คมนาคมทุ่มงบกว่า 3,000 ล้านบาทปรับปรุง 6 สนามบินรับอาเซียน
กรุงเทพฯ 25 ม.ค. - พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ หัวข้อ “การเตรียมความพร้อมด้านการขนส่งทางอากาศเพื่อรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน” พร้อมกล่าวว่า การขนส่งทางอากาศครอบคลุมถึงการขนส่งทั้งสินค้าและผู้โดยสารซึ่งก่อนที่จะเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จำเป็นต้องปรับปรุงกฎระเบียบการเดินอากาศต่าง ๆ ให้สอดคล้องและเป็นมาตรฐานเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ ของอาเซียน เพื่อให้การเชื่อมต่อการเดินทางทางอากาศเป็นไปอย่างราบรื่น
ขณะที่นายวรเดช หาญประเสริฐ อธิบดีกรมการบินพลเรือน กล่าวว่า กรมการบินพลเรือนเตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท ในการสร้างและพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาค 6 แห่ง เพื่อรับการเชื่อมต่อการเดินทางกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ประกอบด้วย การก่อสร้างท่าอากาศยานเบตง จังหวัดยะลา เพื่อเปิดพื้นที่เชื่อมต่อการเดินทางของคนในจังหวัดชายแดนใต้ ใช้งบประมาณประมาณ 1,000 ล้านบาท คาดดำเนินการเสร็จภายในปี 2558 ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาทในการขยายรันเวย์ และสร้างอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ คาดใช้เวลาปรับปรุงภายใน 3 ปี ท่าอากาศยานนครราชสีมา ใช้งบประมาณ 400 ล้านบาท ขยายรันเวย์เป็น 2,500 เมตร เพื่อให้สามารถรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ได้ ท่าอากาศยานอุบลราชธานี ใช้งบประมาณ 300 ล้านบาท ปรับปรุงลานจอด ทางขับเพิ่มความสามารถในการรองรับผู้โดยสาร และเครื่องบินขนาดใหญ่ เช่น โบอิ้ง 747 ท่าอากาศยานอุดรธานี ใช้งบประมาณ 270 ล้านบาท ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารภายใน 2 ปี และท่าอากาศยานนราธิวาส ขณะนี้พร้อมใช้งานโดยไม่ต้องปรับปรุง
สำหรับการพัฒนาท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางของคนในอาเซียน ขณะเดียวกันเสนอว่าการพัฒนาท่าอากาศยานเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการเป็นศูนย์กลางขนส่งทางอากาศของเออีซี ดังนั้น การจะดึงสายการบินให้เข้ามาใช้บริการท่าอากาศยานต่าง ๆ ของไทย จำเป็นต้องเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับสายการบินเพื่อจูงใจ พร้อมปรับระบบการบริการภายในท่าอากาศยานให้ผู้โดยสารใช้เวลาการเข้า-ออกไม่เกิน 1 ชั่วโมง จากปัจจุบันใช้เวลานานเกือบ 3 ชั่วโมง
อธิบดีกรมการบินพลเรือน กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาปรับกฎระเบียบการเปิดเสรีการบินกับประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน ว่า ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการเจรจาแบบพหุภาคีกับอีก 9 ประเทศในอาเซียน ซึ่งคาดว่าทุกประเทศจะสามารถให้สัตยาบรรณการเปิดเสรีขนส่งทางอากาศอาเซียน โดยไม่จำกัดจุดบิน ไม่จำกัดจำนวนเที่ยวบิน และความถี่เที่ยวบินได้ก่อนเปิดเออีซี ปี 2558 แม้ว่าขณะนี้ยังมีอีก 3 ประเทศ ที่ยังมีปัญหาเรื่องมาตรฐานทางการบิน เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และลาว แต่ทั้งหมดก็กำลังพยายามแก้ไขปัญหา คาดว่าจะทันภายในปี 2558
สำหรับสถานการณ์ขอจดทะเบียนธุรกิจการบินในปัจจุบัน พบว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจสายการบินรายใหม่ ยื่นเรื่องขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจการบินมายังกรมการบินพลเรือนมากกว่า 10 สายการบินและยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้กรมการบินพลเรือนได้อนุมัติใบอนุญาตไปแล้ว 5 สายการบิน ส่วนใหญ่เป็นสายการบินเช่าเหมาลำ เช่น สายการบิน ยู-แอร์ไลน์ และสายการบินไทยรีจีนัลแอร์ไลน์ ฯลฯ และอยู่ระหว่าง การพิจารณาเสนอขออนุมัติใบอนุญาตอีก 5 สายการบิน และอยู่ระหว่างการพิจารณาคุณสมบัติของสายการบินอีกนับ 10 สายการบิน ซึ่งการอนุมัติใบอนุญาตประกอบกิจการการบินจะเพิ่มความเข้มงวดในเรื่องคุณสมบัติของสายการบินและมาตรการคุ้มครองผู้โดยสารมากขึ้นหลังจากที่ผ่านมาเกิดปัญหากับผู้โดยสารบ่อยครั้ง
ทั้งนี้ กรมฯ ได้ออกมาตรการชั่วคราวมาแล้ว 3 มาตรการหลัก ประกอบด้วย สายการบินเช่าเหมาลำ จะต้องวางเงินค้ำประกันที่กรมการบินพลเรือนในอัตราที่เท่ากับค่าใช้จ่ายของจำนวนผู้โดยสาร เพื่อรองรับหากเกิดเหตุฉุกเฉินในการให้บริการของสายการบิน สายการบินเช่าเหมาลำ จะต้องมีเครื่องบินให้บริการมากกว่า 1 ลำ หากมีเพียงลำเดียวจะต้องเป็นการให้บริการแบบ Round Trip และแต่ละสายการบินจะต้องมีบริษัทพันธมิตร เพื่อช่วยเหลือผู้โดยสารกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินกับการบริการของสายการบิน จะต้องมีเครื่องบินสำรองของบริษัทพันธมิตรเข้าให้การสนับสนุนได้ทันท่วงที และไม่กระทบต่อการใช้บริการของผู้โดยสาร ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังจากได้รับความเห็นชอบจากรัฐมตรีว่าการกระทรวงคมนาคมแล้ว
ด้านนายเจริญ วังอนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว มองว่า การวางมาตรการคุ้มครองผู้โดยสารจากเที่ยวบินต่าง ๆ เป็นไปอย่างล่าช้า ทั้งที่เป็นสิ่งที่หน่วยงานกำกับดูแลสายการบินจำเป็นต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยว ซึ่งทางสมาคมฯ ไม่ต้องการเห็นปัญหาของสายการบินที่ส่งผลกระทบกับผู้โดยสารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะจะเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นในการเดินทางของนักท่องเที่ยว โดยเสนอให้กรมการบินพลเรือนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้กฎระเบียบการขอจดทะเบียนและใบอนุญาตประกอบกิจการการบินให้มีความรัดกุมมากขึ้น และเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้โดยสารให้ครอบคลุม พร้อมทั้งมองว่าการเกิดขึ้นของสายการบินใหม่ ๆ ที่มีเป็นจำนวนมากในปีนี้ น่าจะทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยมากกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 5-7
