บทความ (ที่ไม่จบ?) ของ เกษียร เตชะพีระ ในมติชน

(เกษียร เตชะพีระ - รูปจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์มติชน)
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. นายเกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Kasian Tejapira ว่า “ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา... หลังจากเขียนประจำที่มติชนรายวันทุกศุกร์มา 14 ปี ด้วยสาเหตุบางประการ ผมได้ตัดสินใจปิดคอลัมน์ในมติชนลงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สำหรับท่านผู้สนใจ บทความที่ไม่ได้นำลงสัปดาห์นี้เรื่อง "บรรหารบุรีใต้ร่มพระบารมี" สามารถเปิดดูได้จากลิงค์ด้านล่างนี้ https://dl.dropbox.com/u/98112122/Banharn-buri2.pdf”
ทั้งนี้ นายเกษียรเป็นคอลัมนิสต์ประจำหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน โดยบทความของนายเกษียรมักจะตีพิมพ์ในหน้า 6 ของหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ทุกวันศุกร์ แต่ในวันศุกร์นี้ (8 ก.พ.) กลับมีบทความของนายคณิน บุญสุวรรณ เรื่อง “วิธีไหนก็ได้เอาคนออกจากคุกเร็วที่สุด” มาแทนที่
สำหรับบทความสุดท้ายของนายเกษียรที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ก็คือ “อำนาจแห่งเอกลักษณ์: ลัทธิจังหวัดนิยมแบบบรรหารบุรี” ตีพิมพ์ไปเมื่อวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา
ส่วนบทความท้ายสุดของนายเกษียรที่ไม่ได้ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน เนื่องจากเจ้าตัวตัดสินใจ “ปิดคอลัมน์” ไปก่อน ด้วย “สาเหตุบางประการ” ตามที่แนบลิงก์ไว้บนเฟซบุ๊กส่วนตัว มีดังนี้
*****
“บรรหารบุรีใต้ร่มพระบารมี”
โดยเกษียร เตชะพีระ
ในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ลัทธิจังหวัดนิยมหรือเอกลักษณ์จังหวัดแบบบรรหารบุรีในหนังสือ Political Authority and Provincial Identity in Thailand: The Making of Banharn-buri (ค.ศ.2011) ดร.โยชิโนริ นิชิซากิ ได้ประยุกต์แนวคิดของ Katherine Verdery ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาแห่ง City University of New York ผู้ค้นพบจากการศึกษาลัทธิชาตินิยมในยุโรปตะวันออกหลังสิ้นสุดระบอบสังคมนิยมลงไปว่า มีเหตุปัจจัย 2 ประการที่เอื้อให้ลัทธิชาตินิยมรุ่งเรืองขึ้น ได้แก่มี “ฮีโร่” หรือคนดีศรีแผ่นดินปรากฏตัวขึ้น และคนทั่วไปรู้สึกร่วมกันว่าพวกตนตกเป็นเหยื่อถูกข่มเหงรังแกเอารัดเอาเปรียบและต้องทนทุกขลําเค็ญแสนสาหัส
นิชิซากิเห็นว่าเหตุปัจจัยทั้งสองก็มีในสุพรรณบุรีเช่นกัน กล่าวคือมีทั้งคุณบรรหารเป็นคนดีศรีสุพรรณฯและคนสุพรรณฯก็รู้สึกว่าถูกรัฐราชการส่วนกลางทอดทิ้งละเลยให้ลําบากล้าหลังไม่พัฒนาอยู่นานปี ฉะนั้นมันจึงเอื้ออํานวยให้ลัทธิจังหวัดนิยมแบบบรรหารบุรีรุ่งเรืองขึ้นได้ในทํานองเดียวกัน เพียงแต่ย่อส่วนลัทธินิยมเอกลักษณ์รวมหมู่จากปรากฏการณ์ระดับประเทศ (ชาตินิยม) ลงมาเป็นระดับจังหวัด (จังหวัดนิยม) แค่นั้นเอง
คําถามชวนคิดก็คือแล้วเอกลักษณ์ระดับจังหวัดหรือลัทธิจังหวัดนิยมในประเทศหนึ่งเชื่อมโยงสัมพันธ์ดํารงอยู่คู่กันอย่างไรกับเอกลักษณ์แห่งชาติหรือลัทธิชาตินิยมที่มีขอบเขตกินความใหญ่โตกว้างขวางครอบคลุมกว่าในประเทศนั้น ๆ เล่า?
จากกรณีศึกษาบรรหารบุรี นิชิซากิสรุปว่าการดํารงอยู่เคียงคู่สัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างเอกลักษณ์ระดับจังหวัดกับเอกลักษณ์แห่งชาติเป็นไปด้วยดีเมื่อเอกลักษณ์จังหวัดระมัดระวังจํากัดขอบเขต ไม่ก้าวล้ำก้ำเกินเอกลักษณ์แห่งชาติซึ่งมีสถาบันกษัตริย์เป็นแกนกลาง สรุปรวบยอดก็คือเอกลักษณ์จังหวัดนิยมแบบบรรหารบุรีอยู่ใต้ร่มพระบารมีราชาชาตินิยมอย่างราบรื่นกลมกลืนเรื่อยมา โดยตามรอยเบื้องพระยุคลบาทในแบบอย่างแนวทางพระราชอํานาจนําในการดูแลทุกข์สุข ทํานุบํารุงชีวิตความเป็นอยู่และรักษาความมั่นคงของพื้นที่และอาณาราษฎรชาวสุพรรณบุรี
อาทิเช่น เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2518 ได้มีการจัดพระราชพิธีเปิดโรงเรียนบรรหาร-แจ่มใส 3 ที่ก่อสร้างด้วยเงินอุดหนุนของคุณบรรหารขึ้นที่ อ.ด่านช้างซึ่งอยู่เหนือสุดและทุรกันดารที่สุดของสุพรรณบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้เสด็จพระราชดําเนินไปในพระราชพิธี ณ อ.ด่านช้างด้วยพระองค์เองเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าชาวอําเภอด่านช้างพากันมารับเสด็จด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ถึง 5-6 พันคน รวมทั้งชนชาติกะเหรี่ยงและโซ่งที่เป็นประชากรราวกึ่งหนึ่งของอําเภอด้วย
ในวโรกาสนี้คุณบรรหารได้ริเริ่มโครงการหลายอย่างเกี่ยวกับลูกเสือชาวบ้านขึ้นที่ อ.ด่านช้างด้วยโดยคุณหมอบัณฑิต เลขวัต รองผู้อํานวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช น้องเขยของคุณบรรหารและแกนนําลูกเสือชาวบ้านสุพรรณบุรีเป็นกําลังสําคัญ เนื่องจาก อ.ด่านช้างเป็นเขตชนชาติส่วนน้อยและทุรกันดารไกลปืนเที่ยงจึงกลายเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ พระราชพิธีนี้จึงเป็นโอกาสให้ราษฎรชาวด่านช้างได้รับเสด็จและชมพระบารมีองค์พระประมุขของชาติอย่างใกล้ชิดกว่าที่เคยมีมาแต่ก่อน คุณบรรหารยังได้ทูลเกล้าฯถวายเงิน 1 แสนบาทเพื่อสนับสนุนกิจกรรมลูกเสือชาวบ้านทั่วประเทศในครั้งนี้ด้วย หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของสุพรรณบุรีและสถานีวิทยุแห่งประเทศไทยได้รายงานข่าวพระราชพิธีครั้งนี้และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างครึกโครม
ชั่วสองสัปดาห์ให้หลัง ในวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2518 คุณบรรหารยังได้ร่วมกับสมาคมชาวสุพรรณบุรีจัดแสดงละครปลุกใจอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “เลือดสุพรรณ” ของหลวงวิจิตรวาทการขึ้นที่โรงละครแห่งชาติเพื่อสดุดีเกียรติประวัติความกล้าหาญและสามัคคีของชาวสุพรรณฯ ในการลุกขึ้นต่อต้านพม่าข้าศึกและพระวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่ทรงกระทํายุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาฝ่ายพม่า ณ หนองสาหร่าย สุพรรณบุรีในครั้งนั้น ละครเรื่องนี้เคยเป็นที่นิยมมากสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เรื้อร้างไปหลังสงคราม การรื้อฟื้นละครเรื่องนี้มาจัดแสดงใหม่ได้การสนับสนุนจากภรรยาม่ายของหลวงวิจิตรฯด้วย
เนื้อเรื่องและเพลงหลักของละครนี้สื่อสาระสําคัญทางการเมืองที่เกี่ยวร้อยลัทธิชาตินิยมไทยซึ่งมีพระมหากษัตริย์นักรบเป็นแก่นแกนหลักชัยเข้ากับเอกลักษณ์จังหวัดนิยมของสุพรรณบุรีอย่างสอดบรรสานเชื่อมโยงคล้องจองกลมกลืนไปด้วยกัน ปลุกทั้งจิตใจรักชาติและรักสุพรรณฯไปพร้อมกันในคราวเดียวดังเห็นได้จากเนื้อเพลง “เลือดสุพรรณ” ที่แต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการว่า:
“มาด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย
เลือดสุพรรณนี้เข้าประจัญ อย่าได้พรั่นเลย...
เลือดสุพรรณเหยหาญในการศึก เหี้ยมฮึกกล้าสู้ไม่รู้หนี
ไม่ครั่นคร้ามถามใจต่อไพรี ผู้ใดมีมีดพร้าคว้ามารบ
อยู่ไม่สุขเขามารุกแดนตระหน่ำ ให้ชอกช้ำแสนอนาถชาติไทยเอ๋ย
เขาเฆี่ยนฆ่าเพราะว่าเห็นเป็นเชลย จะนิ่งเฉยอยู่ทําไมพวกไทยเรา
อันเมืองไทยเป็นของไทยใช่ของอื่น มาต่อสู้กู้คืนเถอะเราเอ๋ย
ถึงตัวตายอย่าเสียดายชีวิตเลย มาเถอะเหวยพวกเรามากล้าประจัญ”
นอกจากจัดแสดงที่โรงละครแห่งชาติแล้ว สองวันถัดมา สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 และ 9 ยังได้ถ่ายทอดเทปบันทึกภาพการแสดงละครออกอากาศไปทั่วประเทศ โดยเปิดรายการด้วยการบรรเลงเพลง “เลือดสุพรรณ” โดยวงดุริยางค์ทหารภายใต้การอํานวยการของพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ ผู้บัญชาการทหารเรือขณะนั้นซึ่งเป็นคนสุพรรณฯด้วยเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ตัวแสดงทั้งหมดก็ล้วนเป็นชาวสุพรรณฯทั้งสิ้น ตั้งแต่พระเอกคือคุณยอดชาย สุจิตต์ นักธุรกิจเชื้อสายจีนชาวสุพรรณฯซึ่งเกี่ยวดองกับคุณบรรหารผ่านทางการแต่งงาน, ไวพจน์ เพชรสุพรรณ, ขวัญจิต ศรีประจันต์, พ.อ.พิเศษนายแพทย์ถวัลย์ อภิรักษ์โยธิน, รวมทั้งคุณบรรหารก็ร่วมแสดงละครด้วยตัวเอง ว่ากันว่าในช่วงละครเรื่องนี้ออกอากาศทางทีวีนั้น ตลาดเมืองสุพรรณฯซึ่งปกติคึกคักกลับเงียบสงัดไปถนัดใจ เพราะชาวบ้านร้านตลาดพากันอยู่บ้านเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ดูละครกันทั้งเมืองทีเดียว
คุณบรรหารได้ใช้โอกาสการรื้อฟื้นจัดแสดงละคร “เลือดสุพรรณ” ใหม่และถ่ายทอดออกอากาศทางทีวีนี้หาเงินสมทบทุนสนับสนุนภารกิจของกองทัพในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ทั่วประเทศโดยรวบรวมทั้งค่าบัตรผ่านประตูเข้าชมละครและเงินที่มีผู้บริจาคผ่านการระดมเรี่ยไรระหว่างฉายละครทางทีวีต่อมาได้เบ็ดเสร็จถึงกว่า 1 ล้านบาท แล้วนําขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระองค์ก็ได้พระราชทานให้ทางกองทัพนําไปดําเนินการต่อไป
กิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ส่งผลให้คุณบรรหาร ศิลปอาชาเป็นประหนึ่งตัวแทนและผู้นําของจังหวัดสุพรรณบุรีในเครือข่ายผู้จงรักภักดีทั่วประเทศที่ตามรอยเบื้องพระยุคลบาทในการปกปักรักษาความมั่นคงของชาติจากภัยคุกคามต่าง ๆ อย่างแข็งขัน สืบมาจนท่านกลายเป็นชาวสุพรรณฯคนแรกที่ได้ขึ้นรับตําแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารโดยได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศในช่วงปี พ.ศ.2538-2539 ในที่สุด
ทุกวันนี้คุณบรรหารก็ยังคงเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่ได้รับการนับหน้าถือตาในสุพรรณบุรีในพรรคชาติไทยพัฒนาและในบ้านเมือง อันต่างจากชะตากรรมของอดีตนายกรัฐมนตรีบางท่านชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ
*****
