สปร.แนะเก็บภาษีนักการเมืองย้อนหลัง มั่นใจปราบทุจริตชะงัด
คณะทำงานเฉพาะประเด็นการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น เสนอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน เทียบข้อมูลเสียภาษี พบผิดปกติ ส่งสรรพากรให้เก็บภาษีย้อนหลัง 10 ปี ชี้มีประสิทธิภาพสูง ทำได้ทันที เพิ่มแก้กฎหมายรองรับ อภิสิทธิ์ ติงระวังถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งกัน

(28 ม.ค.) ที่ห้องประชุมชั้น 3 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีการจัดแถลงข่าวของสำนักงานปฏิรูป (สปร.) ร่วมกับคณะทำงานเฉพาะประเด็นการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น เรื่อง “กฎเหล็กคุมเข้ม ปฏิรูปมาตรฐานผู้ใช้อำนาจรัฐ” โดยได้เสนอ “มาตรการทางภาษี” เป็นอีกหนึ่งมาตรการในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งจะนำเสนอในการประชุมสมัชชาปฏิรูประดับประเทศครั้งที่ 3 ต่อไป
น.พ.พลเดช ปิ่นประทีป ประธานคณะทำงานเฉพาะประเด็นการปฏิรูปเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น และเลขาธิการสถาบันชุนท้องถิ่นพัฒนา กล่าวว่า มาตรการปราบปรามการทุจริตของ 5 มาตรการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อการใช้ปราบปรามอีกต่อไปแล้ว จึงเสนอมาตรการใหม่ คือมาตรการทางภาษี ที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถดำเนินการได้ทันที ทั้งนี้มาตรการทางภาษีมี 3 ระยะดังนี้
มาตรการระยะสั้น ขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกระเบียบ หรือคำสั่ง ให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ตรวจสอบเปรียบเทียบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐกับข้อมูลการเสียภาษีเงินได้ของผู้นั้นว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ หากพบความผิดปกติ ให้ส่งเรื่องให้กรมสรรพากรตรวจสอบ ประเมินภาษี และเปิดเผยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของผู้นั้นต่อสาธารณะย้อนหลังไปเป็นเวลา 10 ปี
โดยตรวจสอบจากทรัพย์สิน หนี้สิน รายรับ รายจ่าย หรือสภาพการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่สอดคล้องกับเงินได้ที่แสดงไว้ต่อกรมสรรพากร รวมทั้งให้ตรวจสอบกรณีใช้ตัวแทนหรือนอมินีถือครองทรัพย์สินและหนี้สินแทนด้วย
มาตรการระยะกลาง ขอให้รัฐบาลหรือรัฐสภา แก้ไขเพิ่มเติมในรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อมารองรับตามมาตรการระยะสั้น
และมาตรการระยะยาว ขอให้รัฐบาลปฏิรูปกระบวนการจัดเก็บภาษี โดยมีรายละเอียดที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ใช้ดุลพินิจส่วนตัว เพราะจะเป็นช่องทางในการทุจริต
นายอนุรักษ์ สง่าอารีกูลย์ ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา กล่าวว่า การตรวจสอบด้วยมาตรการทางภาษีได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงและได้ผลมาก ทั้งมีความเป็นสากลเพราะภาระการพิสูจน์จะตกอยู่แก่ผู้ถูกตรวจสอบ
โดยมีการยกตัวอย่างคดีคอร์รัปชั่นในประเทศและต่างประเทศ ที่เคยใช้มาตรการภาษีปราบปรามสำเร็จมาแล้ว เช่น คดีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ศาลพิพากษาให้ชำระภาษีคืนกรมสรรพากรกว่า 140 ล้านบาท คดีพล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร ต้องคืนภาษีประมาณ 67 ล้านบาท และคดีนายภิญญา ช่วยปลอด ต้องคืนภาษีประมาณ 68 ล้านบาท หรือคดีเจ้าพ่ออัลคาโปนผู้ทรงอิทธิพล
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า หากจะให้น้ำหนักเรื่องตรวจสอบภาษีมากขึ้นก็ต้องระวังเรื่องการเลือกปฏิบัติและกลั่นแกล้งกันด้วย นอกจากนี้ต้องอุดช่องว่างเรื่องค่าใช้จ่ายของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานทางการเมือง ยังมีมหาศาลที่ไม่ถูกตรวจสอบ เช่น ส.ส.บริจาคเงินทำบุญมากผิดปกติ จึงควรมีการกำกับควบคุมส่วนนี้ด้วย
ทั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้านฯยังกล่าวถึงการทุจริตที่เกิดขึ้นหลายครั้งด้วยว่า ไม่ได้นำไปสู่การสะสมความมั่งคั่งของผู้ทุจริต แต่เพื่อเอาทรัพย์สินเหล่านั้นมาใช้จ่าย สร้างบารมี หรือเครือข่ายในทางการเมือง เช่น บางคนทุจริตมา 100 ล้าน แต่เอาไปใช้ซื้อเสียง 90 ล้านบาท เมื่อเอาเงินมาตรวจสอบเทียบเคียง จะเห็นแต่เงินปลายทางที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เห็นเงินที่ไหลเข้าออกระหว่างนั้น
“จากประสบการณ์ส่วนตัว มาตรการในการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินในปัจจุบันที่เข้มงวด ทำให้คนที่สุจริตไม่อยากเข้าสู่การเมือง แต่คนที่ไม่สุจริต จะไม่สะทกสะท้าน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
