เปิดผลสอบคดีไร่ส้ม สรยุทธเมินชี้แจง กมธ.จี้ยุติบทบาทสื่อ
*หมายเหตุ
สรุปจาก รายงานสรุปผลการพิจารณาศึกษามาตรฐานคุณธรรมและจริยธรรมของสื่อมวลชน โดยศึกษาจากกรณี บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ถูกชี้มูลความผิดอาญาฐานร่วมกันยักยอกเงินโฆษณาที่ได้รับเกินกว่าสัญญาที่ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ทำไว้กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทำให้ บมจ.อสมท ได้รับความเสียหาย

ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ภายใต้การทำงานของ คณะทำงานเพื่อจัดทำรายงานสรุปผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ เรื่อง การทุจริตเงินค่าโฆษณาของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งคณะทำงานคณะนี้ประกอบด้วย
๑.นายวัชระ เพชรทอง
๒.นายธนิก มาสีพิทักษ์
๓.นายรุจิระ บุนนาค
๔.นายรุจชรินทร์ ทองใหญ่
๕.นายไพศาล พุ่มมะเดื่อ
๖.นางสาวชิดชนก ภูรินันท์
คณะทำงานฯ รายงานผลกระบวนการพิจารณาว่า
๑.การพิจารณาศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน ได้มีการประชุมจำนวน ๒ ครั้ง
- ครั้งที่ ๑ วันพุธที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ โดยเชิญ หน่วยงานมาร่วมประชุมและชี้แจงแสดงความเห็น ประกอบด้วย
๑) ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
๒) ผู้แทนบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
๓) ผู้แทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
๔) ผุ้แทนสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓
- ครั้งที่ ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เวลา ๑๓.๓๐ น.
ผลการพิจารณา นำเสนอเป็น ๓ บทดังนี้
ความเป็นมา
สืบเนื่องมาจาก คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ ให้ส่งเรื่องไปยังพนักงานอัยการเพื่อสั่งฟ้องและดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญา โดยไม่เรียกเก็บเงินค่าโฆษณาจำนวน ๑๓๘,๗๙๐,๐๐๐ บาท เรื่องดังกล่าวได้หยิบยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในวงสังคม อันอาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของสื่อมวลขน ทั้งตัวผู้ถูกกล่าวหาเองและผู้ปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนโดยภาพรวม
คณะอนุกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน จึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณาเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งได้เชิญ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน และหากนายสรยุทธ สุทัศนะจินดามั่นใจและคิดว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ก็ควรเข้ามาชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างต่อสังคม เพราะนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นสื่อมวลชนที่มีชื่อเสียง และได้เคยสัมภาษณ์และตั้งประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมของผู้อื่นเป็นแบบอย่างให้กับสังคม
ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ได้รับจากการพิจารณาศึกษา
ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการในประเด็นดังกล่าวได้พิจารณาศึกษาเรื่องที่เกิดขึ้น โดยการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการจำนวน ๒ ครั้ง ได้แก่ การประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯครั้งที่ ๑ วันพุธที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒ วันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งจากการพิจารณาศึกษาทำให้ได้รับทราบข้อมูลและข้อเท็จจริงโดยสรุปจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
ในวันพุธที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ นายธนชัย วงศ์ทองศรี รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ผู้แทนบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลการทุจริตเงินค่าโฆษณาระหว่างบริษัท ไร่ส้ม จำกัด กับ บมจ. อสมท ว่า ฝ่ายบริหาร บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบโฆษณาย้อนหลังพบว่าตั้งแต่กลางปี ๒๕๔๘ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีการโฆษณาเกินเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา คิดเป็นเงินค่าโฆษณาเกินกว่าสัญญา จำนวน ๑๒๐ ล้านบาท จึงได้ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จแล้ว ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ชาติ เพื่อดำเนินการสอบสวนต่อ ก่อนที่จะมีการแจ้งความดำเนินคดีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และนายสรยุทธ ได้นำเงินจำนวน ๑๓๘ ล้านบาทเศษ ไปชำระให้กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) แล้ว
นางอรวรรณ ชูดี รักษาการประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่าเหตุทุจริตเงินค่าโฆษณาระหว่าง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่งประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) นางอรวรรณ ชูดี เคยเป็นผู้สื่อข่าวการเมืองสายทำเนียบเช่นเดียวกับนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มาก่อน ในขณะนั้น นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ เป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีข้อมูลจากสื่อภายนอกว่ามีการทุจริตเงินค่าโฆษณา จึงได้มีการตรวจสอบพบว่ามีการโฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด จริง จึงทำการปลดรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ออกจากผังรายการ ต่อมาประมาณปี ๒๕๔๙-๒๕๕๒ นางอรวรรณ ชูดี รับตำแหน่งประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ตรวจสอบการโฆษณาต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นอีกในอนาคต และมีการแจ้งความในทางอาญาเอาผิดกับผู้เกี่ยวข้อง
สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓
นายอัชฌา สุวรรณปากแพรก รองกรรมการผู้จัดการสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ ให้ข้อมูลว่า มาตรฐานคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชนไม่มีการกำหนดเป็นเอกสาร แต่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง ๓ มีจารีตประเพณีอยู่ร่วมกันแบบครอบครัว กรณีการทุจริตเงินค่าโฆษณาของ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด นั้น มีที่มาจากช่อง ๙ อสมท แต่ช่อง ๓ อยู่ปลายน้ำ ส่วนจะผิดหรือไม่นั้น ต้องให้นาย สรยุทธ สุทัศนะจินดา พิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม การปฏิบัติตนตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนนั้น นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ทราบดีว่าควรทำอย่างไร นอกจากนี้ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้มีการฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้คืนเงินจากกรณีทุจริตเงินค่าโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ส่วนหนึ่งแต่ยังไม่มีการตัดสินคดี
คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
นายวชิร สงบพันธ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ข้อมูลพร้อมกับส่งเอกสารผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามเอกสาร เรื่องข่าวสารประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ ความว่า เรื่องกล่าวหา นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด (นางนชาภา บุญโต) เจ้าหน้าที่ธุรการระดับ ๕ สำนักกลยุทธ์การตลาด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กับพวก กรณีช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โฆษณาเกินเวลาที่กำหนดในสัญญาด้วยการไม่เรียกเก็บเงินค่าโฆษณาเกินเวลา เป็นจำนวน ๑๓๘,๗๙๐,๐๐๐ บาท และต่อมาได้แก้ไขใบคิวโฆษณาเพื่อช่วยเหลือ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด และกล่าวหานายสรุยุทธ สุทัศนะจินดา นางสาวมณฑา ธีระเดช และ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุน เป็นเหตุให้ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย
การไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีศาสตรจารย์ ภักดี โพธีศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๔๖ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทำสัญญาว่าจ้างนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นพิธีกรรายการวันดำเนินรายการ “ถึงลูกถึงคน” ในอัตราค่าจ้าง ๕,๐๐๐ บาทต่อหนึ่งตอน รายการดังกล่าวได้รับความนิยมสูงจากผู้ชม ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา จัดตั้ง บริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นกรรมการผู้จัดการ นางสาวอังคณา วัฒนมงคลศิลป์ และนางสาวสุกัญญา แซ่ลิ้ม เป็นกรรมการ เข้าทำสัญญาร่วมผลิตรายการกับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
ระหว่างวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๙ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทุกวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา ๑๒.๐๐ นาฬิกา ถึง ๑๓.๐๐ นาฬิกา ครั้งละ ๖๐ นาที รวมเวลาโฆษณา โดย บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ครั้งละ ๕ นาที ถ้าโฆษณาเกินกำหนดเวลา บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต้องชำระค่าโฆษณาส่วนเกินให้ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า ๒๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ยังได้ทำสัญญาร่วมกันผลิตรายการ “คุยคุ้ยข่าว” ออกอากาศทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา ๒๑.๓๐ นาฬิกา ถึง ๒๒.๐๐ นาฬิกา ครั้งละ ๓๐ นาที รวมเวลาโฆษณา บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตกลงแบ่งเวลาโฆษณาให้บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ครั้งละ ๒ นาที ๓๐ วินาที ถ้าโฆษณาเกินกำหนดเวลา บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ต้องชำระค่าโฆษณาส่วนเกินให้ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ในอัตรานาทีละไม่ต่ำกว่า ๒๔๐,๐๐๐ บาท
นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดทำคิวโฆษณาและเป็นผู้รายงานโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บเงินจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัด แต่นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เพื่อเรียกเก็บเงินตั้งแต่วันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๙ จากการไต่สวนพบว่านายสรยุทธ สุทัศนะจินดา สั่งจ่ายเช็คของธนาคารรวม ๖ ฉบับ เป็นเงินจำนวน ๗๓๙,๗๗๐.๕๐ บาท หักภาษี ณ ที่จ่ายให้แก่นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด
เดือนกรกฎาคม๒๕๔๙ นางบุญฑนิก บูลย์สิน รักษาการผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด ๑ สังเกตพบว่า รายการข่าวเที่ยงคืน ออกอากาศล่าช้ากว่ากำหนดจึงได้ทำการตรวจสอบและเรียกนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด มาสอบถาม นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด ยอมรับว่า บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้โฆษณาเกินเวลาและไม่ได้รายงานเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลาจากบริษัท ไร่ส้ม จำกัดจริง โดยนางพิชชาญา เอี่ยมสะอาด ใช้น้ำยาลบคำผิดลบคิวโฆษณาเกินเวลาในส่วนของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในใบคิวโฆษณา ตามคำแนะนำของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และนางสาวมณฑา ธีระเดช ก่อนที่จะมีการตรวจสอบจากฝ่ายบริหารของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
หลังจากมีการตรวจสอบของผู้บริหาร อสมท จำกัด (มหาชน) แล้ว บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ได้ชำระเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๙ และวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นจำนวน ๑๐๒,๙๕๓,๗๑๐ บาท ขอหักลดจำนวน ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ไม่ยินยอม พร้อมกับคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงิน ๑๓๘,๗๙๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๔๘ ถึงวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๔๘ เป็นเงิน ๔,๔๖๔,๑๙๗.๖๗ บาท กับภาษีมูลค่าเพิ่ม จำนวน ๙,๗๑๕,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวน ๑๕๒,๙๖๙,๔๙๗.๖๗ บาท เนื่องจากมีการผิดสัญญา
วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๐ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มอบอำนาจให้นายพลชัย วินิจฉัยกุล ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง กล่าวหา นางพิชชาภา เอี่ยมสอาด และนางสาวอัญญา อู่ไทย ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และกล่าวหานายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นางสาวมณฑา ธีระเดช บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ในข้อหาเป็นผู้สนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำผิด พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนไปให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ยื่นฟ้องบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ต่อศาลปกครองกลาง ตามคดีหมายเลขดำที่ ๑๑๔๑/๒๕๕๑ ให้ชดใช้เงินจำนวน ๒๕๓,๐๒๖,๖๙๑.๑๒ บาท คดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาล
คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า การกระทำของนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด มีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง และมีมูลความผิดทางอาญาตามมาตรา ๖ มาตรา ๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดปกติของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒
การกระทำของนางสาวอัญญา อู่ไทย หัวหน้างานและผู้บังคับบัญชาฝ่ายสนับสนุนและบริการลูกค้า สำนักกลยุทธ์ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) มีมูลความผิดทางวินัยประมาทเลินเล่อในหน้าที่ ส่วนทางอาญาไม่มีมูลความผิด
นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา นางสาวมณฑา ธีระเดช และบริษัท ไร่ส้ม จำกัด มีมูลความผิดทางอาญา ฐานให้การสนับสนุนพนักงานกระทำการตามมาตรา ๖ มาตรา ๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดปกติของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๐๒ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖
ร้อยตำรวจเอก ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติผู้เข้าร่วมประชุม ให้ความเห็นต่อคณะอนุกรรมาธิการเกี่ยวกับการแสดงความรับผิดชอบตามมาตรฐานคุณธรรมจริยธรรมต่อสังคมของผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านสื่อมวลชน ต้องมีมาตรฐานด้านคุณธรรมจริยธรรมก่อนความรับผิดในทางอาญา การแสดงความรับผิดชอบในทางจริยธรรมเป็นคนละเรื่องกับความผิดในทางกฎหมาย
ในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ วันพุธที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่มาให้คำชี้แจงต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ คณะอนุกรรมาธิการฯ จึงมีมติให้นัดประชุมครั้งต่อไปในวันพฤหัสบดีที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา โดยให้เชิญ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มาประชุมอีกครั้งหนึ่ง ถึงวันประชุม นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มีหนังสือถึงคณะอนุกรรมาธิการฯ แจ้งเหตุไม่เข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการฯ โดยแจ้งว่า เรื่องการทุจริตเงินค่าโฆษณากำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นพนักงานอัยการและศาล จึงเป็นการไม่สมควรที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และบริษัท ไร่ส้ม จำกัด จะเปิดรายละเอียดข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีตามกระบวนยุติธรรมที่จะมีขึ้นต่อไป จึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุมกันคณะอนุกรรมาธิการฯ เพื่อให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตเงินค่าโฆษณา
ผลสรุปการพิจารณา
คณะอนุกรรมาธิการฯ มีความเห็นว่า ที่คณะอนุกรรมาธิการฯได้พิจารณาศึกษาเรื่องการทุจริตเงินค่าโฆษณา กรณีของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด กับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ก็เนื่องจากเห็นว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นในหน่วยงานของรัฐ มีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทุจริตทำให้รัฐได้รับความเสียหาย การที่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่มาให้ถ้อยคำ หรือมาชี้แจงต่อคณะอนุกรรมาธิการฯ ตามหนังสือเชิญประชุมของคณะอนุกรรมาธิการ แสดงให้เห็นว่า นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการพิจารณาสอบสวน ศึกษาหาข้อเท็จจริงใด ๆ อันอยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐสภาเพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม ซึ่งในที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้เปิดโอกาสให้ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ชี้แจงหรือเปิดเผยข้อเท็จจริงสำคัญที่ยังไม่ปรากฏแก่สาธารณชน แก้ข้อกล่าวหาของตนเองตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดไว้อย่างเต็มที่ หรือจะสงวนข้อเท็จจริงใด ๆ โดยไม่เป็นที่เสียหายต่อรูปคดีก็สามารถทำได้ เนื่องจากการพิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวมิใช่การพิจารณาคดีในศาล
ประกอบกับข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้มีการเปิดเผยในชั้นไต่สวนของอนุกรรมการของ ป.ป.ช.แล้ว ประชาชนทั่วไปต่างทราบดีถึงการกระทำของบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา จึงมิได้เป็นความลับอันจะพึงต้องปกปิด ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ ดังเช่นที่คณะอนุกรรมาธิการฯได้เปิดโอกาสให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่ายมาชี้แจง เพื่อให้สังคมได้รับรู้และตัดสินใจด้วยการใช้วิจารณญาณในการรับฟังอย่างมีเหตุผล เหมือนดั่งที่ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของข้าราชการและนักการเมืองด้วยการนำเสนอข่าวสารการทุจริตเพื่อประโยชน์ต่อสังคมอย่างจริงจังเสมอมา ด้วยการเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายมาสนทนาและแสดงความคิดเห็นเพื่อแก้ไขปัญหา หาทางออกให้แก่สังคม ซึ่งในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นข้าราชการ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ หรือนักการเมืองที่ถูกชี้มูลความผิดทางอาญาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องโทษทางวินัยให้ออกจากราชการหรือออกจากตำแหน่งทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในขณะถูกชี้มูลความผิดไปก่อนผลคดีอาญาจะถึงที่สุด
แต่ในกรณีของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มิได้เป็นข้าราชการ พนักงานของรัฐ หรือนักการเมือง จึงไม่ต้องรับผิดทางด้านวินัย รวมถึงไม่มีมาตรการใด ๆ ทางกฎหมายที่จะบังคับต่อนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ แต่ในฐานะสื่อที่ประชาชนจำต้องพบเห็นการทำหน้าที่อยู่ทุกวัน จึงควรมีมาตรฐานทางด้านคุณธรรมจริยธรรมสูงกว่าบุคคลในอาชีพอื่น หรือให้เท่าเทียมกับอาชีพข้าราชการหรืออาชีพนักการเมือง นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา จึงควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยุติบทบาทในหน้าที่สื่อมวลชนของตนเองก่อนที่จะมีการดำเนินคดีในศาล อันเป็นมาตรการทางอาญา เพื่อเป็นบรรทัดฐานและเป็นตัวอย่างสื่อมวลชนที่ดีในสายตาของประชาชนต่อไป
ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ
คณะอนุกรรมาธิการฯมีความเห็นว่า จากการที่คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้มติให้คณะอนุกรรมการฯ พิจารณาศึกษามาตรฐานคุณธรรมและจริยธรรมของสื่อมวลชน โดยศึกษาจากกรณีบริษัท ไร่ส้ม จำกัด ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ามีความผิดทางอาญาฐานร่วมกันยักยอกเงินโฆษณาที่ได้รับเกินกว่าสัญญาที่บริษัท ไร่ส้ม จำกัด ทำไว้กับบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ทำให้บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย และได้เชิญนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา เข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการฯ แต่นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการ แสดงให้เห็นว่านายสรยุทธ สุทัศนะจินดาไม่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ เพื่อความโปร่งใสต่อสังคม ด้วยข้ออ้างว่าคดีจะเข้าสู่การพิจารณาของศาล และไม่รับผิดชอบต่อสังคม และหากมองทางด้านคุณธรรมและจริยธรรมของการประกอบวิชาชีพไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลตัดสินก่อนจึงจะพิจารณาได้ จึงต้องแยกกันระหว่างการกระทำความผิดทางอาญา กับคุณธรรมและจริยธรรมออกจากกัน
ข้อเสนอแนะของคณะอนุกรรมาธิการ
คณะอนุกรรมาธิการเห็นควรนำเสนอบทสรุปข้อเท็จจริงนี้กับสภาผู้แทนราษฎรและสังคม เพื่อให้ผู้ประกอบอาชีพในวงการสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะบริษัท ไร่ส้ม จำกัด และนายสรยุทธ สุทัศนะจินดาเข้าใจถึงคุณธรรมและจริยธรรม เพราะสื่อมวลชนเป็นบุคคลสาธารณะต้องมีบรรทัดฐานตามบรรษัทภิบาล
