กม.ฟอกเงิน-ก่อการร้าย "ดาบสองคม" ในกำมือ ปปง. ???
กลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา รัฐสภาไทยทั้งสภาบนและสภาล่าง ก็ได้ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.สำคัญ 2 ฉบับ ที่อยู่ในความสนใจ ไม่ใช่แค่กับคนไทยโดยเฉพาะนักธุรกิจเท่านั้น แต่กับต่างประเทศก็ให้ความสนใจอย่างมากเช่นกัน
นั่นก็คือ “ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. .…” และ “ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .…”

โดยวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 14 ม.ค.2556 จากนั้นเพียง 3 วัน สภาผู้แทนราษฎรก็ได้ให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับที่วุฒิสภาแก้ไขเนื้อหาเล็กน้อย
ตอนนี้ก็อยู่ระหว่างขั้นตอนการเตรียมบังคับใช้กฎหมายทั้ง 2 ฉบับ โดยคาดว่าน่าจะมีการประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาภายในเดือน ก.พ.นี้
ทั้งนี้ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรผ่านร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 18 ม.ค.2556 สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) โดย “พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์” เลขาธิการ ปปง.ก็เปิดแถลงข่าวทันทีว่า ปปง.จะเสนอต่อที่ประชุมใหญ่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน(Financial Action Task Force หรือ FATF) ที่ประเทศฝรั่งเศสในวันที่ 18 ก.พ.2556 เพื่อขอให้ปลดประเทศไทย ออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มีข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
“สำหรับผลดีต่อประเทศไทย หากได้รับการปลดออกจากบัญชีรายชื่อประเทศที่มีข้อบกพร่องเชิงยุทธศาสตร์ด้าน การป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย จะทำให้ธนาคารหรือสถาบันการเงิน สามารถกู้เงินจากธนาคารในอเมริกาเหนือและกลุ่มประเทศในทวีปยุโรปได้ หลังจากที่ผ่านมาสถาบันการเงินของประเทศไทยไม่สามารถกู้เงินจากประเทศข้างต้นได้ ตั้งแต่เดือน ต.ค.2555 เป็นต้นมา เพราะถูกขึ้นบัญชีเฝ้าระวังประเทศที่เสี่ยงต่อการฟอกเงินและก่อการร้าย และจะทำให้การลงทุนในต่างประเทศของนักธุรกิจไทยมีความรวดเร็ว เพิ่มโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจ นำรายได้กลับประเทศต่อไป”
หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ วงการธุรกิจของไทยโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่ต้องทำธุรกรรมทางการเงิน-การค้ากับต่างประเทศ ทั้งแวดวงการเงินการธนาคาร-การส่งออก ต่างพยายามเร่งรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมให้มีการเร่งรัดออกกฎหมายสำคัญ 2 ฉบับนี้ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการทำธุรกรรม โดยเฉพาะธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ
เพราะเวลานี้ประเทศไทยได้ติดอยู่ในกลุ่ม “Dark Grey List” ของ "คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน" หรือ Financial Action Task Force (FATF) เนื่องจากมองว่าที่ผ่านมาไทยยังไม่มีกลไกกฎหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพใน การช่วยป้องกันมิให้มีการนำเงินหรือทรัพย์สินไปใช้เพื่อสนับสนุนการก่อการ ร้าย
โดยมีเสียงโอดครวญมาว่าที่ผ่านมาการทำธุรกรรมหลายอย่างโดยเฉพาะการเงินระหว่างประเทศประสบปัญหาไม่คล่องตัว ใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารต่างๆ นาน มีผลกระทบต่อการทำธุรกิจ
โดยเฉพาะมีการส่งสัญญาณมาจากภาคธุรกิจว่าหากไทยไม่เร่งผ่านกฎหมายสำคัญสองฉบับดังกล่าว จะยิ่งทำให้การทำธุรกิจ-ธุรกรรมระหว่างประเทศยิ่งมีปัญหา
ถึงขั้นสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่ประเทศไทยจะถูกเลื่อนลำดับไปอยู่ในกลุ่มบัญชีดำหรือ ”Super Black List” ที่เป็นบัญชีกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่อาจทำให้ไทยถูก "คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ" (Sanction) ได้
ส่งผลให้ฝ่ายกระทรวงยุติธรรมและ พ.ต.อ.สีหนาทก็พยายามเร่งเคลียร์กับทาง FATF มาตลอด รวมถึงการพยายามประสานของทางรัฐบาลผ่านวิปรัฐบาลเพื่อให้สภาฯ เร่งออกกฎหมายสำคัญสองฉบับโดยเร็ว
มาบัดนี้ ข้อเป็นห่วงดังกล่าวของหลายฝ่ายคงหมดไป อย่างไรก็ตาม การออกกฎหมายทั้ง 2 ฉบับ แท้ที่จริงแล้วก็มีความพยายามมานานแล้วโดยเฉพาะในส่วนของการปรับปรุงแก้ไข ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเพื่อเพิ่มมูลฐานความผิดในกฎหมายฟอกเงินให้มากขึ้น
ซึ่งในร่างฉบับใหม่พบว่า มีการเพิ่มมูลฐานความผิดที่เป็นการฟอกเงินอีก 12 มูลฐาน จากเดิม ที่มีอยู่แล้ว 11 มูลฐาน ทำให้หากกฎหมายฉบับนี้มีการบังคับใช้ ความผิดที่เข้าข่ายเป็นการฟอกเงินจะมีถึง 23 ความผิดมูลฐาน
ความพยายามออกกฎหมายทั้งสองฉบับโดยเฉพาะการแก้ไข พ.ร.บ.ฟอกเงินมีมานานก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่ใช่ออกเพราะได้รับแรงกดดันจาก FATF แต่อย่างใด เพียงแต่กระบวนการพิจารณาค่อนข้างล่าช้า แต่พอมาเจอกรณีไทยติด “Dark Grey List” ก็เลยทำให้กระบวนการเร็วขึ้นมาเพื่อให้ทันกับการประชุมใหญ่ FATF ที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 18 ก.พ.นี้
“อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี” ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะกรรมาธิการร่วมกันของสภาฯและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับวิเคราะห์ไว้กับ ”ทีมข่าวอิศรา” ว่า หลังกฎหมายทั้ง 2 ฉบับโดยเฉพาะกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมีผลบังคับใช้ จะทำให้ ปปง.เป็นองค์กรที่มีอำนาจใหญ่โตมากขึ้น จนน่าเป็นห่วงไม่น้อยกับการใช้อำนาจเพราะหากไปทำงานอิงการเมืองแบบกรมสอบสวนคดีพิเศษ เนื่องจากกฎหมายได้ให้อำนาจ ปปง.เพิ่มมากขึ้นหลายอย่าง
เช่น การให้มีการไขว้อำนาจกันของ ปปง.กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จากตอนนี้ที่พวกคดีพิเศษต่างๆ ถ้าเป็นคดีอาญาจะเป็นหน้าที่ของดีเอสไอแต่ถ้าเป็นคดีแพ่งจะเป็นหน้าที่ของ ปปง.ไปสอบสวนดำเนินการยึดทรัพย์
“แต่กฎหมายใหม่จะเปิดให้ดีเอสไอกับ ปปง.มีการทำงานร่วมกันบางอย่างได้ และทำให้อำนาจ ปปง.มากขึ้นเช่นการดักฟังโทรศัพท์ หรือการสอบสวนเชิงคดีอาญา ซึ่งกฎหมายเดิม ปปง.ทำไม่ได้ เพราะในกฎหมายใหม่บัญญัติว่าในกรณีที่จำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยาน หลักฐานในการสอบสวนคดีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน สำนักงาน ปปง..สามารถร้องขอให้ดีเอสไอใช้อำนาจสืบสวนสอบสวนคดีตามกฎหมายว่า ด้วยการสอบสวนคดีพิเศษกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายฟอกเงินฉบับใหม่ได้ตามการเห็นชอบของอธิบดีดีเอสไอ อีกทั้งยังให้อำนาจอธิบดีดีเอสไอโดยการเสนอแนะของเลขาธิการ ปปง.อาจมีคำสั่งตั้งคนใน ปปง.เป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเพื่อสืบสวนสอบสวนในคดีตามกฎหมายว่า ด้วยการสอบสวนคดีพิเศษในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายนี้ได้ จึงเป็นการไขว้หรือ cross กันของดีเอสไอกับ ปปง.ไปเลย”
ข้อเป็นห่วงดังกล่าวสอดรับกับคำอภิปรายกลางที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 14 ม.ค.2556 ใน วันพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับของวุฒิสภาที่มี ส.ว.บางส่วนตั้งข้อสังเกตว่าร่างกฎหมายฟอกเงินดังกล่าวอาจจะไปละเมิดสิทธิของประชาชน
เช่น มาตรา 3 ของกฎหมายฟอกเงินที่มีการเพิ่มมูลฐานความผิดใน (14) ซึ่งกำหนดให้การแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อมอันมีลักษณะเป็นการค้ามีความผิด จะส่งผลให้ประชาชนที่มีวิถีชีวิตอยู่กับธรรมชาติไม่สามารถดำรงชีวิตได้ตามปกติ
หรือมาตรา 12 เกี่ยวกับการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษเข้ามาสอบสวนได้ อาจจะก่อให้ปัญหาในทางการเมืองอย่างที่เห็นในปัจจุบันได้
โดยมี ส.ว.ที่อภิปรายอย่าง ”สุรจิต ชิรเวทย์” ส.ว.สมุทรสงคราม ย้ำว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการเขียนเอาใจองค์กรต่างชาติเกินไปหรือไม่ เพราะมีบทบัญญัติที่อาจขัดต่อการละเมิดสิทธิเสรีภาพและกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรา 3 เพราะเดิมวุฒิสภาได้แก้ไขให้เพิ่มเนื้อหาเข้าไปเพื่อคุ้มครองไม่ให้ประชาชน ที่มีวิถีชีวิตที่ต้องดำรงชีพด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีความผิดตามกฎหมาย แต่กรรมาธิการร่วมเสียงข้างมากได้ตัดเนื้อหาในส่วนนี้ออกไปจึงเป็นห่วงว่าการคุ้ม ครองของภาครัฐต่อประชาชนหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฉบับใหม่ มีการเพิ่มมูลฐานความผิดอีก 12 มูลฐาน อาทิ
-ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญกรรมที่กฎหมายกำหนดเป็นความผิด
-ความผิดเกี่ยวกับการรับของโจรเฉพาะที่เกี่ยวกับการช่วยจำหน่าย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้ซึ่งทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิด
-ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงสิทธิ บัตรอิเล็คกทรอนิกส์ หรือหนังสือเดินทางตามประมวลกฎหมายอาญาอันเป็นมีลักษณะเป็นปกติธุระหรือเพื่อการค้า
-ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า
-ความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อชีวิตหรือร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตราย สาหัสตามประมวลกฎหมายอาญาเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากทรัพย์สิน
-ความผิดเกี่ยวกับการลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตายเพื่อหวังผลทางการเงิน
-ความผิดเกี่ยวกับการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ตามประมวล กฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เช่นการปั่นหุ้น
-ความผิดเกี่ยวกับอาวุธหรือเครื่องมืออุปกรณ์ของอาวุธที่ใช้หรืออาจนำไปใช้ในการรบหรือการส่งครามตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมยุทธภัณฑ์
ฯลฯ
และในมาตรา 8 ของกฎหมายยังเพิ่มเรื่องการให้มีมาตรการคุ้มครองพยานสำหรับผู้ให้ถ้อยคำหรือ ผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวน และมีการแก้ไขกฎหมายด้วยการเพิ่มอำนาจสำนักงาน ปปง.ในการเข้าไปตรวจสอบการทำ ธุรกรรมที่เข้าข่ายจะเป็นการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
อีกทั้งยังเขียนกฎหมายให้ข้าราชการของสำนักงานซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ฟอกเงินเป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษทั้งเงินเพิ่มประจำตำแหน่งและค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบียบข้าราชการ พลเรือนหรือผู้ปฏิบัติงานอื่นในกระบวนการยุติธรรมด้วย โดยให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการโดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง
หากพบมีการกระทำความผิดที่เข้าข่ายมูลฐานความผิดเหล่านี้ ก็จะใช้กฎหมายฟอกเงินยึดทรัพย์สินที่ได้จากการทำผิดได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลแล้วทางผู้ออกกฎหมายยัง เชื่อว่าจะแก้ปัญหาอาชญากรรมและการฟอกเงินให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็วและ มีประสิทธิภาพ
ข้อเป็นห่วงจาก “อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี” กรรมาธิการร่วมกันของสภาฯและวุฒิสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 2 ฉบับยังมีอีกว่า การที่กฎหมายให้ ปปง.เข้ามาร่วมสอบสวน กรณีหากพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการประทุษร้ายต่อชีวิตหรือร่างกายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายสาหัสหรือความผิด เกี่ยวกับการลักทรัพย์ ยักยอก ฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตายเพื่อหวังผลทางการเงิน
อรรถวิชช์ กล่าวว่า เท่ากับเป็นการขยายอำนาจให้ ปปง.มีอำนาจมากขึ้น เพราะเท่ากับต่อไปนี้คดีความผิดอาญาประเภททำร้ายร่างกายหรือลักทรัพย์อะไรต่างๆ ปปง.ก็จะเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเอาผิดคดีแต่เป็นคดีแพ่งได้ด้วย หรือแม้แต่ความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม ที่กฎหมายบอกว่าหากเป็นการยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติหรือกระบวนการ หาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติโดยมิชอบด้วยกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการค้า ปปง.ก็เข้าไปได้เลย ความผิดหลายอย่างที่มีการเพิ่มขึ้นหรือความผิดเกี่ยวกับหลักทรัพย์
“จะทำให้หลายต่อหลายคดีเข้าไปอยู่ในอำนาจของ ปปง.เกือบทั้งหมด การเพิ่มอำนาจให้มากมายเช่นนี้แม้หลักการของกฎหมายจะดีแต่ก็ต้องระวังว่า ปปง.จะใช้อำนาจอยู่ในขอบเขตตรวจสอบได้หรือไม่ได้ด้วย โดยเฉพาะอำนาจที่มากขึ้นของเลขาธิการ ปปง.และสำนักงาน ปปง.เพราะหาก ปปง.แม้จะทำเรื่องคดีทางแพ่ง การฟ้อง-การอายัดหรือยึดเงิน แต่หากทำงานอิงการเมืองทำงานแบบดีเอสไอตอนนี้ ก็น่าเป็นห่วง หวังเป็นอย่างยิ่ง ปปง.จะไม่อิงการเมือง ไม่อย่างงั้นก็หนัก หากไปเป็นเครื่องมือการเมือง ก็อาจมีปัญหากับเรื่องการใช้อำนาจ ส่วนกฎหมายป้องกันการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายผมว่าความแรงของกฎหมายยังพอรับได้อยู่”
จากการตรวจสอบพบว่า ข้อเป็นห่วงๆเหล่านี้ เคยมีคำชี้แจงจากกรรมาธิการร่วมสองสภาฯ ต่อเสียงท้วงติงของสมาชิกรัฐสภาถึงข้อเป็นห่วงของการบังคับใช้กฎหมายดัง กล่าวเอาไว้เช่นกัน
เช่นในการประชุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 14 ม.ค.2556 “พล.ต.ท.มาโนช ไกรวงศ์” ส.ว.สุราษฎร์ธานี ในฐานะรองประธานคณะกมธ. ร่วมสองสภาฯ ชี้แจงว่าร่างกฎหมายฟอกเงินฉบับแก้ไขใหม่อันนี้ ไม่ได้เป็นการให้อำนาจพนักงานสอบสวนสามารถกระทำละเมิดสิทธิประชาชนได้ เพราะกฎหมายฟอกเงินเป็นกฎหมายทางแพ่ง ซึ่งถือเป็นคนละส่วนกันกับการดำเนินคดีอาญา อย่างเรื่องความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม โดยการใช้ ยึดถือหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติ หมายความว่า หากประชาชนที่เข้าไปหาทรัพยากรในป่าเพื่อการดำรงชีพหรือไม่ได้นำที่ดินไปขายโดยมิชอบด้วยกฎหมายก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน โดยหากจะมีความผิดก็จะผิดเฉพาะทางอาญาเท่านั้นซึ่งไม่เกี่ยวกับกฎหมายฟอกเงิน
ที่สำคัญของการพิจารณาคดีจะมีคณะกรรมการธุรกรรมขึ้นมาตรวจสอบก่อน ซึ่งได้รับเลือกและถูกเสนอชื่อมาจากหลายฝ่ายเช่น สำนักงานศาลยุติธรรมเป็นต้น ทำให้ไม่เกิดการใช้อำนาจโดยพลการได้
“ส่วนกรณีที่ดีเอสไอสามารถเข้ามาดำเนินการสอบสวนได้ตามกฎหมายฟอกเงินนั้นเป็น ลักษณะที่ ปปง.ต้องยืมอำนาจตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษมาใช้เพื่อแสวงหาหลัก ฐานบางประการที่ ปปง.ไม่มีอำนาจดำเนินการได้อย่างการดักฟังโทรศัพท์หรือการ ตรวจสอบข้อมูลทางธุรกรรมบางกรณี หากไม่ให้ดีเอสไอเข้ามาร่วมตามกฎหมายก็อาจไม่สามารถพิจารณาคดีได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และการทำงานตามกฎหมายฟอกเงินของดีเอสไอไม่ได้ปล่อยดีเอสไอดำเนินการโดยลำพัง เพราะ ปปง.จะร่วมเข้าไปทำงานด้วย” พล.ต.ท.มาโนชระบุ
ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หลักๆที่น่าสนใจ เช่นการกำหนดว่าบุคคลใดจะเป็นผู้ที่มีพฤติการณ์ว่าสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายจะทำได้ใน 2 รูปแบบคือ
1.ตามมาตรา 4 ในกรณีที่มีมติของหรือประกาศภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติแห่งสหประชาชาติ กำหนดรายชื่อ บุคคล นิติบุคคล หรือองค์กรใด เป็นผู้ที่มีการกระทำอันเป็นการก่อการร้ายให้สำนักงาน ปปง.เสนอรายชื่อดังกล่าว ไปยัง รมว.ยุติธรรมเพื่อมีคำสั่งประกาศรายชื่อเป็นบุคคลที่ถูกกำหนดโดยไม่ชักช้า ส่วนการเพิกถอนรายชื่อดังกล่าวให้กระทำได้เมื่อมีมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ
และ 2 ตามมาตรา 5 ของ กฎหมายคือ ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ใดมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการก่อร้ายหรือ สนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย หรือดำเนินการแทน ให้สำนักงาน ปปง.โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาส่งรายชื่อผู้ นั้นให้พนักงานอัยการพิจารณายื่นคำร้องฝ่ายเดียวขอให้ศาลมีคำสั่งเป็นบุคคล ที่ถูกกำหนดและถ้าปรากฏแก่ศาลว่ามีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ ให้ศาลมีคำสั่งตามที่ขอคือผู้นั้นมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย หรือสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย
อย่างไรก็ตาม กฎหมายก็บัญญัติว่าให้สำนักงาน ปปง.ทบทวนรายชื่อบุคคลที่ถูกยื่นเรื่องต่อ อัยการและศาลดังกล่าว ถ้าเห็นว่ามีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไป โดยให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการธุรกรรมเพื่อส่งเรื่องต่อไปอัยการและศาล เพื่อมีคำสั่งเพิกถอนรายชื่อออกจากการรายชื่อเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแก่ การก่อการร้าย
ขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้ผู้ถูกร้องว่าเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินแก่การก่อร้าย ดังกล่าวสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนรายชื่อและเพิกถอนการระงับ การดำเนินการกับทรัพย์สินได้เองด้วย ซึ่งก็เป็นเพราะกฎหมายคงต้องการไม่ให้มีการกลั่นแกล้งหรือเจ้าหน้าที่ทำงาน ผิดพลาดจนทำให้มีผลกระทบกับประชาชน จึงต้องให้ประชาชนสามารถยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อพิสูจน์ตัวเองได้ว่าไม่ได้มี พฤติการณ์ความผิดตามกฎหมายฉบับนี้
หลังมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแล้ว การทำธุรกิจ-การลงทุน-การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศจะดีขึ้นหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ผลพวงหลังมีการบังคับใช้กฎหมายแล้วจะมีปัญหาอะไรตามมาหรือไม่ โดยเฉพาะกับ ปปง.องค์กรที่ครั้งหนึ่งเคยถูกฝ่ายการเมืองในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร นำไปใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลอย่างสื่อมวลชน-เอ็นจีโอมาแล้ว
เพราะหากปปง.ที่ได้อำนาจมากขึ้นจากกฎหมายสองฉบับนี้นำอำนาจไปใช้ผิดที่ผิดทาง ก็เท่ากับเป็นการติดอาวุธหนักให้กับ ปปง.ดีๆนั่นเอง
