เดิมพันของ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ถ้าแพ้ผมอาจจะวางมือ
"ที่ชีวิตทางการเมืองที่ผ่านมาเกือบ 20 ปีให้ผมกับก็คือ อย่าตื่นตระหนก อย่าประมาท ถ้าโพลล์ออกมาดีก็อย่าคิดว่าเราชนะแล้ว ถ้าออกมาไม่ดีก็อย่าคิดว่าเราแพ้"

ถ้าเปรียบการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม.เหมือนการแข่งวิ่งแข่ง ไม่น่าเชื่อว่าแค่โค้งแรก เต็ง 1 อย่าง “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” จากพรรคประชาธิปัตย์ กลัวออกสตาร์ทได้ไม่ดี ถูกเต็ง 2 ที่ชื่อ “พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ” จากพรรคเพื่อไทย วิ่งแซงนำหน้าตาเฉย จากผลสำรวจความคิดเห็นของโพลล์สำนักต่างๆ
อาจเป็นเพราะผลงานในอดีตไม่เป็นที่ประจักษ์ อาจเพราะสโลแกนหาเสียงดูล่องลอยจับต้องยาก อาจเพราะบุคลิกรวมถึงวิธีการทำงานไม่โดนใจคนกทม. อาจเพราะคนเมืองหลวงอยากลองของใหญ่ ฯลฯ หลายเหตุผลถูกหยิบขึ้นมาวิเคราะห์ ว่าอะไรทำให้ “แชมป์เก่า” กลับต้องมาวิ่งตาม “ผู้ท้าชิง” ตั้งแต่ช่วงต้นๆ
“สำนักข่าวอิศรา” (www.isranews.org) เดินทางไปสนทนากับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ หรือ “คุณชายหมู” ถึงวังสวนผักกาด ก่อนที่ผลโพลล์ต่างๆ จะถูกเปิดออกมาว่าเจ้าตัวได้เปลี่ยนสถานะมาป็นผู้ไล่ตามเรียบร้อยแล้ว
โดยมีคำพูดหนึ่งของ “ผู้สมัครหมายเลข 16” ที่น่าสนใจ เพราะเจ้าตัวได้เปรยถึง “เดิมพัน” อันสูงลิบในการเลือกตั้งครั้งนี้
“ผมอยากชนะนะครับ ไม่ได้ลงเพื่อแพ้ แต่ถ้าพี่น้องประชาชนจะตัดสินใจในทางอื่น ผมก็ยอมรับ แล้วก็ถ้าผู้ชนะสามารถทำให้คนกทม.มีชีวิตที่สะดวกสบาย ดีในทุกทาง คนแรกที่จะปรบมือคือผม เพราะผมก็เป็นคนกทม.เหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็จะไปหาอย่างอื่นทำ ไม่เป็นไร เพราะชีวิตนี้ผมก็อุทิศให้สังคมอยู่แล้ว ถ้าเป็นผู้ว่าฯกทม.ไม่ได้ ผมก็อุทิศให้กับสังคมในทางอื่น”
อย่างไรก็ตาม หากการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เป็นเหมือนการวิ่งแข่งจริงๆ ใครจะวิ่งนำที่โค้งไหน นำห่างแค่ไหน อยา่งไร อาจไม่สำคัญเท่า ใครจะวิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก เกมนี้จึงต้องดูกันยาวๆ
*****
การทำงาน 4 ปีที่ทำงานมาอยากให้คน กทม.จดจำในแบบไหน และอย่างไร
อยากให้คน กทม.เข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำมาตลอด คืออยู่เคียงข้างกับประชาชนในยามที่ต้องเจอกับวิกฤต 3 ปีซ้อน ทั้งการชุมนุมในปี 2552-2553 และน้ำท่วมในปี 2554 ผมก็อยู่เคียงข้างดูแลคนกทม.อย่างดีที่สุด นี่คือสิ่งที่ส่วนตัวผมคงจดจำตลอดไป อย่างน้อยผมก็มีส่วนน้อยๆ ในการทำให้ กทม.ฝ่าไฟ ฝ่าน้ำ มาได้
ถ้ามีโอกาสได้ทำงานอีก 4 ปี จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติม นโยบายอะไรบ้าง
นโยบายในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นนโยบายที่ผมรับเป็นมรดกตกทอดมา คุณอภิรักษ์ (โกษะโยธิน) ชนะเลือกตั้งเมื่อปี 2551 แต่ก็มีอุบัติเหตุทางการเมือง ผมก็ลงแทนท่าน แต่เมื่อคุณอภิรักษ์ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น ดังนั้นผมจะไปเปลี่ยนนโยบายของท่านไม่ได้ เพราะถือว่าได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนแล้ว ผมจึงรับนโยบายมาทั้งดุ้นเลย ก็คิดว่าส่วนใหญ่ได้ทำตามที่สัญญาไว้ เพิ่ม CCTV 2.4 หมื่นตัว ปรับพื้นที่สีเขียว 5 พันไร่ รพ.ผู้สูงอายุก็เริ่มเปิดให้บริการแล้ว BTS ส่วนต่อขยายอ่อนนุช-แบริ่งก็เสร็จแล้ว
นโยบายที่จะนำเสนอเพิ่มเติม และจะทยอยอยู่มาเป็นส่วนๆ ส่วนหนึ่งเป็นการสานต่อจากคราวที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดจากคราวอีกแล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องใหม่เลย
ยกตัวอย่างได้หรือไม่ว่าเรื่องใหม่ที่คนกทม.เห็นปุ๊บต้องนึกถึงชื่อ “สุขุมพันธุ์” มีอะไรบ้าง
นโยบายใหม่คงจะต้องขอเก็บไว้ แต่นโยบายที่อยากจะต่อยอด คือเรื่องความปลอดภัย ผมได้ติดตั้ง CCTV 2 หมื่นตัวและมีการเชื่อมกับสน.ต่างๆแล้ว ขั้นต่อไปคือจะเชื่อมโยงสัญญากับ CCTV ของเอกชน เช่น 7-11 ห้างสรรพสินค้า ที่ใน กทม.มี 2 แสนตัว ดังนั้น กทม.จะมีหูตามากขึ้นเพ่อป้องกันอาชญากรรม นอกจากนี้ยังได้ของบปี 56 ติดตั้ง CCTV อีก 2.7 หมื่นตัวในชุมชนและพื้นที่เสี่ยง เริ่มทยอยติดตั้งไปบ้างแล้ว อีกเรื่องเป็นเรื่องใหญ่คืออาสาสมัครชุมชน
ธีมหลักของการเลือกตั้งครั้งนี้คืออยากให้คนที่รักกทม.มาร่วมกันสร้างกทม. จึงเป็นที่มาของสโลแกน “รัก กทม.ร่วมสร้าง กทม.”
เรื่องที่ใหม่จริงๆ คือการใช้ social media ปฏิสัมพันธ์กับคนกทม. ในช่วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะตอนน้ำท่วม สายด่วน 1555 แม้จะเป็นประโยชน์แต่มันไม่ interactive เท่าที่ควร ถนนซ่อมเสร็จแล้วก็ไม่มีการบอกว่าซ่อมเสร็จแล้ว ผมอยากให้มี interactive มากขึ้น จึงจะมีโครงการ i-bangkok เปิดช่องทางให้กทม.ให้ข้อมูลว่าทำอะไรแล้วบ้างและให้ประชาชนแสดงความเห็นว่าจะสร้าง กทม.อย่างไร รวมถึงเป็นช่องทางร้องเรียนซึ่งหากเราทำเสร็จแล้วจะตอบกลับไป เป็นถนนรถวิ่ง 2 ทาง นอกจากนี้ เรายังใช้ cyberspace เป็นเครื่องมือบ้างแล้วในการให้ข้อมูลจราจร ดังนั้น นี่จึงเป็นการขยายผล
ยุคสมัยนี้โลกไซเบอร์เป็นใหญ่ ตัวคุณชายได้เคยใช้อยู่บ้างไหม
ผมก็ยังใช้โทรศัพท์แบบเดิม แต่ก็ติดตาม social media แต่ผมพิมพ์ภาษาไทยไม่ค่อยคล่อง ก็จะมีคนคอยพิมพ์แทนให้
พอ ปชป.จะเปิดแนวรบด้าน social media ต้องลงมาคลุกคลีมากน้อยขนาดไหน
แน่นอนครับ เพราะทีมงานตอบ ก็ไม่เหมือนผมตอบเอง ผมอาจจะมีแนวคิดซึ่งต่างจากคนอื่น เรื่องใหญ่ๆ จะตอบเอง เรื่องที่อาจจะขอให้ไปดูที่อื่นได้ อาจจะมีทีมงานตอบแทน
ระหว่างเฟซบุ๊คกับทวิตเตอร์ ปกติใช้อะไรบ้าง แล้วชอบอะไรมากกว่ากัน
ผมใช้มานานแล้ว ทั้ง 2 โปรแกรมมีหน้าที่คนละอย่าง ก็ต้องใช้ทุกอย่าง แต่ปัญหาสำคัญคือผมพิมพ์ภาษาไทยไม่ค่อยคล่อง มันก็เป็นข้อจำกัด
ปัญหาที่เคยบอกว่าพูดไม่เก่งอาจจะสื่อสารผ่าน social media หรือให้ทีมงานตอบแทน แต่ในทางการเมืองการอธิบายกับตัวคนนั้นเองมีความสำคัญมากขนาดไหน
(คิด) สำคัญมากนะครับ อย่างบางทีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ผมมาก ซึ่งก็คงรู้ว่าเป็นกลุ่มไหน ถ้าตอบแทนผมโดยไม่ได้ถามผม ก็อาจจะโต้กลับไปอย่างรุนแรง แต่นั่นไม่ใช่ผม ผมจะพยายามอธิบายในกรณีที่อธิบายได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมจะชี้ให้เห็นว่าผมรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย และสิ่งที่ผมยึดมั่นมาตลอด ก็ต้องสื่อความให้เข้าใจกันว่า ผมมาอยู่ตรงนี้ เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็ต้องดูแลทุกคน ไม่ว่าใครจะชอบใส่เสื้อสีอะไร เพราะหน้าที่ของเรา ไม่ใช่แบ่งแยกสี แต่หน้าที่ของเราคือดูแลทุกคนที่อยู่ใน กทม. อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมพยายามสื่อความอย่างต่อเนื่องมาตลอด กระทั่งในช่วงที่มีวิกฤติทางการเมือง ผมก็ยังยึดมั่นในหลักการนี้
คู่แข่งอย่างคุณพงศพัศมีจุดเด่นเรื่องการพูด แต่คุณสุขุมพันธุ์จะอธิบายเมื่อจำเป็น จะเสียเปรียบในการหาเสียงหรือไม่
ก็อาจจะเสียเปรียบ แต่การแข่งอย่างนี้ ไม่ใช่การโต้วาที ถ้าเป็นเวทีโต้วาที ก็คงจะเสียเปรียบ แต่ผมคิดว่า ผมมีจุดอ่อนตรงนี้ แต่ว่าบางทีเราก็มีจุดแข็งในเรื่องอื่นเหมือนกัน มันก็อาจจะถัวกันไป แต่ผมก็ไม่เอาเรื่องอย่างนี้มาใส่ใจ เมื่อถึงเวลาพี่น้องประชาชนก็จะตัดสินใจเอง คือคนพูดเก่งก็ต้องทำเก่งด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าพูดเก่งอย่างเดียว
จุดแข็งที่จะหยิบมาให้ประชาชนเห็นมีอะไรบ้าง
ชัดเจนว่าผมไม่เคยทิ้งคน กทม. แล้วผมมีอะไรที่เป็นทุนในบางเรื่องที่สามารถต่อยอดได้ เป็นประโยชน์ต่อ กทม. งานเมืองเป็นงานต่อเนื่อง เป็นงานที่มีความสลับซับซ้อน ดังนั้นงานเมืองต้องการประสบการณ์ ความคุ้นเคยกับงานกับคนเป็นเรื่องสำคัญ ผมทำงานร่วมกับ ส.ก.ทั้ง 2 พรรค มา 4 ปี เราทำงานอย่างใกล้ชิด ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ตัวอย่างที่ดีที่สุดคือเรื่องเงินเยียวยาน้ำท่วม พอไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะโอนเงินมาให้หรือไม่ ผมกับ ส.ก.ทั้ง 2 พรรคก็จับมือกันออกข้อบัญญัติ 2 ข้อ ให้ผู้ว่าฯ กทม.ใช้เงินสะสมเพื่อเยียวยาคน กทม.ไปก่อน แสดงให้เห็นว่าผมกับ ส.ก.ร่วมมือกันอย่างดี คุ้นเคยกับ ส.ก. คุ้ยเคยกับข้าราชการ เพราะเราผ่านไฟ ผ่านน้ำมาด้วยกัน เราคุ้นเคย ใกล้ชิดซึ่งกันและกัน ไว้เนื้อเชื่อใจกันและกัน ดังนั้นถ้ากลับเข้าไปก็ไม่มีรอยต่อครับ (หัวเราะ) ไร้รอยต่อ...
การทำงานในฐานะผู้บริหารมักจะมีเสียงวิจารณ์ ไม่ว่าจะตามหน้าสื่อ ใน social media ในร้านกาแฟ ตามที่ต่างๆ มีเสียงวิจารณ์ไหนที่อยากอธิบายมากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องบุคลิกภาพ
คือผมพร้อมจะอธิบายทุกอย่าง และได้อธิบายไปส่วนใหญ่ ส่วนสื่อจะลงให้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ทุกครั้งที่จำเป็นต้องอธิบาย ผมก็อธิบาย ผมไม่ติดใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ (จะชี้แจงทุกครั้งที่จำเป็น) ก็พร้อมเสนอ
เขาว่าคุณชายเป็นคนที่เข้าถึงยากจริงแ่ไหน
(ตอบทันที) ไม่จริงครับ ประตูห้องทำงานผมไม่เคยปิด ยกเว้นต้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้าถึงง่าย ไม่มีปัญหาอะไร
การเป็นนักเรียนนอก และเป็น “หม่อมราชวงศ์” จะทำให้ผู้ลงคะแนนรู้สึกห่างเหินหรือเปล่า
ถ้าคนได้สัมผัสผม จะไม่รู้สึกว่าห่างเหิน หรือว่าเข้าถึงไม่ได้ คนที่ได้สัมผัสผม จะรู้ว่าผมก็เหมือนสามัญชนทั่วไป เพราะพ่อแม่ก็สอนให้ผมอยู่แบบสามัญชน
รูปรอยการใช้ชีวิตจะทำให้เข้าถึงคน กทม.ที่มีความแตกต่างหลากหลายได้แค่ไหน เช่นเคยกินก๋วยเตี๋ยวข้างทางไหม ขึ้นรถไฟฟ้า ดูหนังที่โรงหนัง ฯลฯ
ผมก็ทำบ่อยไป ขึ้นบีทีเอส ไปซื้อของที่ห้าง เหมือนกับคนธรรมดา ไม่ได้มีวิถีชีวิตต่างจากคนธรรมดา บางทีไปงานไม่ทันก็กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ช่วงหลังๆ ต้องพกหมวกกันน็อคไว้ในรถ เพราะต้องขึ้นมอเตอร์ไซค์รับจ้างบ่อย (ยิ้ม)
เท่าที่ไปสัมผัสมา คน กทม.อยากให้ผู้ว่าฯเข้ามาแก้ไขปัญหาอะไรมากที่สุด
ความปลอดภัย จราจร และวิถีชีวิต เช่น ขยะ มลภาวะ ซึ่งมีนโยบายอยู่แล้ว แต่ยังไงปัญหาเมืองมันไม่มีทางสิ้นสุดใน 1-2 ปีหรอกครับ มันต้องทำอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาทุกอย่างก็ลงตัวในระดับหนึ่ง มิเช่นนั้น กทม.คงไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเมืองน่าท่องเที่ยวถึง 3 ปีซ้อน ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านวิกฤตมาทั้ง 3 ปี

ในทางการเมือง “ความเก๋า” ถือเป็นแต้มต่อหรือข้อเสียเปรียบ
คำตอบจะออกมาวันที่ 3 มี.ค.นี้ บางทีก็ได้เปรียบ บางทีก็เสียเปรียบ แต่ที่ชีวิตทางการเมืองที่ผ่านมาเกือบ 20 ปีให้ผมกับก็คือ อย่าตื่นตระหนก อย่าประมาท ถ้าโพลล์ออกมาดีก็อย่าคิดว่าเราชนะแล้ว ถ้าออกมาไม่ดีก็อย่าคิดว่าเราแพ้ ในช่วงเลือกตั้งคนจะตื่นตระหนกง่าย บางทีพวกหัวคะแนน ลูกน้อง ทีมงาน ก็จะบอกว่า โอ้ย แย่แล้ว โพลล์ออกมาไม่ดี เขาวิพากษ์วิจารณ์อย่างนี้ แต่ผมจะนิ่ง ไม่ตื่นตระหนก แต่บางทีทีมงานดีใจ บอก โอ้ โพลล์ออกมาดีแล้ว นอนมาแล้ว ผมก็จะพูดเตือนว่าไม่ใช่นอนมาแล้ว ให้พระเดินนำหน้า
เราต้องนิ่งในการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการเลือกตั้งซึ่งยาก อย่างการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะตื่นตระหนกไม่ได้ หรือจะเต้นตามจังหวะที่เขาเคาะให้เราเต้นตามไม่ได้
เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งแรกกับครั้งนี้ อันไหนยากกว่ากัน
ครั้งที่แล้วมันเหมือนกับเป็นเรื่องฉุกเฉิน ผมมีเวลาตัดสินใจที่จะแสดงความจำนงแค่ 3 ชั่วโมงครึ่ง ดังนั้นมันกะทันหันมาก แล้วนโยบายที่ผมนำเสนอก็เป็นนโยบายเดิม ผมก็เหมือนลุยแบบลื่นไถลไปเรื่อยๆ เหมือนกับลอยตามน้ำไป เพราะทุกอย่างมันฉุกละหุกกะทันหัน ผมก็ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก ปุ๊บเดียวก็เลือกตั้งแล้ว แต่คราวนี้มันไม่ใช่ มันมีเวลา เราทำงานมาระยะหนึ่งแล้ว ก็รู้ว่าควรจะสานต่อในเรื่องใด นำเสนอใหม่ในเรื่องใด เรามีเวลาคิด มีเวลาประเมินว่าควรจะเสนอยังไง ในครั้งนี้มันจึงมีการเตรียมการมากกว่าคราวที่แล้ว
แต่พร้อมไม่ได้หมายความว่าจะชนะ มันคนละเรื่องกัน แต่ถามว่าผมพร้อมจะนำเสนอสิ่งดีๆ หรือไม่ พร้อมเรื่องข้อมูลหรือไม่ พร้อมเรื่องประสบการณ์หรือไม่ พร้อมเรื่องความคุ้นเคยกับสิ่งต่างๆหรือไม่ พร้อมกว่าคราวที่แล้วมากมาย คนละเรื่องกันเลยครับ
การที่ต้องมาป้องกันตำแหน่งกับคู่แข่งซึ่งไล่หลังมาทำให้รู้สึกเสียวสันหลังบ้างหรือไม่
ผมไม่เอาเรื่องเหล่านี้มาใส่ใจ ผมอยากชนะนะครับ ไม่ได้ลงเพื่อแพ้ แต่ถ้าพี่น้องประชาชนจะตัดสินใจในทางอื่น ผมก็ยอมรับ แล้วก็ถ้าผู้ชนะสามารถทำให้คนกทม.มีชีวิตที่สะดวกสบาย ดีในทุกทาง คนแรกที่จะปรบมือคือผม เพราะผมก็เป็นคน กทม.เหมือนกัน หลังจากนั้นผมก็จะไปหาอย่างอื่นทำ ไม่เป็นไร เพราะชีวิตนี้ผมก็อุทิศให้สังคมอยู่แล้ว ถ้าเป็นผู้ว่าฯกทม.ไม่ได้ ผมก็อุทิศให้กับสังคมในทางอื่น
เดิมพันการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้คือถ้าแพ้จะเลิกเล่นการเมือง
ก็ต้องดุว่ามีอะไรทำบ้าง จะกลับมาเป็น สส.เลย ก็ไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะไม่มีการเลือกตั้ง นอกจาก ดร.รัชดา (ธนาดิเรก ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ) จะลาออก ให้ผมลงแทน (ยิ้ม)
แต่ยังไม่เลิก?
ถ้าสภาฯยังไม่ยุบในอีก 2 ปีข้างหน้า ผมอาจจะมีอย่างอื่นทำก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือผมได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่เรียนหนังสือแล้วว่า ผมจะรับใช้สังคม แทนคุณแผ่นดิน และในช่วงเวลาเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยรับเงินเดือนภาคเอกชนเลย เมื่อผมได้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะรับใช้สังคม ก็ทำงานประจำเป็นข้าราชการ ถึง 17 ปี ถ้าไม่เป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ผมก็อาจจะทำงานสังคม ทำมูลนิธิ ซึ่งไม่เกี่ยวกับการทำงานให้กับเอกชน
รัฐบาลมาจากพรรคหนึ่ง แต่คุณสุขุมพันธุ์มาจากอีกพรรค จะเป็นอุปสรรคในการหาเสียงไหม เพราะอีกพรรคชูว่า ถ้ามาจากพรรคเดียวกัน จะทำงานด้วยกันได้ง่าย
ถ้ารัฐบาลกลางและท้องถิ่นมีเจตนาดีที่จะรับใช้พี่น้อง กทม. ปัญหามันก็ไม่เกิดขึ้น ใครจะมาจากพรรคไหนมันก็ไม่สำคัญ มันเป็นบทพิสูจน์ของทั้ง 2 ฝ่าย ของผู้ว่าฯ กทม.ว่าจะทำงานกับรัฐบาลได้ไหม หรือจะทำตัวเป็นฝ่ายค้านวิจารณ์รัฐบาลตลอดเวลา เป็นบทพิสูจน์ของรัฐบาลด้วย ว่าจำเป็นด้วยหรือที่ผู้ว่าฯ กทม.จะต้องพรรคเดียวกัน ไหนบอกว่าจะทำเพื่อคนกทม. ถ้าผู้ว่าฯคนละพรรคจะไม่สนับสนุน ก็แปลว่าไม่ได้ทำเพื่อคนกทม. แต่ทำเพื่อตัวเอง ดังนั้นผมไม่ค่อยเป็นห่วง อารยะประเทศเขาเข้าใจ ว่าบางทีผลประโยชน์ของส่วนกลางกับของท้องถิ่น มันไม่เหมือนกันทุกครั้งไป
เมื่อหลักการมันเป็นอย่างนี้ ผู้ที่เป็นผู้ว่าฯ กทม.จะเป็นใคร มาจากพรรคไหน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ ซึ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมก็ชัดเจนว่าไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาทะเลาะกับใคร ประสานงานได้ แต่เมื่อถึงเวลาที่ผมคิดว่าจุดยืนของรัฐบาลอาจจะทำให้เกิดความเสียหายกับคน กทม. ผมก็พูดแทนพี่น้องประชาชน มีคนในรัฐบาลบอกว่าจะใช้ กทม.เป็นฟลัดเวย์ ผมก็บอกว่า ไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดความสูญเสีย แล้วรัฐบาลท่านก็ดี เพราะท่านฟังผม
นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนกลางกับส่วนท้องถิ่น อาจจะมีผลประโยชน์ไม่ตรงกัน ดังนั้นจึงต้องมีการคานกันบ้าง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าจำเป็นที่รัฐบาลกับกทม.ต้องมาจากพรรคเดียวกัน ก็กลับไปเป็นระบบเดิมไม่ดีกว่าเหรอครับ มีผู้ว่าฯกทม.มาจากการแต่งตั้ง เหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่พอใจ ปลดเลย ย้ายเลย
สโลแกน “เรารักกทม.” มาอย่างไร ทำไมต้องเป็นคำนี้
ก็ช่วยกันคิดกับทีมงาน แล้วมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะ 4 ปีที่ผ่านมา คนกทม.จะได้เห็นว่าผมรักกทม.อย่างหวงแหน และเป็นที่ประจักษ์ว่าความรักกทม.ของคนกทม.ยิ่งใหญ่มาก มิเช่นนั้นเราคงไม่ฟื้นเร็วขนาดนั้น ถ้าเรามีความรักเป็นทุน เราเดินหน้าต่อไปด้วยกันได้ เราสร้างความปรองดองได้ เราจับมือกันร่วมสร้างกทม.ได้
ทำไมถึงใช้อารมณ์ความรู้สึก เช่น ความรัก ในเป็นสโลแกนในการหาเสียง แล้วจะแปลเป็นคะแนนเสียงได้อย่างไร
มันเป็นจริง เพราะถ้าคนกทม.ไม่รักกทม. กทม.คงไม่ฟื้นเร็วอย่างที่เห็น เมื่อรักอะไร ก็ต้องร่วมสร้างสิ่งนั้นด้วยกัน
เหมือนจะบอกเป็นนัยว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้รัก กทม.เท่าเรา
ก็ต้องตีความกันเองครับ คุณพงศพัศพูดเรื่องคืนรอยยิ้ม ก็แปลว่าผมคืนรอยยิ้มไม่ได้ใช่มั้ยครับ เมื่อ 4 ปีที่แล้วผมก็พูดถึงคืนรอยยิ้มเหมือนกัน แล้วแต่ตีความ
คน กทม.อาจจะรัก กทม.แต่ไม่เลือกสุขุมพันธุ์ รับได้ไหม
ได้ครับ ผมก็รัก กทม.พอที่จะยอมรับ แล้วถ้าผู้ชนะที่ไม่ได้ผม ทำให้คนกทม.มีชีวิตที่ดีขึ้น ผมเป็นคนแรกที่จะปรบมือ
*****
