จดทะเบียนคู่ชีวิต (สมรส)“ชายกับชาย- หญิงกับหญิง” สังคมไทยยอมรับความจริงได้หรือยัง?
“ขณะนี้มีหลายประเทศในโลก ที่มีกฎหมายรับรองการจดทะเบียนคู่ชีวิตให้กับกลุ่มคนรักร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็น เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สเปน เป็นต้น ซึ่งหากไทย ทำได้สำเร็จจะเป็นการยกระดับเรื่องสิทธิเสรีภาพให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น”

“ผมกำลังจะบอกว่า คนเรา เรื่อง ยีน-โครโมโซม มันห้ามไม่ได้ มันบังคับกัน ไม่ได้ ...คนๆ นี้ แม้จะเกิดมาเป็นผู้ชาย ถ้าใจเขา ยีนเขา โครโมโซมเขา มันเป็นหญิง เขาจะเป็นหญิง เราจะไปห้ามเขาไม่ให้เป็นมันก็ไม่ได้”
นี่ คือ มุมมองและแนวคิดของ นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะทำงานพิจารณาศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิ ของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่กล่าวต่อผู้เข้าร่วมเสวนาทางวิชาการกว่า 200 คน เพื่อรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับ (ร่าง) พระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. ....
ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม , คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร และคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัจันทรเกษม เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา
นายวิรัตน์ กล่าวยืนยันว่า “กฎหมายการจดทะเบียนคู่ชีวิต จะให้สิทธิกับ กลุ่มคนรักรวมเพศ ไม่ว่าจะเป็นชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง ให้เท่าเทียมกับ กฎหมายการจดทะเบียนสมรส ระหว่าง ชายกับหญิง ทุกประการ กฎหมายจดทะเบียนสมรสให้อะไร กฎหมายจดทะเบียนคู่ชีวิตจะให้แบบนั้น”
ก่อนจะอธิบาย ถึงที่มาที่ไปของร่างกฎหมายฉบับนี้ ให้ผู้เข้าร่วมเสวนา ได้รับฟังว่า ที่มาของกฎหมายฉบับนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากชายหนุ่มคู่หนึ่ง จูงมือกันไปจดทะเบียนสมรส ที่อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง แต่เจ้าหน้าที่อำเภอไม่รับจดทะเบียน เนื่องจากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้กำหนดให้ เพศชายและเพศหญิงเท่านั้น ที่สามารถจดทะเบียนได้
นอกจากนี้ยังมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ระบุให้นับความเป็นชายและหญิง จากเพศตั้งแต่กำเนิด ชายหนุ่มคู่นี้ จึงเรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ เร่งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เขายังเล่าด้วยว่า ชายหนุ่มคู่นี้ ไปยื่นเรื่องมาหลายหน่วยงาน รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย แต่ก็ไม่มีหน่วยงานไหนช่วยได้ เพราะมีเรื่องกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สุดท้ายเมื่อเรื่องเดินทางมาถึง คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีพลตำรวจเอกวิรุฬห์ พื้นแสน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน
แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จึงเกิดขึ้น !!
“ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่า พลตำรวจเอกวิรุฬห์ จะรับเรื่องนี้มาพิจารณานะ เพราะอายุท่านก็มากแล้ว เลยตัวเลข 40 ไปแล้ว ซึ่งปกติ กลุ่มคนที่มีอายุประมาณนี้ จะรับไม่ค่อยได้กับเรื่องกลุ่มคนรักร่วมเพศ แต่ท่านก็รับ และตั้งผมขึ้นมาเป็นประธานทำงานศึกษาข้อกฎหมายในเรื่องนี้ทันที”
นายวิรัตน์ กล่าวว่า หลังได้รับมอบภารกิจดังกล่าว ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาช่วยกันดูร่างกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากอัยการ ผู้พิพากษา ก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี จนกระทั่งได้ร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมา ใช้เวลาแค่ 1 เดือนกว่าๆ เท่านั้น
“ในการดำเนินงานเรื่องนี้ เราได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ จำนวนมาก ให้การสนับสนุนเต็มที ตอนนี้ เราร่างกฎหมายเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาที่คนในสังคมจะตัดสินว่าจะเอาอย่างไง จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
นายวิรัตน์ ยังย้ำถึงความสำคัญของเนื้อหาในร่างกฎหมายฉบับนี้ว่า ที่ผ่านมา กลุ่มคนรักร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็นชายกับชาย หรือหญิงกับหญิง มักจะมีปัญหาในเรื่องสิทธิหลายอย่างที่ไม่สามารถดำเนินการได้ โดยเฉพาะสิทธิเรื่องทรัพย์สิน ร่วมกัน เมื่ออีกอีกฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่ได้รับอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษี การประกันชีวิต หรือการรับรองบุตรบุญธรรม
“ถ้าหากกฎหมายจดทะเบียนคู่ชีวิต เกิดขึ้นมาได้จริง อุปสรรคที่เคยเกิดขึ้นจะหมดไป พวกเขาก็จะมีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่น แต่การที่จะจดทะเบียนคู่สมรส กันได้ ก็จะมีเงื่อนไขกำกับไว้ เช่น ต้องอายุเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด และต้องใช้ชีวิตคู่กันมาสักระยะหนึ่งแล้ว”
ประธานคณะกรรมการร่างกฎหมายจดทะเบียนคู่สมรส กล่าวย้ำว่า กฎหมายฉบับนี้ จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ตอนนี้ ความสำคัญอยู่ที่เรื่องความเข้าใจของคนในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีอายุ ถ้าเราสามารถอธิบายพูดให้เขาเข้าใจได้ ตนเชื่อว่า กฎหมายฉบับนี้ จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

จากการตรวจสอบ(ร่าง) พระราชบัญญัติการจดทะเบียนคู่ชีวิต พ.ศ. .... พบว่า มีการระบุจำนวนข้อบังคับไว้ 15 มาตรา แบ่งออกเป็น 5 หมวดหลัก คือ 1. เงื่อนไขการจดทะเบียนคู่ชีวิต 2. ความสัมพันธ์ระหว่างคู่ชีวิต 3.ทรัพย์สินระหว่างคู่ชีวิต 4.การสิ้นสุดการเป็นคู่ชีวิต และ 5 .มรดก
กำหนดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รักษาการ
ทั้งนี้ ในมาตรา 3 กำหนดไว้ชัดเจนว่า “คู่ชีวิต” หมายความว่า บุคคลสองคนซึ่งเป็นเพศเดียวกัน และได้จดทะเบียน ส่วนการจดทะเบียน หมายความว่า การจดข้อความลงในทะเบียนเพื่อความสมบูรณ์ทางกฎหมาย
ขณะที่การจดทะเบียนคู่ชีวิตจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป และมีสัญชาติไทย หรือฝ่ายหนึ่งมีสัญชาติไทย และสามารถจดทะเบียนคู่ชีวิตในต่างประเทศได้ด้วย
คู่ชีวิตตามพระราชบัญญัตินี้ มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายเสมือนคู่สมรส ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และกฎหมายอื่น เช่น สิทธิในการใช้ชื่อสกุล สิทธิตามกฎหมายเกี่ยวกับการประกันภัยหรือประกันชีวิต สิทธิตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สิทธิตามกฎหมายประกันสังคม สิทธิในการลดหย่อนภาษี สิทธิของผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและสิทธิอื่นๆ ตามกฎหมาย
ส่วนการสิ้นสุดความเป็นคู่ชีวิต ได้แก่ ความตาย การสมัครใจเลิกกันโดยการจดทะเบียน หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน
พันตำรวจเอก ดร.ณรัชต์ เศวตนันท์ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า การจัดทำกฎหมายฉบับนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญ ของสังคมไทย ในการยกระดับเรื่องสิทธิเสรีภาพของคนในสังคม
“ขณะนี้มีหลายประเทศในโลก ที่มีกฎหมายรับรองการจดทะเบียนคู่ชีวิตให้กับกลุ่มคนรักร่วมเพศ ไม่ว่าจะเป็น เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม สเปน เป็นต้น ซึ่งหากไทย ทำได้สำเร็จจะเป็นการยกระดับเรื่องสิทธิเสรีภาพให้ทัดเทียมกับประเทศอื่น”
พลตำรวจเอก วิรุฬห์ พื้นแสน ประธาน กมธ. กฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน กล่าวย้ำว่า ตนให้การสนับสนุนเรื่องกฎหมายฉบับนี้อย่างเต็มที่ เพราะเล่งเห็นความสำคัญในเรื่องของสิทธิเสรีภาพ กลุ่มคนรักร่วมเพศ
“ปัจจุบันนี้ สังคมมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราต้องก้าวตามให้ทัน และเชื่อว่าถ้าหากกฎหมายฉบับนี้ เกิดขึ้นมาได้จริง กลุ่มคนรักร่วมเพศ ที่เคยปิดบังตัวเองอยู่ จะกล้าแสดงตัวออกมาสู่สังคม ได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนอีกต่อไป” พลตำรวจเอก วิรุฬห์ ระบุ
“การจัดเสวนาทางวิชาการเพื่อรับฟังความเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายฉบับนี้ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม ถือเป็นครั้งแรก หลังจากนี้ จะมีการเปิดเวทีอีก 3 ครั้ง คือ ที่ เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา ก่อนที่จะย้อนกลับมาเป็นเวทีอีกครั้งที่สภาฯ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนอย่างเป็นทางการต่อไป”
นี่คือ ที่มาที่ไปของกฎหมายร้อนๆ ว่าด้วยเรื่องสิทธิและเสรีภาพของกลุ่มคนรักร่วมเพศฉบับแรก ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองไทย
คำถามที่น่าสนใจคือ สังคมไทย พร้อมที่จะเปิดใจให้กว้างยอมรับความจริง ว่า โลกมันเปลี่ยนไป (ขนาดนี้) กันแล้วหรือยัง?
