคารพ เกิดเบี้ยวขึ้นมาก็จะเป็นเรื่องของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติจะกำหนดมาตรการขึ้นมา
ดังนั้นจะเห็นว่าการทำความเข้าใจในประเทศเสมือนหนึ่งจะยาก เพราะถ้าบอกว่าความเป็นอารยประเทศ เกียรติภูมิของประเทศ เมื่อเราอยู่ในสังคมเป็นสมาชิกของสหประชาชาติแล้วเราต้องเคารพคำพิพากษา เพราะขณะเดียวกันในอนาคตเราอาจจะมีโอกาสเจอกับเหตุการณ์แบบนี้กับประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆอีก เราก็ต้องร้องศาลโลกเช่นกัน ดังนั้นถ้าตอนนี้เราไม่เคารพ หากอนาคตประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเราจะเอากลไกไหนไปต่อสู้ ยกเว้นเสียแต่ว่าประกาศสงคราม แต่ถ้ากรณีที่ชายแดนไม่ติดกันแล้วเราจะทำอย่างไร ดังนั้นเราต้องทำให้เป็นบรรทัดฐานไว้ ฉะนั้นเมื่อไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติ จึงต้องยึดแบบของการเคารพ เพราะนั่นคือความยุติธรรม และความยุติธรรมจะเป็นคำตอบ สุดท้ายความยุติธรรมจะนำไปสู่สันติสุข
กองทัพได้แนะนำแนวทางอะไรไว้หรือไม่ หากผลการตัดสินออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
หลักการของกองทัพไม่ได้มีอะไรที่ยุ่งยาก เพียงแค่กองทัพยึดหลักทีว่า ผู้มีอำนาจสั่งการเขาคือใคร? นั่นก็คือรัฐบาล เมื่อรัฐบาลตกลงใจและรับผิดชอบอย่างไร กองทัพก็พร้อมที่จะทำอย่างนั้น เพราะรัฐบาลเป็นผู้มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นผู้บังคับบัญชากองทัพตามกฎหมาย เป็นผู้กำหนดกฎหมายเมื่อรัฐบาลเป็นผู้บังคับบัญชากองทัพก็จะทำตาม ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ผู้บัญชาการทหารบกได้บอกว่าคนที่สื่อสารจะพูดอย่างไรก็ตาม เราต้องดูว่าคนไหนเป็นผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมาย
เราได้เตรียมหาแนวทางการหารือเพื่อสร้างบรรยากาศอันดีร่วมกันระหว่างไทย-กัมพูชาหรือไม่ หากผลการตัดสินออกมาเป็นผลดี โดยเฉพาะเรื่องการปักปันเขตแดน
เรื่องของการสร้างบรรยากาศที่ดีเราทำอยู่ตลอด โดยเฉพาะเรื่องของการปักปันเขตแดนเราได้ทำกันอยู่อย่างต่อเนื่องในทุกๆจุดชายแดน ไม่ว่าจะเป็นลาวหรือพม่าด้วยก็ตาม และขณะนี้ก็ทำไปเยอะแล้วส่วนพื้นที่ใดที่ยังเป็นปัญหาเราก็เว้นไว้ก่อน
เมื่อกองทัพเป็นฝ่ายปฏิบัติ และรัฐบาลเป็นฝ่ายนโยบาย การทำงานประสานงานกัน มีอุปสรรคหรือไม่
ผมยืนยันได้ว่าไม่อุปสรรค ทุกอย่างราบรื่น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดี เพราะถ้าไม่ราบรื่นจะเป็นปัญหา เพราะความราบรื่นนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงการคาบเกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศด้วย คือหมายความว่า รัฐบาลของไทยและรัฐบาลกัมพูชา สามารถที่จะสื่อสารกันได้ และสถานการณ์กองทัพตอนนี้สามารถที่จะสื่อสารกันได้ดี ไม่ตั้งการ์ดใส่กัน เราจะเห็นว่าเมื่อครั้งที่ผ่านมาที่มีการตั้งการ์ดใส่กันเพราะสาเหตุมาจากระดับฝ่ายนโยบายไม่ราบรื่น
การทำงานระหว่าง สมช.กับกองทัพ ที่ราบรื่น เป็นเพราะสาเหตุหนึ่งมาจากความสัมพันธ์กันใน เตรียมทหารรุ่น 14 ที่ค่อนข้างมีบทบาทในกองทัพด้วยหรือไม่
ส่วนนี้ถือว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการลงตัวได้ ถือว่าทำให้พูดคุยกันได้ง่าย เช่น ผมเป็นเลขาสมช. ที่มาจากเตรียมทหารรุ่น 14 (ตท.14) มีเพื่อนร่วมรุ่น อาทิ พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 เสนาธิการทหารบก และ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกลาโหม กระทรวงกลาโหม คนใกล้ชิด พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เมื่อเชื่อมโยงเช่นนี้ การสื่อสารข้อมูลตกผลึกได้เร็ว เข้าใจตรงกัน จึงเป็นเรื่องง่ายต่อการทำงาน
ในส่วนของภาคปฏิบัติตามแนวชายแดนกดดันหรือมีปัญหาอย่างไร
การปฏิบัติขณะนี้ในส่วนของกองกำลังพลที่อยู่ชายแดนนั้น ตามข้อตกลงคือต้องถอนทหารออกมาทั้งสองฝ่าย เพียงแต่ตรงนี้ได้ทำไปในระดับหนึ่งแต่ยังคงค้างอยู่บางส่วน เนื่องจากพื้นที่ยังไม่ปลอดภัยยังมีทุ่นระเบิดสมัยเขมรแดงที่วางไว้ ขณะนี้จึงเป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายต้องจัดชุดไปเคลียร์พื้นที่กู้ทุ่นระเบิด เมื่อพื้นที่เคลียร์แล้วก็เข้าสู่กระบวนการถอนทหาร ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งชั่วคราวของศาลโลก
ประเมินพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ในด้านความมั่นคงไว้อย่างไร
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ได้เกิดการเผชิญหน้า ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ เราเฝ้าพื้นที่ประเทศไทย กัมพูชาก็เฝ้าพื้นที่เขาไม่มีการเผชิญหน้าว่าใครจะดำเนินกลยุทธ์อะไร แต่ถ้าพูดถึงความพร้อมไทยเราพร้อม100เปอร์เซ็นต์ กัมพูชาเองก็พร้อม 100เปอร์เซ็นต์
วิเคราะห์อย่างไรกับสัญญาณที่ทางกัมพูชาลดโทษให้ นาย วีระ สมความคิด และ ปล่อยตัว น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์
เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่า บรรยากาศทางฝ่ายการเมืองของทั้งสองฝ่ายดี เพราะถ้าไม่ดีเรื่องแบบนี้คงยังไม่เกิด จริงๆแล้วเขาไม่จำเป็นต้องฟังเรา เขาสามารถที่จะปล่อยไปตามวิถีทางที่กฎหมายบังคับไว้อยู่แล้ว แต่การที่จะทำตรงนี้ให้เราที่มีให้ผ่อนปรน และพระราชทานอภัยโทษได้ แสดงให้เห็นว่ากฎหมายของเขายังสามารถให้มีช่องออกได้ แต่ก็ต้องเป็นกระบวนการที่ฝ่ายบริหารนำเสนอไป
จุดยืนมรดกโลกของไทยเป็นอย่างไร
จุดยืนมรดกโลกเมื่อปราสาทเป็นของเขาก็คงต้องให้เขาขึ้น เพราะมันไม่ใช่ของของเรา เพราะตอนนั้นที่เขาขึ้นมรดกโลกจะเห็นได้ว่าไม่ได้เกี่ยวกับพื้นที่ แต่เกี่ยวที่ตัวปราสาท พื้นที่ที่ยังอึมครึมหรือยังสงสัยกันอยู่นี้ ก็ต้องมาพัฒนาร่วมกันอยู่ดี เพราะเราจะปฏิเสธไม่ได้เพราะเรากำลังจะเดินเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ดังนั้นจึงต้องสมประโยชน์ร่วมกัน เพราะถ้ายังมีพื้นที่ขัดแย้งอยู่จะมาเข้ากันทำไม อย่างล่าสุดที่ได้เดินทางไปประเทศมาเลเซีย เพื่อหารือแก้ไขปัญหาชายแดนใต้นั้น ที่เราได้รับความร่วมมือและการตอบรับเป็นอย่างดี เพราะทุกประเทศไม่อยากให้มีเขตพื้นที่ของความขัดแย้ง
วางยุทธศาสตร์เชิงรุก-รับ ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศไว้อย่างไร
ผมขอย้ำว่า ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญที่คำตอบออกมาตรงกันคือ การทำความเข้าใจตามข้อเท็จจริงเท่านั้น เราต้องเคารพ เพราะเราเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ซึ่งคำว่าเกียรติภูมิของชาติ คืออยู่ที่การเคารพกติกาสากลซึ่งกันและกัน
การที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ออกมาคัดค้าน คำตัดสินศาลโลก เสมือนเป็นเรื่องของศึกภายใน การรับมืออย่างไร
หากกลุ่ม พธม.ออกมาเราต้องสู้กันด้วยเหตุผล แต่การออกมาของกลุ่ม พธม. ถือว่าเป็นสิทธิของประชาชนที่มีสิทธิ และสิทธิในการแสดงออก แต่เราจะต้องอธิบายความว่าสิ่งที่เขาคิด เขาจินตภาพเกินขอบเขต แต่ถ้าการออกแสดงออกเรียกร้องจนเกินขอบเขตเราจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการทางกฎหมายแน่นอน โดยเราจะยอมในระดับหนึ่งของการดำเนินการที่คุณใช้สิทธิ แต่สิทธิของคุณจะต้องไม่กระทบคนส่วนใหญ่
ภาพรวมนโยบายของรัฐบาลเน้นในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อเราเกิดความขัดแย้งกับทางกัมพูชา สมช.วางยุทธศาสตร์ไว้อย่างไรให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล
ยุทธศาสตร์หลักคือการสร้างความสัมพันธ์ และการที่เราจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนทำให้ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง กับเรื่องการเมือง เราจะเทน้ำหนักไปที่ การสร้างความเข้าใจ คือต้องให้ทุกประเทศที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนเรียนรู้ ทำความเข้าใจในวัฒนธรรม ประเพณีในรากของแต่ละประเทศ ว่าคนแต่ละประเทศมีพื้นฐานที่ต่างกัน ดังนั้นทุกแต่ละประเทศจึงมีภาระในการสร้างความเข้าใจคนในชาติ ว่าการที่เราอยู่ด้วยกันจะต้องปฏิบัติอย่างไร ฉะนั้นเราจะต้องเน้นยุทธศาสตร์สร้างความเข้าใจ
ปัญหาที่เกิดขึ้น กับยุทธศาสตร์ที่ในระดับนโยบายที่วางไว้ มีวิธีการปฏิบัติอย่างไรทุกอย่างสอดคล้องและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม
ในทางปฏิบัติต้องกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการที่ต้องให้ความรู้ เพราะต่อไปในอนาคตสถาบันการศึกษาจะต้องมีการให้ความรู้ ในเรื่องประชาคมอาเซียน
เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างเพื่อนบ้าน จะใช้พหุภาคี หรือทวิภาคี ในแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดผลดีต่อประเทศ
ต้องใช้ทั้งพหุภาคีและทวิภาคีร่วมกัน เพราะองค์รวมทวิภาคี คือเรื่องระหว่างไทยและกัมพูชา เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรื่องของชายแดน แต่นัยยะของพหุภาคี คืออุปสงค์ร่วมกันของประชาคมอาเซียนที่อยากเห็นประเทศที่เป็นประชาคมอาเซียนไม่ควรมีพื้นที่ของความขัดแย้งทั้งในกลุ่มของทวิภาคี และพหุภาคี ทุกประเทศต้องเคารพอธิปไตยและเกียรติภูมิ แต่ให้ข้อสังเกตว่าถ้าตรงไหนเป็นปัญหา ทำให้เกิดอธิปไตยขอให้ใช้ในหลักของการเจรจาร่วมกัน ทำความเข้าใจและพัฒนาร่วมกัน
ขณะนี้ประเทศไทยถูกมองว่าเป็นจุดศูนย์กลางของประชาคมอาเซียนโดยเฉพาะกัมพูชาและพม่า รวมถึงจุดศูนย์กลางของมหาอำนาจทั้งจีนและสหรัฐอเมริกา ได้วางยุทธศาสตร์ความมั่นของประเทศไว้อย่างไร
คำว่าจุดศูนย์กลาง คือทุกๆ คน ทุกๆ ประเทศสำคัญและเป็นจุดศูนย์กลางเหมือนกัน มีความสำคัญเท่ากัน เราจะต้องมองในภาพของประชาคม เราจะไม่มองว่าใครเป็นจุดศูนย์กลาง ในศักดิ์ศรีทุกคนเท่าเทียมกัน เพียงแต่เราต้องร่วมมือผนึกกำลังกัน เพราะความสัมพันธ์ ความแข็งแกร่งของอาเซียนที่ต้องไปสู้กับมหาอำนาจ จะต้องเป็นในลักษณะของการรวมกำลัง ซึ่งสัมพันธ์ในส่วนของพหุภาคี เพื่อที่จะต้องไปในทางเดียวกันให้เกิดความสมดุลกัน ส่วนทวิภาคี คือการตกลงแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่าให้ปัญหาลาม ตอนนี้ยืนยันว่าทุกประเทศเห็นตรงกัน ซึ่งแต่ละประเทศกำลังกลับไปพัฒนาตัวเองให้เป็นไปในแนวทางที่วางไว้เท่านั้นเอง
-ภา่พประกอบจากเว็บไซต์ นสพ.โพสต์ทูเดย์
