ส่องเส้นทาง R3A หลอดเลือดการค้าไทย-จีน หรือระเบิดเวลา “เกษตรกรรมไทย” !?

(จุดผ่อนปรนการค้าชายแดน ไทย-ลาว บ้านห้วยลึก อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย ซึ่งใช้เป็นจุดขนถ่ายสินค้าระหว่างกัน)
ช่วงหน้าหนาวแบบนี้หลายคนคงออกเดินทางพักผ่อนเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับชีวิต
โครงการสื่อสุขภาวะชุมชนชายขอบจัดกิจกรรมดีๆ เพื่อศึกษาเรียนรู้วิถีชีวิตทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านกิจกรรมโครงการธรรมยาตราเพื่อแม่น้ำโขง (ครั้งที่ 2) ระหว่างวันที่ 18 -26 ม.ค.2556 (9 วัน 8 คืน) รวมระยะทาง 110 กิโลเมตร
โดยคณะธรรมยาตราได้เดินเท้าจากสามเหลี่ยมทองคำถึง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย เพื่อแสดงมุติตาและความกตัญญูต่อแม่น้ำโขงอันเป็นสายน้ำขนาดใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความยาว 4,909 กิโลเมตร ซึ่งไหลจากแผ่นดินธิเบตหลังคาโลกสู่ทะเลจีนใต้ ผ่านจีน-ยูนนาน พม่า ลาว ไทย กัมพูชาและเวียดนาม
แต่ในวันนี้กำลังผจญกับการพัฒนาที่รุกคืบเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งการท่องเที่ยว การค้าชายแดน หรือแม้แต่โครงการก่อสร้างเขื่อนขวางกั้นแม่น้ำโขงขนาดใหญ่ในเขตแดน สปป.ลาว อาทิ เขื่อนไซยะบุรี เป็นต้น
ด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำอันเป็นสายเลือดหล่อเลี้ยงประชากรทั้งไทย ลาว กัมพูชา และ เวียดนามตอนล่างมาช้านาน มีพื้นที่ชุ่มน้ำโดยรวมถึง 795,000 ตารางกิโลเมตร มีความหลากหลายของชนิดพันธุ์ปลาเป็นอันดับ 3 ของโลก
ด้วยความยาวและความหลากหลายของภูมินิเวศที่แตกต่างกันของแม่น้ำโขง ทำให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ของพันธุ์พืชพันธุ์ปลาและสัตว์ ซึ่งหล่อเลี้ยงผู้คนกว่า 100 กลุ่มชาติพันธุ์ ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคน ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติก่อเกิดความสัมพันธ์ของคนกับธรรมชาติที่พึ่งพิงอาศัยกันมาหลายพันปี จนเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอันทรงคุณค่ามากมาย
มาวันนี้วิถีดั้งเดิมในเรื่องการประกอบอาชีพเกษตรกรรมรวมถึงประมงน้ำจืดกำลังเลือนหายไปจากพื้นที่แห่งนี้
เมื่อระดับน้ำในแม่น้ำโขงเกิดการเปลี่ยนแปลง อันเป็นผลจากทางการจีนก่อสร้างเขื่อนขนาดมหึมาหลายเขื่อนบนสายน้ำในอาณาเขตจีน รวมถึงการระเบิดแก่งกลางแม่น้ำโขงเพื่อการเดินเรือสินค้าจากคุณหมิง ผ่านสิบสองปันนา ลาว เข้าทาง อ.เชียงแสน ต่อลงมา อ.เชียงของ และ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย
โดยเฉพาะโครงการส่งเสริมเกษตรเชิงเดี่ยวโดยรัฐบาลจีนซึ่งได้สัมปทานเช่าพื้นที่กว่า 90 ปีในดินแดนลาวเพื่อปลูกกล้วย มันสำปะหลัง ยางพารา ฯลฯ ได้นำพาความเปลี่ยนแปลงมาสู่ดินแดนแถบนี้อย่างมากมาย

( "เบยลาว" เบียร์ดังของลาวถูกลำเลียงข้ามแดนโดยทางเรือ ราคาฝั่งลาวตกกระป๋องละประมาณ 20 บาท แต่เมื่อส่งตรงถึงกรุงเทพฯ ราคากระป๋องละเกือบ 40 บาท)
สำหรับประเทศไทย ดูเหมือนรัฐบาลและทุนใหญ่ระดับชาติหลายเจ้า กำลังตื่นตาตื่นใจกับตลาดการค้าขายกับจีนเป็นพิเศษ ด้วยหวังเก็บเกี่ยวจำนวนประชากรมหาศาลนับพันล้านคนของจีนเป็นฐานผู้บริโภค แต่อย่าลืมว่า จีนเป็นประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกถึงขนาดเป็นคู่ปรับทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย และอีกหลายๆ ประเทศ ด้วยต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าทั้งวัตถุดิบ แรงงาน และการสนับสนุนทุนจากรัฐบาล
หากหวังจะล้วงเงินจากกระเป๋าจีนคงไม่ใช่เรื่องง่าย…
ในราวเดือน มิ.ย.2556 สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ซึ่งข้ามจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ของ สปป.ลาว จะเสร็จสิ้น และมีถนน R3A เชื่อมต่อไปจนถึงประเทศจีนตอนใต้ ยังไม่รวมมติ ครม.ที่อนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อจีน
ประกอบกับก่อนหน้านี้ อ.เชียงแสนของไทยได้กลายเป็นเมืองท่าของการขนส่งสินค้าจากจีน ในขณะที่เมืองต้นผึ้งของ สปป.ลาวซึ่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามก็มีการพัฒนารุดหน้าไปมาก เพราะทางการจีนเข้ามาสนับสนุนนักลงทุนโดยตรง ด้วยการให้เงินกู้รวมถึงทุนให้เปล่าในธุรกิจหลายประเภท เพื่อการรุกคืบอย่างรวดเร็วและได้ผล
ซึ่งต่างจากรัฐบาลไทยโดยเฉพาะสถาบันทางการเงินในประเทศเราซึ่งมีระเบียบขั้นตอนค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยากต่อการขยับขยายการลงทุนโดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรายย่อย

(เรือนักท่องเที่ยวล่องแม่น้ำโขงมีให้เห็นตลอดลำน้ำ)
จะเห็นได้ว่าทั้ง “เมืองเชียงของ” และ “เมืองเชียงแสน” ได้กลายเป็นเมืองหน้าด่านด้านเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันหากมองในมิติด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ทั้ง 2 เมืองต่างเป็นดินแดนเมืองโบราณ ปัจจุบันย่านนี้ยังเต็มไปด้วยหลักฐานเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์และมีแหล่งโบราณคดี
ขณะนี้วิถีชีวิตของประชาชนในเมืองเชียงแสนได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะประเด็นด้านเศรษฐกิจได้เป็นตัวนำในการพัฒนา ทำให้มีหลายปัญหาตามมา โดยเฉพาะการห่างจากรากเหง้าดั้งเดิม ดังนั้นเชียงแสนจึงกลายเป็นบทเรียนหนึ่งของเมืองเชียงของที่กำลังตกอยู่ในคิวถัดไป เมื่อเปิดการคมนาคมในเส้นทาง R3A เต็มรูปแบบ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่สะพานแห่งใหม่จะเกิดขึ้นนี้ ทางภาคประชาชนและฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้มีการหารือกันเพื่อกำหนดทิศทางของเมืองเชียงของให้เป็นไปในลักษณะ “1 เมือง 2 ระบบ” นั่นคือเศรษฐกิจและประวัติศาสตร์-วิถีวัฒนธรรม ที่สืบต่อกันมา ควรพัฒนาควบคู่กันไป เพราะนั่นคือทางรอดจากการกลืนกินของทุนเพียงทางเดียว
นักธุรกิจชายแดนคนหนึ่งซึ่งเป็นคนเก่าแก่ในพื้นและทำการค้าขายกับลาวและจีนมานาน เล่าว่า วันนี้เมืองต้นผึ้งการค้าคึกคักขึ้นมาก ทั้งธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมที่พัก ยกตัวอย่าง นักธุรกิจตระกูลเหว่ยของจีนได้สร้างอภิมหาโปรเจ็คส์แหล่งบันเทิง ตั้งแต่บ่อนไปยันสนามกอล์ฟอย่างคึกคักมีเม็ดเงินหมุนเวียนจำนวนมหาศาล
“รวมถึงสินค้าเกษตรจากจีนได้ทะลักลงมายังประเทศไทยอย่างน่าเป็นห่วงทั้งหอมแขก กระเทียมจีน และพืชผักทั้งเมืองร้อนเมืองหนาวสารพัดชนิด เพราะจีนมีศักยภาพในการเพาะปลูกที่รุดหน้าใช้เวลาปลูกน้อย ได้ขนาดและจำนวนมาก ที่สำคัญคือราคาถูกกว่าพืชผักของไทยมาก เชื่อไหมว่าผักจีนปลูกในมุ้งอย่างดีเป็นพันๆ ไร่โดยรัฐบาลจีนออกเงินทำมุ้งให้ ผักบางอย่างเกษตรกรไทยใช้เวลาปลูก 2-3 เดือนตั้งแต่การเตรียมดินกว่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตขายได้ แต่จีนทำทั้งกระบวนการโดยใช้เวลาเพียง 21 วัน
“ดังนั้น การเช่าที่ดินของจีนในลาวหรือการส่งสินค้ามาจากจีนโดยตรง ได้นำเอาทั้งเมล็ดพันธุ์ซึ่งอาจปนเปื้อนจีเอ็มโอ เทคโนโลยี ระบบการเพาะปลูกทั้งหมดมาใช้ โดยยอมเสียเงินจ้างคนงานลาวดูแลในอัตราค่าจ้างรายวันคิดเป็นเงินไทยวันละ 150-200 บาท ซึ่งราคาที่น่าพอใจสำหรับคนลาว โดยเฉพาะรัฐบาลจีนยอมสมทบเงินลงทุนให้นักลงทุนจีนสูงถึงร้อยละ 30 ในบางธุรกิจเลยทีเดียว”

(สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ซึ่งข้ามจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปยังเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ของสปป.ลาวที่กำลังละแล้วเสร็จ)
ดังนั้นหากเปิดการคมนาคมกับจีนเต็มรูปแบบในหลายเส้นทาง ประกอบกับการเปิดเสรีอาเซียนที่ทยอยเปิดไปบ้างแล้วแต่จะมีผลสมบูรณ์ในปี 2558
หากไทยไม่สร้างกำแพงกฎหมายหรือภูมิคุ้มกันภาคเกษตรกรรมไทย ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นย่อมมีแนวโน้มที่รุนแรง โดยเฉพาะพืชผักอาจถึงขั้นสูญพันธุ์ เกษตรกรอาจต้องเปลี่ยนอาชีพ
แม้ชะตากรรมของสินค้าเกษตรประจำชาติอย่าง ข้าวก็น่าห่วง และหากคิดจะส่งสินค้าเกษตรไทยไปขายที่จีนก็เหมือนฝันลมๆ แล้งๆ หากศึกษาให้ดีจะพบว่า “เมืองคุณหมิง” ซึ่งเป็นประตูสู่แผ่นดินใหญ่นั้น ถูกรัฐบาลจีนกำหนดเป็นยุทธศาสตร์เมืองกระจายสินค้าจีนสารพัดชนิดลงสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแม้จีนจะไม่ได้เป็นประเทศในกลุ่มอาเซียน แต่ก็สามารถส่งสินค้าผ่านสมาชิกอาเซียนได้
ดังนั้น เป้าหมายของจีนจึงข้ามประตูด่านเชียงแสนและเชียงของไปไกลแล้ว มิหนำซ้ำอาจมองข้ามไทยไปท่าเทียบเรือน้ำลึกทวายของพม่าแล้วข้ามไปตะวันออกกลางแล้วก็ได้
โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจีน ตามยุทธศาสตร์ของรัฐบาลจีนที่ผลักดันให้คุณหมิงเป็นเมืองหน้าด่าน รับและกระจายสินค้า อย่าลืมว่า คุณหมิงเป็นเมืองในปกครองของมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นมลฑลหลักของจีนตอนใต้ ที่เป็นแหล่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมถึงเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่สำคัญของจีน
ไม่เพียงเท่านั้นยังถูกใช้เป็นแหล่งรวมสินค้าเกษตรจากภูมิภาคต่างๆ ของจีนเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลียอีกด้วย

(ประมงน้ำจืดแม่น้ำโขง กับการขนถ่ายสินค้าระหว่างกันด้วยเรือข้ามฟากแล้วมีรถบรรทุกมารอรับตลอดแนวชายแดน)
ก่อนหน้านี้ ที่มีการระเบิดแก่งกลางแม่น้ำโขงเพื่อการเดินเรือสินค้าเกษตรจากจีนลงมา ที่สมัยก่อนต้องใช้เวลานาน แต่ทุกวันนี้การเดินเรือจากจีนลดจำนวนเที่ยวลง ผักผลไม้จีนถูกแช่แข็งอย่างดีลำเลียงใส่ตู้คอนเทนเนอร์ออกจากคุณหมิง ผ่านลาวมายัง อ.เชียงแสนใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงเศษเท่านั้น จากนั้นก็ส่งตรงถึงกรุงเทพฯ ตามตลาดค้าส่งสินค้าเกษตร ทั้ง ตลาดไท ตลาดสี่มุ่มเมือง เป็นต้น
พ่อค้าจีนการันตีกับนายหน้าชาวไทย ถึงขนาดบอกว่า นับเวลาตั้งแต่ยกหูโทรสั่ง ไม่เกิน 24 ชั่วโมง ถึงกรุงเทพฯแน่นอน!
ขณะที่พ่อค้าไทยเสียเปรียบอย่างมาก ทุกวันนี้วงในนักธุรกิจชายแดนรู้กันดีว่า หากจะส่งสินค้าไปขายเมืองจีนนั้นไม่ง่ายถ้าไม่ได้เป็นตัวแทนหรือได้รับโควต้าส่งออกจากรัฐบาลไทยโดยตรง
นักธุรกิจรายย่อยหลายคนจำเป็นต้องใช้วิธีซิกแซ็กเพื่อความอยู่รอด เช่น ไปลงทุนเปิดหน้าร้านที่ลาวเพื่อนำสินค้าไปย้อมเป็นสินค้าลาว ไม่ว่าจะเป็นพืชผลการเกษตรและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ภาษาคนในวงการค้ายนิยมพูดกันว่า “ส่งไปนุ่งผ้าซิ่นที่ลาวก่อนแล้วค่อยส่งไปจีน” เพราะจะได้รับความสะดวกมากกว่า ทั้งระบบภาษี การขนส่ง
เนื่องจากจีนได้ตั้งกำแพงป้องกันสินค้าทะลักจากตอนล่างไว้ค่อนข้างเข้มงวด
สมมุติหากนักธุรกิจตัวเล็กๆ ของไทยอยากจะส่งมังคุดไปปักกิ่งทางรถขนสินค้า ก็ต้องลำเลียงผ่านหลายมณฑลของจีนซึ่งล้วนมีกฎหมายเฉพาะของตัวเอง ในอดีตจึงเกิดเหตุสินค้าเน่าเสียก่อนถึงที่หมายอยู่บ่อยครั้ง ครั้นจะขนส่งโดยทางเครื่องบินก็เป็นต้นทุนที่ไม่คุ้มค่า

(วิถีชีวิตประมงลำน้ำโขงที่เหลือน้อยลงจากผลกระทบของกระแสน้ำ)
โดยสรุปโอกาสล้วงเงินจากกระเป๋าคนจีนที่กลุ่มนักธุรกิจรายย่อยชาวไทยเห็นตรงกันคือ การขายศิลปะ วัฒนธรรม การท่องเที่ยวและบริการ เพราะสินค้าอย่างอื่นจีนมีเองหมดแล้วและราคาถูกกว่าไทยด้วยซ้ำ
โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนมีความน่าสนใจเพราะหลายมณฑลทางตอนใต้ของจีนห่างไกลจากทะเลมาก จึงเป็นไปได้ที่คนจีนจำนวนมากจะหลั่งไหลมาเที่ยวประเทศไทย แต่โจทย์คือทำอย่างไรให้มีการจับจ่าย เพราะกลุ่มนักธุรกิจชายแดนเคยทำข้อมูลพบว่านักท่องเที่ยวจีน 1 คนที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยจะใช้จ่ายตกคนละ 50,000 หยวน คิดเป็นเงินไทยแสนกว่าบาทเลยทีเดียว
ส่วนจะคุ้มค่าเมื่อแลกกับสินค้าจีนที่เกลื่อนตลาดไทยอยู่ในตอนนี้ หรือความเสี่ยงภาคเกษตรกรรมไทยแค่ไหน คิดกันเอาเอง
การเปิดการค้ากับจีน ต้องเตรียมการให้รอบคอบ รัฐบาลต้องถือธงนำในการปกป้องประโยชน์ของคนในประเทศ ไม่ให้ประโยชน์ตกอยู่กับคนเพียงไม่กี่กลุ่มที่เป็นนายหน้าคนกลางหรือพวกชักเปอร์เซ็นต์
เพราะประเทศไทยประเทศเดียวเมื่อเทียบกับมหาอำนาจจีน เรามีขนาดเพียงแค่มณฑลเดียวของเขาเท่านั้น ลำพังหวังขี่ตั๊กแตนไปจับช้างแบบนี้ ก็มีแต่หายนะ
|
เส้นทาง R3A คืออะไร? (ที่มาเว็บไซต์สยามอินเทลลิเจ้นท์ - คลิกเพื่อขยาย) เว็บไซต์ www.thai-aec.com ให้ข้อมูลว่า “เส้นทาง R3A” ก็คือถนนที่เชื่อมจากไทย-จีน จาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย (ประเทศไทย) เข้าบ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว (สปป. ลาว) ทะลุสิบสองปันนา เชียงรุ่ง คุนหมิง (ประเทศจีน) โดยรัฐบาลไทยและรัฐบาลจีนออกเงินในการก่อสร้างคนละครึ่ง 812 ล้านบาท ทันทีที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4 ซึ่งเชื่อมระหว่าง อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับบ้านห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว แล้วเสร็จในปี 2556 จะถือว่าเส้นทาง R3A เสร็จสมบูรณ์ โดยสรุปก็คือ เส้นทาง R3A ก็คือถนนขนส่งสินค้าสายสำคัญอีกเส้นหนึ่ง |
