สลัดเครื่องแบบ“สู้คดีพระวิหาร” ใครเป็นใครใน ”ทีมทหารไทย”

สัญญาณ “แพ้” หรือ “ชนะ” ในคดีที่กัมพูชาร้องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาปี พ.ศ.2505 มีผลอย่างยิ่งต่อความสั่นไหวทางการเมืองและความมั่นคงของประเทศ ถึงขนาดที่คนในพรรคเพื่อไทย ประเมินว่าอาจจะมีการนำไปเป็นเงื่อนไขของการก่อม็อบชาตินิยมล้มรัฐบาลได้
เครือข่ายคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน ที่กำลังเคลื่อนไหวหนักในกรณีดังกล่าว โดยใช้แนวคิดสุดโต่งในการปฏิเสธต่อศาล โลก อ้างข้อมูลเดิมที่ไทยได้ถอนตัวจากภาคีศาลโลกเมื่อปี 2505 พร้อมระบุถึงตัวอย่างของหลายประเทศที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามศาลโลก ได้ถูกปลุกขึ้นมาเพื่อกดดันให้รัฐบาลและกองทัพเผชิญหน้ากับกัมพูชา เพราะมั่นใจว่าขณะนี้กัมพูชากำลังได้เปรียบไทย จึงไม่จำเป็นต้องถอนคดีตามการร้องของรัฐบาลไทยที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
รัฐบาลเองก็คงไม่อยากถูกตราหน้าว่ามาเสียดินแดนในยุคตนเอง จึงต้องสู้ในประเด็นดังกล่าวอย่างถึงที่สุด โดยมีการปัดฝุ่นคณะดำเนินคดีเขาพระวิหารของไทยขึ้นมาใหม่ โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมในวันที่ 25 ก.พ.นี้ โดยมี “ทูตแสบ” นายวีรชัย พลาศรัย ทูตพิเศษประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เป็นหัวหน้าคณะ
ในขณะที่องค์ประกอบของคณะทำงาน เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.ทสส. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผบ.ทร. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ตัวแทนสำนักงานอัยการสูงสุด ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เข้าร่วมหารือแนวทางการทำงานในเรื่องคดีปราสาทพระวิหาร ที่ทำเนียบรัฐบาล
ทั้งนี้ คณะทนายยังมีกำหนดการเดินทางไปหารือกับทีมทนายต่างชาติที่ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 6-12 ม.ค.ที่ผ่านมาที่ประเทศอังกฤษ โดยมี นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯและ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะผู้พิพากษาเก่า และเป็นนักกฎหมายซึ่งรัฐบาลมอบหมายให้ดูแลเรื่องนี้เดินทางไปด้วย
โดยส่วนที่รัฐบาลกังวลคือความกดดันจากกลุ่มม็อบที่พุ่งเป้าไปที่กองทัพให้แอ็คชั่นถ่วงดุลกับรัฐบาลที่ถูกมองว่าอาจจะมีผลประโยชน์ในเรื่องการค้า การลงทุน และพลังงาน เข้ามาเกี่ยวข้อง
จึงไม่แปลกที่ทุกฝ่ายจะโฟกัสไปที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และ “บิ๊กเจี้ยบ” พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.ทสส. เพราะมาตรการชั่วคราวออกมาหลังจากเกิดเหตุสู้รบใน 2 พื้นที่ คือพื้นที่เขาพระวิหาร ห้วงวันที่ 4-6 ก.พ.2554 และพื้นที่ปราสาทตาเมือน-ตาควาย ห้วงวันที่ 22 เม.ย.-3 พ.ค.2554 จึงเกี่ยวพันกับทหารโดยตรง
ทำให้คำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ทั้ง 3 ข้อประกอบด้วย 1.ให้ทั้งสองประเทศออกมาตรการชั่วคราวเพื่อให้ทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่ปลอดทหารโดยรอบปราสาทพระวิหาร เพื่อต้องการให้เกิดสันติภาพและน่าจะครอบคลุมพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.
2.ไม่ให้ไทยขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงตัวปราสาทพระวิหาร หรือไม่ให้ไทยขัดขวางการส่งเสบียงไปให้บุคคลของฝ่ายกัมพูชาที่มิได้เป็นเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ ศาลยังเห็นว่าไทยและกัมพูชาควรจะดำเนินการร่วมกันภายในขอบเขตของอาเซียนต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใน การอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยอาเซียนได้เดินทาง เข้าไปในเขตปลอดทหารตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลกำหนดขึ้น
3.และให้ทั้ง 2 ฝั่งแจ้งผลการปฏิบัติตามคำสั่งต่อศาล และศาลจะยังพิจารณาเรื่องการตีความคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี พ.ศ.2505 ต่อไป
ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ย้ำระหว่างให้สัมภาษณ์ว่า มาตรการคุ้มครองชั่วคราวมีผลกระทบกับทหาร โดยมาตรการดังกล่าวเกิดจากการละเมิดข้อ 5 ของ MOU 2543 ที่ระบุว่าพื้นใดที่มีปัญหาในสองประเทศนั้น ต้องอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยไม่มีการดัดแปลงก่อสร้าง เมื่อมีฝ่ายใดละเมิดก็มีการประท้วงที่ผ่านมาประท้วงกันไปหลายสิบครั้งแล้วก็รบกัน ซึ่ง MOUฉบับนี้ไม่ได้เป็นการยอมรับเส้นเขตแดน
“ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการอยู่ เมื่อจบเรื่องคำพิพากษาศาลโลกเราก็ได้คิดและได้วางแผนร่วมกัน ประเด็นสำคัญคือเราอยากให้มีการพูดคุยกันสองประเทศแบบทวิภาคีมากกว่า ที่มาบอกว่าเราไปยอมรับ ความจริงเราไม่ได้ยอมรับ มาตราส่วนตามแผนที่ต่างคนต่างก็ถือไป สำคัญคือจะอยู่ร่วมกันอย่างไร และถ้าจะอยู่กันก็ต้องไม่ละเมิดกติกา ขณะนี้มี 2 ส่วนคือ รอคำพิพากษาของศาลโลก และการปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวที่ออกมา เพราะมีการปะทะกันระหว่างวันที่ 2-4 เม.ย.2554 ซึ่งรบกันแรงพอสมควร เพราะฉะนั้น ถ้าหลีกเลี่ยงการรบกันได้ก็ดี แต่ทหารพร้อมอยู่แล้วทุกเรื่อง แต่ท้ายสุดถ้าจะรบกัน จะบานปลายหรือเปล่า อันนี้เป็นเรื่องที่พวกเราต้องตัดสินใจกัน เพราะเราพร้อมรบทุกอย่าง ถ้าตัดสินใจว่ารบก็คือรบ แต่ผมว่ามีกติกาอยู่ ต้องรอให้ชัดเจนก่อน” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ
ในขณะที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ ซึ่งรัฐบาลเองก็จับตามองเป็นอย่างมาก เพราะฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า ฝ่ายทหารของไทยเตะถ่วงเรื่องการถอนทหาร โดยการดำเนินการของคณะทำงานปฏิบัติตามมติศาลโลก หรือ Joint Working Group (JWG) ไม่คืบเท่าที่ควร
จากการหารือกัน ระหว่าง พล.อ.เนียงพาด รมช.กลาโหมของกัมพูชาเป็นประธาน กับฝ่ายไทยมี “พล.อ.เผด็จการ จันทร์เสวก” เสนาธิการทหาร เป็นประธาน โดยเข้ามารับช่วงต่อจาก พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เสนาธิการทหารคนก่อน โดยสลับเปลี่ยนให้ ตชด. เข้าไปประจำการแทนทหาร พร้อมทั้งจัดชุดเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจและเก็บกู้วัตถุระเบิด ทั้งนี้ครั้งล่าสุดในการประชุมที่กรุงเทพ ได้ข้อสรุปที่จะสำรวจจุด A B C D หรือเขตปลอดทหาร
สำหรับ พล.อ.เผด็จการ ถือว่าเป็นเพื่อน ตท.12 ที่เป็นนายทหารรบพิเศษ เติบโตมาจากกรมรบพิเศษที่ 2 ทำงานสายอำนวยการเสียเป็นส่วนใหญ่ เคยย้ายมาเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ผบ.ทบ. จากนั้นไปติดยศนายพลในตำแหน่ง ผอ.สำนักนโยบายและแผน กองบัญชาการกองทัพไทย ก่อนจะเติบโตขึ้นมาตามลำดับชั้น เคยดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) จนมาดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย
กระนั้น ในระดับคณะทำงานที่ไปต่อสู้ที่ศาลโลก นอกจากนายวีรชัยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ส่วนที่เกี่ยวโยงกับพื้นที่จริงและผู้เชี่ยวชาญด้านแผนที่ก็ได้เดินทางไปด้วย โดยทำงานในลักษณะของที่ปรึกษาที่กระทรวงการต่างประเทศขอตัวไป
เริ่มตั้งแต่ “บิ๊กโซ่” พ.อ.ชนาวุธ บุตรกินรี นายทหารรุ่น ตท.23 ผอ.กองยุทธการ กรมยุทธการทหารบก อดีตผู้ช่วยทูตทหารไทยประจำกรุงพนมเปญ นายทหารรบพิเศษ เคยทำงานภาคสนามในพื้นที่ชายแดนด้าน จ.สุรินทร์ เลยไปถึง จ.จันทบุรีและ จ.ตราด
“ผู้การฯเบิ้ม” พ.อ.สรชัช สุทธิสนธิ์ นายทหารรุ่น ตท.22 ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 16 ซึ่งอยู่ในพื้นที่และอยู่ในสมรภูมิเขาพระวิหาร และเป็นนายทหารที่เคยบรรยายให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับทราบภูมิประเทศ และสถานการณ์ปะทะที่เกิดขึ้น
“ผอ.เชน” พ.อ.ชาคร บุญภักดี อดีตรอง ผอ.กองเขตแดนระหว่างประเทศ กรมแผนที่ทหาร ทำงานด้านปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง แต่ปัจจุบัน พ.อ.สาครถูย้ายไปกองอื่น ทางกรมแผนที่ทหาร จึงต้องเปลี่ยนคนเข้าร่วมทีม ตามตำแหน่ง
ไม่นับรวม “บิ๊กต็อก” พล.ท.ธารไชยันต์ ศรีสุวรรณ นายทหารรุ่น ตท.17 เจ้ากรมยุทธการทหาร อดีตฝ่ายเสนาธิการทหารของ ผบ.ทสส. รวมถึง “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.นิพัทธ ทองเล็ก นายทหารรุ่น ตท.14 รองปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เคยเข้าร่วมกับคณะกรรมการมรดกโลกฝ่ายไทยฯ และ ร่วมไปกับคณะทำงานต่อสู้ศาลโลกครั้งแรกเมื่อเดือน ก.ค. 2555 ซึ่งขณะนี้มาทำงานให้กับ พล.อ.อ.สุกำพล
กองหนุนที่เป็นทหารฝ่ายไทย แม้จะไม่ได้ออกหน้า หรือ ได้รับการอ้างถึง แต่ก็เป็น “แบ็คอัพ” สำคัญให้ทีมทนายได้รับข้อมูล และคำอธิบายจากสภาพพื้นที่ให้เกิดความชัดเจนขึ้น
เพราะบางทีสงครามก็ไม่ได้จบที่สนามรบเสมอไป ไม่เช่นนั้นทหารก็คงไม่สลัดเครื่องแบบ นั่งห้องประชุม หารือกันเพื่อหาทางออกร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาหนทางออกอย่างดีที่สุดซึ่งยังไม่มีใครฟันธง ได้ว่า ผลสรุปจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือไม่
เพราะการลากรถถัง-ปืนใหญ่ มาโรมรันพันตูกันไม่ยากนักสำหรับกองทัพไทยที่มีแสนยานุภาพและมีการเตรียมความพร้อมพอตัว และถึงรบกันก็ใช่ว่าทุกอย่างจะยุติ ในที่สุดองค์การสหประชาชาติ (UN) ก็จะเข้ามากำกับบทละครโลก และคดีก็ต้องไปอยู่ที่ศาลโลกอยู่ดี !!!
