ภาคเอกชน ชี้ไทยควรฉวยโอกาส ทวงคืนความเป็นผู้นําอาเซียน
วันที่ 31 มกราคม สถาบันอนาคตไทยศึกษา ออกรายงาน TFF Business Roundtable เก็บประเด็นมุมมองและ มุมคิดของนักธุรกิจระดับคีย์แมนจากภาคเอกชน นําเสนอ 4 ปัจจัยขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาประเทศให้ก้าวไปข้างหน้านับจากปี 2556 เริ่มจากพร้อมรับ AEC โดยการก้าวขึ้นเป็นพี่ใหญ่ในอาเซียนอินโดจีน เร่งพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน กระจาย การพัฒนาด้วยการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน และผลักดันแผนยุทธศาสตร์ของประเทศที่ชัดเจนเพื่อเป็นหางเสือแห่งการพัฒนา
ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ประธานกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวว่า เมื่อเดือนที่ผ่านมา สถาบันฯ ได้จัดงานสนทนา TFF Business Roundtable โดยได้รับเกียรติจากผู้นําภาคเอกชนระดับคีย์แมนในหลากหลายสาขาธุรกิจ ไม่ว่า จะเป็นสาขาการเงิน ค้าปลีก อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ประกันภัย และโทรคมนาคม ซึ่งได้แก่ คุณกฤษฎา ลํ่าซํา คุณชาติศิริ โสภณพนิช คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี คุณทศ จิราธิวัฒน์ คุณธีรพงศ์ จันศิริ คุณบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา คุณศุภชัย เจียรวนนท์ คุณสาระ ลํ่าซํา และคุณอิสระ ว่องกุศลกิจ ร่วมสนทนาเกี่ยวกับมุมมองและความเห็นของภาคเอกชนต่อปัจจัยขับเคลื่อนที่จะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศไทยนับจากปี 2556 เป็นต้นไป
โดยสาระที่ได้จากวงสนทนานี้ ผู้นําจากภาคเอกชนได้สะท้อนมุมมองและความคิดที่มีต่อการพัฒนาประเทศไทยนับจากปี 2556 ว่า ต้องการเห็น 4 ปัจจัยขับเคลื่อนที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่ความเป็นผู้นําที่ได้เปรียบในเชิงแข่งขันเหนือกว่าประเทศอื่น ซึ่งได้แก่เรื่องของประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เรื่องความสามารถในการแข่งขัน เรื่องเศรษฐกิจชุมชน และที่สําคัญที่สุดก็คือเรื่องยุทธศาสตร์ประเทศไทย
สําหรับ AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ภาคเอกชนให้ความเห็นว่า ประเทศไทยควรฉวยโอกาสนี้ก้าวขึ้นเป็นผู้นําอาเซียน โดยเฉพาะอาเซียนอินโดจีน ควรพัฒนาห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค (Regional supply chain) เพราะเราไม่สามารถมองห่วงโซ่อุปทานแบบจํากัดประเทศเดียวได้อีกต่อไป ควรสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่ ได้เปรียบของประเทศเพื่อนบ้านผนวกรวมกับความเชี่ยวชาญของประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน การเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เราต้องมุ่งเน้นการพัฒนาคน พัฒนางานวิจัย ผลิตคนและผลิตงานวิจัยที่ตรงกับความ ต้องการของตลาด และต้องผสานความเชื่อมโยงระหว่างภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาให้ได้
นอกจากนี้ เศรษฐกิจชุมชนเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย เราควรกระจายการพัฒนาสู่ระดับรากหญ้า เพราะความสามารถใน การแข่งขันต้องเริ่มต้นจากระดับฐานราก ที่ผ่านมา การพัฒนายังไม่กระจายไปอย่างทั่วถึง ประเทศไทยต้องหันมาให้ความสําคัญกับเศรษฐกิจชุมชน ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชนเพื่อยกระดับไปเป็นคลัสเตอร์ระดับภูมิภาค (Regional Cluster) ให้ได้
อย่างไรก็ดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่ภาคเอกชนได้กล่าวมาทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้น หากภาครัฐไม่มียุทธศาสตร์ของประเทศที่ชัดเจนเพื่อเป็น หางเสือของการพัฒนา โดยกลยุทธ์ในระยะยาวจะต้องมีแผนปฏิบัติงานที่รองรับและนําไปปฏิบัติได้จริง พร้อมทั้งมีตัวชี้วัด ความสําเร็จของแผนงานที่ชัดเจน
ขณะที่ศาสตราพิชานดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานคณะกรรมการ สถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวถึงความคิดเห็นของ ภาคเอกชนว่า “ในห้วงเวลาที่บ้านเมืองตกอยู่ในวังวนของความขัดแย้งจนภาครัฐยากที่จะขับเคลื่อนได้อย่างมีพลัง และในยามที่ภาคประชาชนส่วนใหญ่ยังอ่อนแอและยากจน ภาคเอกชนคือความหวังอันสําคัญที่จะช่วยผลักดันให้ประเทศสามารถพัฒนาก้าวไป ข้างหน้าได้ เพราะเพียบพร้อมทั้งทรัพยากรและความสามารถ ไม่มียามใดอีกแล้วที่ประเทศต้องการบทบาทเชิงรุกของภาคเอกชนเพื่อสะสางปัญหาที่สั่งสมในประเทศ และร่วมบุกเบิกโอกาสในต่างประเทศเพื่อสร้างอนาคตแก่ประเทศไทย”
สําหรับท่านที่สนใจ สามารถอ่านรายละเอียดแบบครบถ้วนของ TFF Business Roundtable ในหัวข้อ “หลากมุมมองจาก ภาคเอกชนต่อการพัฒนาประเทศไทยนับจากปี 2556” หรือดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มได้จากเว็บไซด์ของสถาบันอนาคตไทย ศึกษา (http://www.thailandfuturefoundation.org)
