เตือน!กาแฟอ้างสรรพคุณลดน้ำหนัก กินแล้วหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
เยอรมันแพร่ข่าวพบไซบูทามีนในกาแฟแอบอ้างสรรพคุณลดน้ำหนักจากไทย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคชี้เป็นสารต้องห้าม อย. เตือนอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน แนะกินกาแฟเกินวันละ 2 แก้วทำให้ความดันสูง
ศูนย์ทดสอบนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่าประเทศเยอรมันได้เผยแพร่ข่าวการตรวจพบสารต้องห้ามไซบูทามีนในกาแฟลดน้ำหนักจากประเทศไทย ดังนั้นจึงขอเตือนผู้บริโภคระวังกาแฟลดน้ำหนักเนื่องจากอาจทำให้หัวใจหยุดทำงานเฉียบพลัน
ซึ่งจากผลการทดสอบกาแฟลดน้ำหนักที่เผยแพร่ในนิตยสารฉลาดซื้อฉบับ มี.ค.55 รายงานถึงผลการศึกษาเรื่องนี้ว่ากาแฟที่ลดน้ำหนักได้นั้นต้องมีส่วนผสมของยาลดน้ำหนักซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเด็ดขาดในอาหารทุกประเภทดื่มกาแฟลดน้ำหนักคือ“สารไซบูทรามีน” ก่อนหน้านี้เป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วน(หมายถึงคนป่วยจริงๆ) แต่ความรุนแรงของไซบูทรามีนถึงขั้นทำให้หัวใจหยุดทำงาน และการมีผู้นำสารดังกล่าวไปใส่ในอาหารเสริมแล้วอ้างสรรพคุณว่าดื่มแล้วช่วยให้น้ำหนักลดซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ทำให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)ประกาศยกเลิกตำรับยาชนิดนี้ แต่กลับยังมีคนนำมาใส่ในผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าช่วยลดความอ้วนรวมถึงกาแฟด้วย ดังที่ อย.เคยตรวจพบในกาแฟสำเร็จรูปนำเข้าจากจีนยี่ห้อSlimming Coffee Splrultn ปลายปี 54
ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ จึงขอเตือนผู้บริโภคให้หลีกเลี่ยงทั้งการดื่มกาแฟและผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าดื่มแล้วช่วยทำให้น้ำหนักลดทุกชนิด โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่มีเลขมาตรฐานอาหาร อย. เพราะอาจเสี่ยงอันตรายจากไซบูทรามีนโดยไม่รู้ตัว และหากเห็นหรือไม่แน่ใจให้ผู้บริโภคแจ้ง อย.หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ทดสอบนิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
ทั้งนี้ข้อมูลจาก นิตยสารฉลาดซื้อฉลับ มี.ค.55 (บทความ “กาแฟ ลดน้ำหนักได้จริงหรือ!!”) ให้ข้อมูลว่า อย. ระบุชัดเจนว่ากาแฟเป็น "อาหาร" ไม่ใช่ "ยา" จึงไม่มีสรรพคุณลดน้ำหนัก และด้วยเงื่อนไขนี้เองที่ทำให้บรรดาผู้ผลิตกาแฟจูงใจสาวๆที่อยากผอม จะไม่บอกสรรพคุณหรือโฆษณาตรงๆว่าดื่มแล้วผอมหรือช่วยลดน้ำหนัก เพราะจะมีความผิดเข้าข่ายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ผลิตภัณฑ์กาแฟเหล่านี้จึงเลี่ยงไปใช้ภาพสาวๆ หุ่นผอมเพรียวหรือนางแบบหุ่นดีลงโฆษณา รวมทั้งวิธีง่ายๆแต่ได้ผลอย่างการเติมคำว่า “สลิม” (Slim) “เชฟ” (Shape) “เฟิร์ม” (frim) ต่อท้ายชื่อสินค้า เป็นเป็นเทคนิคโฆษณากาแฟลดน้ำหนัก
โดยส่วนประกอบหลักของกาแฟ(ที่ทำให้เข้าใจว่ามีผลต่อการควบคุมน้ำหนัก) ประกอบด้วยครีมเทียม 60%–70% และกาแฟอีกกว่า 10 % ส่วนพวกสารอาหารต่างๆที่เติมเข้ามาหวังเป็นจุดขายเรื่องสุขภาพ เช่น แอล-คาร์เนทีน คอลลาเจน หรือสารสกัดจากธรรมชาติต่างๆก็มีอยู่อีกแค่ไม่กี่% ซึ่งเมื่อดูจากส่วนประกอบแล้วเป็นไปไม่ได้เลยว่าดื่มแล้วจะมีผลในการลดน้ำหนัก
เมื่อลองเปรียบเทียบส่วนประกอบของกาแฟที่ทำให้เข้าใจว่ามีผลต่อการควบคุมน้ำหนักดื่มแล้วไม่อ้วน กับกาแฟผงพร้อมชงทั่วไป จะพบความจริงว่าปริมาณสารอาหารแทบไม่มีความแตกต่างกัน จุดเด่นของกาแฟที่ทำให้เข้าใจว่ามีผลต่อการควบคุมน้ำหนักคือเรื่องของพลังงาน ซึ่งในกาแฟทั่วไปอย่างกาแฟผงพร้อมชงสูตร 3 in 1 หนึ่งซองจะให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี ขณะที่กาแฟที่ทำให้เข้าใจว่ามีผลต่อการควบคุมน้ำหนักจะให้พลังงานเฉลี่ยต่อหนึ่งซองอยู่ที่ 60–70 กิโลแคลอรี ซึ่งถือว่าแตกต่างกันไม่มาก
และเพราะความที่เป็นกาแฟที่(แอบ)โฆษณาว่าดื่มแล้วดีต่อสุขภาพดื่มแล้วไม่อ้วน กาแฟเหล่านี้จึงหลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาล แต่จะใช้สารให้ความหวานชนิดอื่นๆแทน ซึ่งที่นิยมใช้คือซูคลาโครส และแอสปาร์เทมที่ใช้ร่วมกับอะซีซัลเฟม-เค ข้อดีของสารทดแทนความหวานคือ ให้ความหวานได้เท่ากับหรือมากกว่าน้ำตาลแต่ให้พลังงานน้อยกว่า แต่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป โดยเฉพาะแอสปาร์เทม ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรียซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีผิดปกติทางพันธุกรรมไม่สามารถย่อยฟีนิลอะลานีนได้ เป็นสาเหตุของอาการโลหิตเป็นพิษ อย.จึงออกข้อบังคับให้ทุกผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการใช้แอสปาร์เทมต้องมีคำเตือนห้ามไม่ให้ผู้ที่มีสภาวะฟีนิลคีโตนูเรียรับประทาน
ส่วนสารอาหารต่างๆที่ถูกเติมเข้าไปในกาแฟที่ทำให้เข้าใจว่ามีผลต่อการควบคุมน้ำหนักนั้น ไม่ว่าจะเป็น สารสกัดจากถั่วขาว แอล–คาร์นิทีน โอลิโกฟรุตโตสฯลฯซึ่งถูกอ้างว่าสารเหล่านี้มีส่วนช่วยให้เกิดการเผาผลาญในร่างกายหรือทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั้นไม่เป็นความจริง เพราะการที่เรารู้สึกว่าร่างกายกำลังตื่นตัวหลังจากดื่มกาแฟก็เป็นเพราะคุณสมบัติทั่วไปที่เกิดจากดื่มกาแฟอยู่แล้ว ฤทธิ์ของกาเฟอีนช่วยทำให้เกิดการเผาผลาญในร่างกายจริง แต่ไม่ได้ถึงขนาดที่ทำให้น้ำหนักลดลง เช่นเดียวกับสารต่างๆที่ใส่เพิ่มเข้ามา
ทั้งนีสารประกอบสำคัญในกาแฟคือกาเฟอีน ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆในร่างกาย ทั้งสมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ เราจึงรู้สึกสดชื่น ตื่นตัว แต่ก็มีผลเสียต่อร่างกายถ้าได้รับในปริมาณมากเกินไป ซึ่งโดยปกติแล้วใน 1 วันคนเราควรได้รับกาเฟอีนไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม หรือไม่เกิน 2 แก้ว สำหรับอันตรายที่จะเกิดขึ้นเมื่อได้รับกาเฟอีนมากเกินไปคือสมองและหัวใจถูกกระตุ้นเกินกว่าปกติ จะส่งผลให้เกิดอาการ ปวดศีรษะ ใจเต้นเร็ว ใจสั่น และทำให้ความดันโลหิตสูง .
