ประชาชนได้อะไรจากการนิรโทษกรรม….ในวันนี้?

ลองพยายามทำใจเป็นกลางคิดว่า ถ้าทุกคนในบ้านเมืองอยากได้สิ่งนี้ เราก็ต้องฝืนใจยอมรับ และถ้าสิ่งนี้มันดีกับบ้านเมืองจริง เราก็จะยอมรับด้วยความเต็มใจ แต่จนถึงวันนี้ ไม่อาจเข้าใจว่า การนิรโทษกรรมในตอนนี้ มันจะดีกับบ้านเมืองและให้หลักประกันความปลอดภัยแก่ลูกหลานของเราในอนาคตได้อย่างไร ในเมื่อเรายังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนจากการสูญเสียร่วมกันเลย...
ในเมื่อ ยังมีคนไม่รู้ตัวว่าทำผิดอีกจำนวนมาก ในเมื่อยังมีคนผิดที่ไม่ยอมรับผิดและไม่หลาบจำในความผิดของตนอีกจำนวนมาก(แถมยังพร้อมจะย้อนกลับมาทำผิดอีก) และในเมื่อยังมีฆาตกรกรที่ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเดินลอยนวลอยู่ในสังคมอีกมาก การนิรโทษกรรมในวันนี้ จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใด?
ดิฉันเข้าใจความทุกข์ยากของพี่น้องเสื้อแดงว่ามีชีวิตที่ยากลำบากอยู่ในคุก แต่ท่านรู้ไหมว่าพวกท่านโชคดีกว่าสามีของดิฉันที่ไม่มีโอกาสเรียกร้องอะไร เพราะว่าเขา "ตาย" เจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตเดินเข้าสู่สมรภูมิด้วยหน้าที่ แต่ผู้ชุมนุมเดินเข้าสู่พื้นที่ประกาศห้ามด้วยความสมัครใจ-ด้วยความเต็มใจที่จะฝ่าฝืนท้าทายกฎหมายของบ้านเมือง แต่วันนี้นับว่าพวกท่านโชคดีนักที่ยังมีสิทธิได้รับการประกันตัว ยังมีโอกาสเรียกร้องขอ "อิสระภาพ" ในขณะที่ดิฉันก็อยากเรียกร้องขอ "ชีวิต" ของสามีคืนเป็นข้อแลกเปลี่ยน ถ้าท่านให้คืนได้ ดิฉันยินดียอมรับการนิรโทษกรรมโดยไม่มีเงื่อนไขข้อแม้ แต่ถ้าท่านให้ชีวิตของสามีดิฉันคืนไม่ได้ ก็ขอแลกด้วยเงื่อนไข-คำมั่นสัญญาของความเป็นคนว่า ท่านจะไม่ทำผิดฝ่าฝืนกฎหมายทำร้ายบ้านเมืองอีก และถ้าทำผิดอีกจะไม่มีโอกาสซ้ำสอง แค่นี้เอง...ความจริงแล้วมันไม่ยุติธรรมกับความตายของเจ้าหน้าที่รัฐเลย เพราะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 การฆ่าพนักงานซึ่งกระทำตามหน้าที่ ต้องมีโทษถึงประหารชีวิต
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 ก่อนที่กำลังเจ้าหน้าที่ทหารจะเริ่มเข้าควบคุมสถานการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จำกันได้หรือไม่ว่าเหตุการณ์ในกรุงเทพมหานครก่อตัวรุนแรงมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 (ไม่นับการชุมนุมในปี 2552 ที่มีการยึดรถแก๊ส เผายาง เผารถยนต์ให้พี่น้องชาวดินแดงหวาดกลัว) มีการชุมนุมและเหตุการณ์ยิงระเบิดตามสถานที่สำคัญและสถานที่สาธารณะมาเรื่อยๆ จนวันที่ 9 มี.ค2553 รัฐบาลจึงประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง แต่สถานการณ์ก็ยังทวีความรุนแรงตลอดเดือนมีนาคม โดยเฉพาะในช่วงปลายเดือนมีการยิงระเบิด-ไฟไหม้ แทบทุกวัน ผู้คนในกรุงเทพฯ หวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้านเพราะอาจโดนระเบิดหรือโดนลูกหลงได้ทุกที่-ทุกเมื่อ คนกรุงเทพฯที่บ้านอยู่ในโซนปิดถนน เผายาง ก็ต้องอพยพพาคนแก่หนีกันโกลาหล กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองมิคสัญญี ราชการประกาศเป็นวันหยุดวันต่อวัน จนในที่สุดนำไปสู่การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งเป็นช่วงสถานการณ์วิกฤติจนเกิดเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จากรายงานข้อเท็จจริงของ คอป.ระบุว่า ในวันที่ 10 เม.ย.2553 ช่วงเวลาเย็น ยังคงมีคำสั่งไม่ให้ทหารใช้กำลังและอาวุธ จนกระทั่งเวลา 20.30 น.
หลังจากทหารถูกยิงตายไป 5 คนและบาดเจ็บกว่า 300 คน จึงได้มีคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธในกรณีที่จำเป็นเพื่อป้องกันตนเองและประชาชนผู้บริสุทธิ์
หากทหารใช้อาวุธจริงก่อนหน้านี้ คงไม่ตายและบาดเจ็บถึง 300 กว่าคน และเมื่อทหารเป็นฝ่ายถูกกระทำก่อน ทหารไม่มีสิทธิในการป้องกันชีวิตตนเองบ้างหรือ ทหารก็เป็นคนเหมือนกัน ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ระเบิด-ใช้อาวุธยิงทหาร หมายจะเอาชีวิต จะให้ทหารสู้ด้วยมือเปล่าหรือ? ก็เพราะยืนนิ่งให้เขาทำร้ายมิใช่หรือ ทหารถึงได้ตายบาดเจ็บพิการกันมากขนาดนั้น
หากผู้ชุมนุมเคารพกฏหมาย ไม่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯและชุมนุมด้วยความสงบสันติ ทหารก็คงไม่ต้องถูกเรียกมา และพลเอกร่มเกล้า ก็คงไม่ตาย แต่ภาพในวันนั้น หลังจากประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เม.ย. แล้วพี่น้องเสื้อแดงก็ยังหลั่งไหลเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ อย่างไม่หวาดหวั่นกลัวต่อสิ่งใดเลย
ดิฉันเชื่อว่ามีพี่น้องเสื้อแดงหลายคนไม่ได้มีเจตนาจะใช้ความรุนแรง แต่การที่ท่านฝ่าฝืน พ.ร.ก. หลั่งไหลเดินทางมารวมตัวกันเพื่อเป็นโล่ห์มนุษย์ให้อาชญากรในวันนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติการนำความสงบคืนสู่กรุงเทพมหานครด้วยความระมัดระวังยากลำบาก เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของ พี่น้องประชาชน จนทำให้ในที่สุดเจ้าหน้าที่ต้องตายเสียเอง พี่น้องเสื้อแดงตกเป็นเครื่องมือของผู้เจตนา ไม่บริสุทธิ์ คนที่เริ่มใช้ความรุนแรงในการชุมนุมครั้งนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้พี่น้องเสื้อแดงต้องโดนคดีติดคุก เราจึงควรช่วยกันหาตัวคนผิดเหล่านั้น และก็ต้องไม่ลืมว่าบรรดาแกนนำประกาศชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นจะรับผิดชอบเอง บัดนี้จึงถึงเวลาที่เขาควรจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อพี่น้องตามที่เขาได้ประกาศไว้เสียที
การชุมนุมในระบอบประชาธิปไตยนั้นทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย บ้านเมืองนี้มิใช่ของใคร ที่จะทำอะไรตามอำเภอใจตนเองได้โดยไม่เคารพกฎหมาย ดังนั้น เพื่อสร้างบรรทัดฐานของความยุติธรรมตามหลักนิติรัฐของสังคม ดิฉันจึงปรารถนาให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปตามกลไกที่ควรจะเป็น (อย่างเป็นธรรม) จนเมื่อบรรยากาศปรองดองเริ่มเกิดขึ้น สังคมจึงหันมาคุยกันถึงเรื่องการ นิรโทษกรรม โดยในระหว่างนั้น เพื่อเห็นแก่เมตตาธรรม พี่น้องเสื้อแดงก็ยังมีโอกาสที่จะได้รับสิทธิในการประกันตัวไป แต่ความหวังนี้ คงเป็นไปไม่ได้ในยุคนี้ ยุคที่ผู้บริหารประเทศขาดมโนธรรมสำนึก ใช้เล่ห์กลกับประชาชนของตนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมและความรู้สึกของประชาชน ดิฉันจึงมิอาจคาดหวังมากไปกว่านี้ได้ เพียงแต่ขอใช้สิทธิในฐานะผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์โดยตรง ร้องขอเงื่อนไขหากมีการนิรโทษกรรมดังนี้
ข้อเสนอ/เงื่อนไขการนิรโทษกรรม
1. หากมีการเร่งนิรโทษกรรมผู้ฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องไม่ครอบคลุมถึงผู้ทำผิดคดีอาญา คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นอกจากนี้ กระบวนการยุติธรรมเพื่อหาตัวผู้กระทำความผิดคดีอาญาและคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพดังกล่าวจะต้องดำเนินอยู่ต่อไป
2. หากจะมีการนิรโทษกรรมให้แก่ประชาชนผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่เข้าร่วมชุมนุมโดยมิได้ใช้ความรุนแรงหรือมีส่วนในการทำความผิดคดีอาญา/คดีหมิ่นฯต้องนิรโทษกรรมอย่างมีเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
2.1) ผู้ที่จะได้รับนิรโทษกรรมต้องยอมรับว่าตนได้ละเมิดกฎหมาย ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีการทำทัณฑ์บนว่าจะไม่เข้าร่วมการชุมนุมที่ละเมิดฝ่าฝืนกฎหมายอีก
2.2) ผู้ที่จะได้รับนิรโทษกรรมต้องเปิดเผยข้อมูล-ความจริงของเหตุการณ์ใช้ความรุนแรง แก่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง หรือ คณะกรรมการชุดอื่นที่มีความเป็นกลาง ปราศจากการแทรกแซง ซึ่งมีการแต่งตั้งขึ้นเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ให้สมบูรณ์เติมเต็มจากรายงานข้อเท็จจริงของ คอป.
(โปรดศึกษาตัวอย่างความสำเร็จของกรณีการสร้างความปรองดองของสาธารณรัฐ แอฟริกาใต้ ซึ่งอยู่บนรากฐานของการค้นหาความจริง โดยประธานาธิบดีแต่งตั้งคณะกรรมการนิรโทษกรรมขึ้นมาพิจารณาองค์ประกอบของผู้ที่จะได้รับนิรโทษกรรม ที่ต้องยอมเปิดเผยความจริง ที่สำคัญคือ ประธาธิบดีเนลสัน แมนเดลา เป็นผู้นำที่มีความ
จริงใจและมีความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทุกฝ่าย)
3. รัฐบาลและหน่วยงานรัฐที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชน ต้องไม่พยายามทำให้สังคมหลงประเด็นว่า การนิรโทษกรรมหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือการปรองดอง เพราะการนิรโทษกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปรองดองเท่านั้น และพึงทำเมื่อบริบทสังคมมีความพร้อม เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย แต่ในกรณีของไทย ยังมีขั้นตอนกระบวนการปรองดองอีกมากซึ่งสังคมไทยยังไม่ผ่านขั้นตอนเหล่านั้น ยังไม่เกิดการเรียนรู้บทเรียนร่วมกัน สังคมไทยไม่มีวันปรองดองกันได้ ตราบใดที่ผู้ชนะยังใช้อำนาจความได้เปรียบที่ตนมีอยู่ในมือ กดขี่-ข่มเหง-รังแกฝ่ายตรงข้าม หรือใช้หลัก "ความยุติธรรมของผู้ชนะ"เฉกเช่นที่เรารู้สึกกันอยู่ทุกวันนี้
4. ขอให้นายกรัฐมนตรีประกาศแผนการสร้างความปรองดองของคนในชาติให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะชี้แจงขั้นตอนการปรองดองที่จำเป็น ดังนี้
4.1) การค้นหาข้อเท็จจริง – รัฐบาลมีผลสรุปว่าอย่างไร จะทำอย่างไรกับความจริงของเหตุการณ์ที่ยังมีข้อขัดแย้งกันอยู่ จะทิ้งไว้ให้เป็นข้อกังขาเช่นนี้หรือ นายกรัฐมนตรีตอบสักคำได้หรือไม่ว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นไปอย่างสงบสันติหรือฝ่าฝืนกฎหมาย? แล้วจะทำอย่างไรกับข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการใช้ความรุนแรงในอนาคต ตามมาตรการต่างๆ ที่ คอป.ได้เสนอไว้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2555 สิ่งนี้จำเป็นต้องใช้ political will ไม่ใช่มอบหมายให้ข้าราชการประจำรับไปทำ และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ เลย
เรื่องนี้ต้องขอพูดซ้ำๆ เพราะเชื่อว่าถ้าพรุ่งนี้มีม๊อบอีก ก็คงต้องล้มตายกันอีก (โดยเฉพาะถ้าเป็นการชุมนุมของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เช่นม๊อบเสธอ้ายเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 55 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า สถานที่เดียวกัน ทำไมจึงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากม๊อบของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 29 ม.ค.56 ราวฟ้ากับดิน)
4.2) กระบวนการยุติธรรม – ขอหลักประกันจากนายกรัฐมนตรีว่าหน่วยงานของรัฐจะดำเนินการด้วยความโปร่งใส เป็นธรรม คดีของพลเอกร่มเกล้า ไม่เคยได้รับคำอธิบายใดๆ จาก ดีเอสไอ ยกเว้นครั้งเดียวที่ รมว.ยุติธรรมส่งเอกสารมาให้ระบุว่า "ยังไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำความผิดได้" ดิฉันตะโกนถามผ่านสื่อไปหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีคำตอบจาก DSI เลยสักครั้ง
4.3) การเยียวยา – หากภายหลังการสอบสวนพบว่าผู้ได้รับเงินเยียวยาเป็นผู้กระทำ ความผิด จะมีมาตรการอย่างใด เพราะโดยหลักการผู้ได้รับเงินเยียวยาต้องไม่ใช่ผู้กระทำความผิด
4.4) การสานเสวนา ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการอยู่ในขณะนี้รัฐบาลต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง และเมื่อ ได้ข้อสรุปแล้ว รัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะรอนำผลสรุปของการสานเสวนารับฟังความคิดเห็นของประชาชน มาประกอบการพิจารณาเรื่องการนิรโทษกรรม การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฯลฯ รวมถึงเรื่องต่างๆ ที่โยงกับการปรองดองอย่างไร มิฉะนั้นแล้วจะเสียงบประมาณเกือบร้อยล้านบาททำไปเพื่ออะไร และหากให้เกียรติเสียงประชาชน กลไกฝ่ายต่างๆ ของพรรครัฐบาลก็ต้องหยุดรอฟังเสียงประชาชนก่อนที่จะไปดำเนินการใดๆ รวมถึงการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภา
อันที่จริงแล้ว รัฐบาลควรหันไปเร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน โดยหยุดสร้างประเด็นร้อนๆ ที่มีแต่จะสร้างความขัดแย้งมากกว่าปรองดอง(หากนายกรัฐมนตรีเชื่อผลโพลล์ โปรดลองกลับไปดูผลสำรวจความต้องการของประชาชนว่าไม่ได้ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ)
4.5) เพื่อเป็นหลักประกันไม่ให้มีการชุมนุมเกินขอบเขตในอนาคต ขอให้มีการเสนอร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการชุมนุม เพื่อควบคุมการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบสันติตามแบบอย่างนานาประเทศ
ดิฉันรู้ตัวว่าเป็นเพียงเสียงเล็กๆ เสียงเดียวที่ไม่มีความหมาย จะพูดไปใยกี่ครั้งกี่หนก็เท่านั้น แต่ก็จำเป็นต้องส่งเสียงสะท้อนของคนกลุ่มหนึ่ง ไปถึงใครก็ตามที่คิดว่ารักชาติรักแผ่นดิน ขอให้ละวางประโยชน์ส่วนตัวและนึกถึงอนาคตของลูกหลานที่รักของท่านไว้บ้าง
หากรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรึมีความจริงใจที่จะปรองดองจริง ก็ต้องตอบคำถามเหล่านี้แก่ประชาชนของท่านได้ มิฉะนั้นเราก็ก้าวผ่านขั้นตอนปรองดองของคนในชาติกันไม่ได้ ที่ผ่านมารัฐบาลทำเสมือนว่าแตะทุกขั้นตอน แต่ทำสลับขั้นตอนและก็สักแต่ว่าทำเพื่อให้ครบกระบวนการเท่านั้นเอง เช่นค้นหาข้อเท็จจริงแล้ว แต่ได้ข้อเท็จจริงมาก็ไม่สนใจเนื้อหา โยนรายงานทิ้ง เดินหน้าตามเกมส์ต่อไป เป็นต้น
ดิฉันไม่ได้ใจแคบปฏิเสธการนิรโทษกรรมหากเป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม (แม้มันจะแลกด้วยชีวิตของสามีที่ไม่มีวันเรียกคืนมาได้) แต่อยากย้ำว่าการนิรโทษกรรมง่ายๆ ในตอนนี้ มันไม่ได้ช่วยป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับลูกหลานของเราในอนาคต มีเพื่อนผู้พิพากษาท่านหนึ่ง พูดได้โดนใจว่า ทุกฝ่ายได้ประโยชน์จากการนิรโทษกรรมครั้งนี้ ยกเว้นสองฝ่ายคือ (1)คนตาย และ (2)ประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร... เราคือผู้ที่ต้องแบกรับกรรมนี้ไว้ และก็ไม่มีใครเขาสนใจความรู้สึกของเรา
