คุก10ปีจ่าตำรวจคูคตขนอาวุธร่วมม็อบปี53
ศาลสั่ง จำคุก 10 ปี “ จ.ส.ต.ปัญญา มณีโคตม์ ” อดีตตำรวจ สภ.คูคต ครอบครองระเบิดเอ็ม 79 ซิ่งหนีด่านตรวจสกัดชุมนุม นปช. ปี 53 ทนายเตรียมอุทธรณ์สู้คดีต่อ
ที่ห้องพิจารณา 901 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1121/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ อายุ 40 ปี อดีต ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี เป็นจำเลย ในความผิดฐาน มีกระสุน เครื่องกระสุน และอาวุธสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 4 , 55 และ78
โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 3มี.ค.54 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.53 จำเลยมีลูกระเบิดยิงขนาด 40 ม.ม. แบบเอ็ม 79 ชนิดระเบิดเจาะเกราะ และชนวนแบบเอ็ม 403 สภาพพร้อมใช้งาน รวม 62 นัด ซึ่งแรงระเบิดมีอานุภาพสังหารชีวิต มนุษย์ สัตว์ และทำลายทรัพย์สินเสียหายในรัศมีฉกรรจ์ 5 เมตร ไว้เพื่อจำหน่ายราคาลูกละ 1,200 บาท อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 พ.ศ.2522 ลงวันที่ 1 ก.ค. 22 และออกตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 เหตุเกิดที่ แขวงสนามบิน เขตดอนเมือง กทม. จำเลยให้การปฏิเสธโดยตลอด
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้ง 2 ฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่าโจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด่านตรวจความมั่นคง บริเวณ ถ.วิภาวดี ที่อยู่ในที่เกิดเหตุรวม 3 นาย เบิกความสอดคล้องกันว่า ขณะนั้นมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. เมื่อตั้งด่านพบชาย ขี่รถจักรยานยนต์ฮอนด้าเวฟ สีแดง-ดำ หมายเลขทะเบียน พงน 68 กทม. สวมหมวกกันน็อคสีเทาแบบครึ่งศีรษะ และเปิดกระจกหน้า จึงเรียกให้หยุด พบมีหมวกกันน็อคสีแดงวางที่ตะกร้าหน้ารถ และมีกล่องที่ปิดมิดชิดห่อด้วยพลาสติกสีดำอยู่เบาะด้านหลังโดยมีสายรัดไว้แน่นหนา เมื่อเรียกชายดังกล่าวหยุดแต่ไม่ดับเครื่องยนต์ พยานคนหนึ่งจึงยืนค่อมหน้ารถ ส่วนอีกคนยืนประกบท้ายรถไว้ และเมื่อจะให้รถมาชิดฟุตบาทโดยพยานทั้งสองเดินออกจากรถ ชายคนดังกล่าวได้อาศัยจังหวะขับรถด้วยความเร็วหลบหนีไป ซึ่งพยานที่เป็นตำรวจ 2 นายได้ขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามไป กระทั่งผ่านด่านหน้ากองทัพอากาศ แต่คนร้ายได้ขับหนีเข้าซอยวิภาวดี 1 ไป โดยระหว่างที่ขับรถหลบหนี เจ้าหน้าที่ทหารที่วิ่งไล่ตามพบกระเป๋าเงินสีดำ และกล่องสีดำที่มัดอยู่ท้ายรถคนร้ายตกอยู่ เมื่อเปิดดูพบบัตรข้าราชการตำรวจ บัตรประชาชน และบัตรชมรมยิงปืนที่มีอยู่จำเลย พยานจึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาและรางยาน ศอฉ. ส่วนกล่องดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่กรมสรรพาวุธ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเครื่องกระสุน และลูกระเบิดของกลาง
โดยเมื่อพนักงานสอบสวน นำพยานทั้ง 3 ปาก ไปชี้ตัวจำเลยที่เรือนจำธัญบุรี ซึ่งมีบุคคลอื่นปะปนด้วย พยานก็ยังสามารถชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องแม้เหตุการณ์จะผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ตาม แสดงว่าพยานสามารถจดจำใบหน้าได้เป็นอย่างดีที่แม้วันเกิดเหตุจะมีฝนตกปรอยๆ แต่ก็เป็นเวลากลางวัน ขณะที่คนร้ายสวมหมวกกันน็อคที่เปิดหน้า และพยานก็ยืนห่างเพียง 1 เมตร ประกอบกับผลตรวจหาสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เปรียบเทียบก็ตรงกับจำเลย ซึ่งหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มีความแม่นยำแน่นอนและยากที่จะมีผู้ใดมาเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ พยานโจทก์ดังกล่าว เบิกความถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องใกล้ชิดกัน จึงยากที่คิดจะปรุงแต่งเรื่องเพื่อปรักปรำจำเลย ซึ่งพยานโจทก์ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนซึ่งปราศจากข้อระแวงสงสัยว่าจะให้การปรักปรำจำเลย จึงเชื่อว่าพยานเบิกความตามที่ได้ปฏิบัติหน้าที่
ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาส่งตัวไปแฝงตัวกับกลุ่ม นปช. ซึ่งวันเกิดเหตุจำเลยไม่ได้ขี่รถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ส่วนที่พบดีเอ็นเอจำเลยเพราะพนักงานสอบสวนนำหมวกกันน๊อคมาให้ลองใส่จึงเป็นไปได้ที่จะมีเหงื่อของจำเลยติดอยู่ ศาลเห็นว่าในชั้นพิจารณาจำเลยกลับไม่ได้นำคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรของผู้บังคับบัญชามาแสดง อีกทั้งในที่เกิดเหตุยังพบกระเป๋าเงินของจำเลยตกอยู่ หากไม่ใช่จำเลยก็ย่อมไม่พบสิ่งของของจำเลยตำอยู่ในที่เกิดเหตุ ประกอบกับสารพันธุกรรมก็ตรงกับจำเลย ขณะที่ทนายความจำเลย ก็ไม่ได้ซักถามพยานโจทก์ในการตรวจนิติวิทยาศาสตร์ให้ได้ความชัดเจน ข้อนำสืบของจำเลยจึงเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานครอบครองเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ ม. 55 และ ม.78 วรรค 1 ให้จำคุก 10 ปี
ภายหลังนายสาคร ศิริชัย ทนายจำเลย กล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป โดยจะขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ซึ่งคดีนี้เป็นคดีแรก ๆที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมจำเลยได้ แต่ใช้ระยะเวลานานมากจึงจะส่งฟ้อง ขณะที่ตำรวจที่พบเห็นจำเลยนั้นไม่ยืนยันตัวจำเลยตั้งแต่แรก ส่วนดีเอ็นเอที่ส่งตรวจนั้นมีกว่า 40 รายการ กลับมีเพียงดีเอ็นเอภายในหมวกกันน็อคเท่านั้นที่ตรงกับจำเลย ส่วนลายนิ้วมือแฝงก็ไม่มี อย่างไรก็ดีการอุทธรณ์ยังต้องเน้นประเด็นการกำหนดโทษสูง 10 ปี ที่สูงเกินไปด้วย ก็ต้องขอให้ศาลพิจารณาโทษสถานเบา
