นาทีชีวิตบนนกแอร์..กับการยกเครื่องการช่วยฉุกเฉินบนเครื่องบิน

หมายเหตุ-บทความนี้มีการนำไปเผยแพร่อย่างกว้างในสื่อสังคมออนไลน์
วันนี้ขณะผมกำลังกลับจาก กทม.ขึ้นเครื่องนกแอร์มีเรื่องฉุกเฉินได้ช่วย CPR(ปฏิบัติการเพื่อช่วยชีวิตคนที่หัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจกระทันหัน เป็นการช่วยโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือแพทย์) คนไข้ รายหนึ่ง เป็นคนไข้ชายอายุประมาณ 70 ปี เพิ่งมีคนแนะนำให้รู้จักตอนรอขึ้นเครื่องทราบว่า เป็นนักธุรกิจ เป็นอดีต ส.ส.อุบลราชธานีด้วย บ้านอยู่เดชอุดม พูดคุยกันดี สนุกสนาน ท่าทางแกแข็งแรงดูดีตามสไตล์นักธรุกิจ คนมีตังค์ ไม่มีท่าทีว่าเจ็บป่วย
พอขึ้นเครื่องแกนั่งแนวหน้าสุดชั้นธุรกิจ ผมเดินผ่านแกก็ยิ้มยกมือทักทาย หน้าตายิ้มแย้ม
ไม่น่าเชื่อครับอีกประมาณ 3 นาทีหลังจากผมนั่งเข้าที่และใส่เข็มขัดนิรภัยเสร็จ(เครื่องยังไม่บินขึ้น)ก็ได้ยินเสียงพนักงานบนเครื่องประกาศว่า ใครเป็นหมอบ้างช่วยแสดงตัวด้วยเนื่องจากมีผู้ป่วย นพ.เรืองศิลป์ เถื่อนาดี ผอ.สปสช.เขต 10, นพ.พิสิษฐ์ ผอ.รพ.บุณฑริกและผมแสดงตัวและเข้าถึงคนไข้อย่างรวดเร็ว
แต่เนื่องจากสถานที่คับแคบมาก จึงช่วยเหลือลำบาก คนไข้ไม่หายใจและไม่มีชีพจร พี่เรืองศิลป์เข้าถึงก่อน พี่แกใจถึงมากเป่าปากเลย หมอพิศิษฐ์ช่วยปั๊มรอเครื่องมือ จากด้านท้ายเครื่องบิน พนักงานวิ่งนำมาส่งให้ ผมค้นหาได้ amboo bag(เครื่องช่วยหายใจแบบมือ) แล้วก็บีบ ambooแทนการเป่าปากของพี่เรืองศิลป์ แต่ทางเครื่องบินไม่ค่อยได้ใช้เครื่องมือ เข้าใจว่าไม่เคยซ้อม กว่าจะหาอะไรได้ก็ช้ามาก -เสีย
บนเครื่องไม่มีท่อช่วยหายใจ ต้องบีบ ambooอยู่นาน แต่ก็ต่อออกซิเจนไม่ได้เพราะไม่มี jiont(ข้อต่อ) ต้องตัดสายออกซิเจนแล้วเอามาจ่อที่ก้น ambooซึ่งออกซิเจนก็คงจะเข้ายาก ระหว่างนั้นก็ให้เขาตามรถพยาบาลของสนามบินมา ปั๊มไปเรื่อยๆ สลับกับการปั๊ม พี่หัวหน้ากลุ่มการพยาบาล รพ.ห้าสิบพรรษามาช่วยเปิดเส้นแบบทุลักทุเล แล้วให้อดรีนาลินได้ 1 Amp ดูเหมือนคนไข้เริ่มตอบสนอง มีการพยายามจะหายใจไปพักๆ ตัวเริ่มอุ่น คลำชีพจรได้ 70 ครั้งต่อนาที จับออกซิเจน Sat(การไหลเวียน) ได้ 85% แต่วัด BP(ความดันโลหิต) ไม่ได้
คิดว่าพอมีความหวัง เราก็ช่วยอย่างเต็มที่ต่อเปลี่ยนกันปั๊ม ผ่านไปกว่า 7 นาทีรถกู้ชีพขอสนามบินมาถึง โชคดีมีเบลดใส่ท่อช่วยหายใจมาด้วย แต่โชคร้ายเบลดไม่สว่างมีแสงไฟพอริบหรี่ มองไม่เห็น cord เลย ผมเป็นพยายามใส่ท่อช่วยหายใจคนแรก เนื่องจากพื้นที่มันแคบมาก ต้องนอนราบกับพื้นเนื่องจากคนไข้นอนราบอยู่กับพื้น ใส่ได้แต่ไม่เข้าปอด เข้าท้อง เปลียนให้หมอพิศิษฐ์ ก็เข้าท้อง เพราะไฟในเบลดหมดแล้วมองไม่เห็นเลย หมอพิศิษฐ์พยายามใส่ทางจมูกก็ไม่เข้าปอด เข้าแต่ท้อง
ตอนนี้เริ่มคลำชีพจรไม่ได้อีก จึงตัดสินใจเคลื่อนคนไข้ไปขึ้นรถพยาบาล โดยหน่วยกู้ชีพของสนามบินนำเปลขึ้นไปรับแต่เนื่องจากสถานที่คับแคบมากทำอะไรก็ยากแค่สอดเปลเข้าใต้ตัวคนไข้ไม่ได้ ต้องช่วยกันยกและหามคนไข้ออกจากเครื่องมายังทางเดินเข้าเครื่องจึงสามารถใส่เปลได้ แต่กระนั้นก็ยังเคลื่อนผู้ป่วยลงจากเครื่องเพื่อไปขึ้นรถยากเนื่องจากบันไดลงแคบมาก
ผมบีบ amboo ไปส่งขึ้นรถแล้วปล่อยให้ทีมกู้ชีพ ดูแลต่อ ได้แต่ภาวนาเอาใจช่วยขอให้แกถึง รพ.โดยเร็วและดีขึ้น
ก่อนกลับเข้าเครื่องลูกชายของคนไข้วิ่งกลับมาขอบคุณ ซึ่งเราก็พึ่งรู้ทีหลังว่ามีญาติมาด้วย และบอกว่าแกเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว เราก็คาดกันว่า น่าจะเกิด Acute MI(โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด-Acute myocardial infarction) แล้วเกิด Cardiac arrythmia(หัวใจเต้นผิดปกติ) แล้วก็ arrest(หัวใจหยุดเต้นกระทันหัน) แบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลย
ความรู้สึกตอนนั้นอยากให้แกปลอดภัยมากๆ เพราะเพิ่งจะรู้จักแก แกคุยสนุกและเพิ่งรู้ว่าแกเป็นคนหนึ่งที่เคยช่วยสร้างและพัฒนา รพ.เดชอุดม แต่ดูจากรูปแการณ์แล้วก็คงจะรอดยาก ทีมแพทย์ที่ช่วยแกก็ปลอบกันว่า เราทำดีที่สุดแล้ว เพราะพื้นที่จำกัดและเครื่องมือไม่พร้อม หลังจากส่งแกขึ้นรถพยาบาลแล้วก็กลับมาขึ้นเครื่อง พอนั่งประจำที่พึ่งรู้ตัวเองว่าเหนื่อยมาก ใจเต้นแรง และหลับตาไม่ลงเลย ปกติขึ้นเครื่องทีไรหลับทุกที ครั้งนี้หลับตาไม่ลงเลย
พนักงานบนเครื่องและผู้โดยสารท่านอื่นก็มาขอบคุณกันใหญ่และปลอบใจว่าคุณหมอช่วยกันดูแลแกอย่างเต็มที่แล้ว ได้เท่าที่ได้ ต่อมาเมื่อเครื่องถึงอุบลฯได้ติดต่อกลับไปที่ลูกชายแก ทราบว่า เสียชีวิตแน่นอนแล้ว ก็น่าเสียดายจริงๆ เพิ่งเจอแกครั้งแรก ไม่นึกว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย คนเราบทจะตายก็ตายง่ายจัง
เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่เรืองศิลป์มากๆเลย สมกับเป็นผู้นำระดับสูงของ สปสช.เพราะแกมองหาอะไรก็ไม่มี แกก้มบีบจมูกและเป่าปากทันทีเลย เยี่ยมมากๆเลย ขอบคุณคุณหมอพิศษฐ์และหัวหน้ากลุ่มการ รพ.ห้าสิบพรรษาด้วยที่เข้าช่วยอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อยเลย
มีบทเรียนเรื่องเครื่องช่วยชีวิตฉุกเฉินบนเครื่องบิน
1. มีแต่ไม่ครบและไม่พร้อม ขาดท่อช่วยหายใจ ไม่มีออกซิเจนต่อกับแอมบู ไม่มีชุดเปิดเส้น (ชุดเปิดเส้นที่เปิดในครั้งนี้มาจากรถกู้ชีพของสนามบิน) ซึ่งควรจะมีบนเครื่องบิน เพราะถ้าเครื่องขึ้นไปบินอยู่กลางอากาศและบินไปไกลแล้ว กว่าจะเอาเครื่องลงได้คงไม่ทันการ หากมีอุปกรณ์พร้อมก็คงพอช่วยคนไข้ได้
2. รถกู้ชีพควรพร้อมกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องเบลดต้องตรวจสอบไฟและความสว่างทุกวัน ซึ่งเหมือนที่ ร.พ.เลย เวลาจะใช้ หน้าสิ่วหน้าขวานไม่ไม่ติด ถึงติดก็ไม่สว่าง เป็นแบบนี้ประจำ ใครอยู่ ร.พ.คงรู้ดี เวลาซ้อมสว่างดีจจัง แต่เวลาเอาจริงแย่ทุกที ผมผ่านมา 3 รพ.แล้วเหมือนกัน
3. เครื่องบินทุกลำควรมีสถานที่ที่จะ resuscitate คนไข้ มีเครื่องมือ CPR ที่พร้อมอยู่เสมอ ควรมีการซ้อมอยู่เป็นเนืองนิจ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวของพนักงาน ควรมีออกซิเจนที่พร้อมต่อกับแอมบูแบกหรือท่อช่วยหายใจได้ ที่สำคัญต้องมีท่อช่วยหายใจในชุดของเครื่องบิน
4. ผู้ป่วยเองคงต้องดูแลตัวเอง และเตรียมพร้อมเรื่องยาฉุกเฉิน เมื่อมีอาการอาจใช่ช่วยตัวเองได้
