สุขุม เฉลยทรัพย์ "สวนดุสิตโพลล์ถูกผลักให้เลือกข้าง"
“การที่โพลล์ถูก ผลักเข้าไปอยู่ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งผมว่าเป็นกำไรของโพลล์ เพราะโพลล์จะต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ถ้าโพลล์ตั้งมั่นใจสิ่งที่ดีหรือทำถูกแล้ว ก็ไม่ต้องกังวล แต่เราก็ไม่ควรที่จะมองผ่านไปเฉยๆ โดยทระนงหลงตัวเอง เมื่อโพลล์สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นได้ เมื่อวันหนึ่งโพลล์กลับถูกวิจารณ์บ้าง ก็ต้องยอมรับ ดูว่าเราบกพร่องตรงไหน อย่างไร”
(รศ.สุขุม เฉลยทรัพย์ ภาพจากเว็บไซต์หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์)
อิทธิพลทางความคิดในยุคปัจจุบันมีหลากหลายช่องทาง สำหรับการทำวิจัยเชิงสำรวจหรือที่เรียกกันว่า “ผลโพลล์” ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่นำสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนกลุ่มหนึ่ง
ปัจจุบันนี้มีสำนักโพลล์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ออกมามากมาย และ “สวนดุสิตโพลล์” เป็นหน่วยงานหนึ่งในมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2535 โดยทำหน้าที่สำรวจประชามติ วิเคราะห์ และประเมินผลสถานการณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชนทุกด้าน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง กีฬา ฯลฯ
ในช่วงหลังสวนดุสิตโพลล์ ถูกตั้งคำถามว่า เป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาลหรือไม่! เพราะผลโพลล์ทางการเมืองที่ออกมาจะเป็นผลดีให้กับรัฐบาลส่วนใหญ่
“สำนักข่าวอิศรา” เคยรายงานผลการตรวจสอบรายได้ในการทำโพลล์ของสวนดุสิตโพลล์ พบว่า นับจากปี 2547-2555 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตได้รับว่าจ้างเป็นที่ปรึกษาวิจัยเชิงสำรวจและรับจ้างทำโพลล์ ให้แก่หน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 21แห่ง 42 ครั้ง วงเงินรวม 141,833,820 บาท ในจำนวนนี้ เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ถึง 12 ครั้ง
จึงถึงคราวที่ รศ.สุขุม เฉลยทรัพย์ ประธานสวนดุสิตโพลล์ เปิดใจเคลียร์ข้อกังขาต่างๆ ให้รู้ถึงจุดยืนการทำงานที่ผ่านมาและคำถามต่างๆ ที่เกิดขึ้น
*****
มีความรู้สึกอย่างไรกับคำนิยามที่ว่า “เจ้าพ่อโพลล์”
สมญานาม คำว่า “เจ้าพ่อโพลล์” ค่อนข้างได้มานานโดยเฉพาะระยะแรกๆ ที่ทำ แต่คำว่าเจ้าพ่อ นั่นไม่หมายถึงลักษณะของการไปทำเกะกะระราน คนอื่น แต่ถ้าเป็น ”เจ้าพ่อ” ที่หมายถึงผู้ริเริ่มทำโพลล์จนกระทั่งโด่งดังกวางขวาง และมีอิทธิพลอย่างมาก และมีการขยายแวดวง ข้อมูลต่างๆ ออกไปตรงนี้พอรับได้ แต่ถ้าอิทธิพลที่จะไปครอบคลุมหรือครอบงำนั้นคงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉะนั้นคำว่า “เจ้าพ่อโพลล์” อาจจะหมายถึงว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ ทำเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ตรงนี้ก็สามารรับได้
จุดยืนในการทำงานในด้านของ ”โพลล์” อย่างไร
เราต้องยอมรับอยู่อย่างว่า การทำโพลล์คือการแสวงหาข้อมูลในยุคของข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญ โดยเฉพาะการที่จะทำให้ประชาชนมีส่วนร่วมในเรื่องราวต่างๆ ก็จะสามารถที่จะสะท้อนความรู้สึก ความคิดเห็นผ่านโพลล์ได้ ซึ่งถือว่าเป็นการระดมความคิดเห็น เพราะฉะนั้นเรื่องของการทำโพลล์จุดหลักของสวนดุสิตโพลล์ นั่นคือการทำตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง และคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำโพลล์ในเชิงสร้างสรรค์ เราพยายามที่จะหลีกเลี่ยงโพลล์ที่ไม่สร้างสรรค์ โพลล์ที่กวนน้ำให้ขุ่น หรือโพลล์ที่สถานการณ์ต่างๆ ดีอยู่แล้ว แต่เมื่อโพลล์ออกมาแล้วสร้างให้เกิดความแตกแยก สร้างความไม่เข้าใจกันให้คนในสังคม ตรงนี้เราจะหลีกเลี่ยง รวมทั้งโพลล์ที่จะไปเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โพลล์ที่ไม่เป็นกลาง หรือโพลล์ที่ทำเพราะความมัน ซึ่งล้วนแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ สวนดุสิตโพลล์ก็จะไม่ทำ
ในประเทศไทยที่อยู่ในยุคที่มีการแบ่งฝ่ายชัดเจน คนถูกผลักเข้าไปอยู่ในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งถ้ามองในเชิงบวก ความคิดที่หลากหลาย มีความคิดที่แตกต่าง ก็ถือว่าเป็นสีสันทางประชาธิปไตย แต่ความคิดเห็นที่แตกต่างในบางครั้งก็สามารถที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกความสามัคคี ซึ่งเมื่อโพลล์สะท้อนความเห็นต่างๆ ออกมา สามารถบอกได้ทั้งผลบวกและผลลบ การที่จะพยายามช่วยประคับประครองให้สถานการณ์เกิดความสามัคคี ผมคิดว่าเหตุผลนี้ก็จะกลายเป็นบทบาทหน้าที่ของโพลล์ในสมัยนี้
เทคนิคในการตั้งคำถามในสถานการณ์ที่มีการเลือกข้าง
เมื่อคนเลือกข้างเราจะถามอย่างไร ที่ใช่แค่เป็นกลางอย่างเดียว ที่จะช่วยทำให้สถานการณ์ต่างที่ดีขึ้น แต่การชี้แนะไปในทางที่ดี ในทางที่ก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในสังคม และก่อให้เกิดความเป็นสุข โพลล์สามารถมาทำหน้าที่ในส่วนนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น คำว่า “ชี้นำ” ถ้าชี้นำไปในทางที่ดี โดยเฉพาะในภาวะวิกฤตของบ้านเมืองตรงนี้จำเป็นหรือไม่ ตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่บรรดาสำนักโพลล์ต่างๆ ผู้ที่อ่านโพลล์ หรือผู้ที่ใช้โพลล์ก็ต้องคำนึงถึงตรงนี้ แต่ถ้าเป็นลักษณะของการชี้นำที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตรงนี้ต่างหากที่เราจะต้องหลีกเลี่ยง เพราะฉะนั้นโพลล์นอกจากจะทำหน้าที่ตรวจสอบกระแสแล้ว บางครั้งโพลล์ยังมีลักษณะในส่วนของการสร้างความเข้าใจ เป็นการประเมินผลงานต่างๆที่หน่วยงานนั้นๆ ทำมา ว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจประชาชนมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
เมื่อก่อนที่เราพูดถึงการบ้านการเมือง ก็จะถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของนักการเมือง ประชาชนอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะการเมืองเป็นเรื่องที่ร้อน เป็นเรื่องของอำนาจ บางครั้งจะเห็นได้เลยว่าเมื่อทำโพลล์ครั้งแรกๆ ถ้าถามเรื่องการเมือง ประชาชนไม่อยากจะตอบ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อตอบไปแล้ว แล้วเราไม่รู้ว่าคนถามอยู่ฝ่ายไหน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น อาจจะเดือดร้อนถึงตัว ก็จะถูกปฏิเสธว่า “ฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวการเมืองเรื่องร้อน” ซึ่งตรงข้ามกับระยะหลังๆ ที่คนอยากจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองโดยเฉพาะ ปัจจุบันที่เลือกข้าง แบ่งสี กันชัดเจน เมื่อตอบก็มักจะตอบว่าฝ่ายนั้นดี ฝ่ายนี้ดีทั้งๆ ที่ไม่ได้พิจารณา แต่ตอบเพราะความรู้สึกของตนเองที่ได้ตัดสินใจไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นตรงนี้จะเป็นการสร้างความลำบากให้การทำโพลล์ปัจจุบันมากพอสมควร เพราะฉะนั้นคำถามที่ที่เป็นกลาง ไม่ชี้นำ คำถามที่ถามแล้ว มีผลออกมาว่าฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ดีอย่างไรไม่ดีอย่างไร จึงต้องเป็นคำถามที่คู่กันไปตลอด
การทำโพลล์ขณะนี้ ถือว่ามีบทบาทมากน้อยอย่างไรในสังคม
ปัจจุบัน คนเราอยู่กันด้วยเหตุและผล อยู่กันด้วยข้อมูลการตัดสินใจอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะถูกจะผิด เราจะต้องดูอารมณ์ที่ถูกสะท้อนออกมา เราจะเห็นได้ว่าบางครั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย แต่อารมณ์ความรู้สึกร่วม หรือที่เราเรียกว่าการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ตรงนี้เด่นชัดมากขึ้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามในภาวะปัจจุบัน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้อง นั่นคือประชาชน แม้กระทั่งการเมือง ที่มักอ้างว่า ทำเพื่อประชาชน จนกลายเป็นการเมืองภาคประชาชนทีมีบทบาทเด่นชัดมากขึ้น
แต่ปัจจุบันความคิดเห็นต่างๆ ของประชาชนสามารถมีทางออกได้หลายรูปแบบ และโพลล์เองก็เป็นอยู่ส่วนหนึ่งเช่นกัน เช่นในเรื่องความขัดแย้งต่างๆ ถ้าไม่มีโพลล์ อาจจะเกิดม็อบขึ้นได้ เพราะถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ได้สะท้อนความเห็นผ่านโพลล์ ออกมาก็จะสามารถนำข้อมูลมาสร้างสัญญาณให้นักการเมืองได้รู้ไว้ก่อนได้ เพราะการทำโพลล์ เราไม่ได้ถามความจริงหรือข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว แต่เราถามลึกไปถึงอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็นที่ถูกจำแนกออกมาอย่างแตกต่างกัน
การทำโพลล์ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางสังคมเช่นนี้ เรามีจุดยืนในการทำโพลล์อย่างไร ให้ผลออกมาเป็นกลางที่สุด
จุดยืนที่สามารถจะอยู่รอดได้คือความเป็นกลาง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย เขาว่าอย่างไรมาก็ว่าอย่างนั้น แต่ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราต้องตั้งคำถามที่เป็นประเด็นที่สมควรที่จะทำโพลล์หรือไม่ ถ้าทำมาแล้วจะช่วยให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นหรือไม่ ถ้าทำแล้วเลวลง ถ่างช่องว่างให้เกิดขึ้น อย่าไปทำ
นอกจากนี้การสะท้อนความคิดเห็นออกมาคือต้องเป็นกลางได้มีส่วนร่วมทั้ง 2 ฝ่าย ให้ความเสมอภาคเท่ากัน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถดึงข้อมูลต่างๆ ไปใช้ได้ แต่การดึงไปใช้ก็อย่าได้นำไปใช้โดยทำวิธีเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น คุณต้องอ่านให้จบ ดูให้ครบว่าผลสำรวจสำรวจมาอย่างไร จากไหน แบบไหนอย่างไร เราสามารถไปช่วยอะไรได้บ้าง ซึ่งถ้าผลออกมาเป็นแบบนี้โพลล์ก็จะอยู่ได้ แต่การอยู่ได้นั้นโดยไม่มีความเสี่ยงเลยก็ไม่ใช่
ถ้าโพลล์ทำเป็นงานรูทีน หรืองานประจำทั่วไป เกิดอะไรขึ้นถามเพียงแค่ว่าดีหรือไม่ดี คงไม่ใช่วิสัยของการทำโพลล์ แต่คุณต้องกล้าต่อลึกลงไปอีกในเรื่องของเหตุผล ซึ่งหลายโพลล์ไม่นิยมทำ เพราะอ้างว่าประมวลผลยาก เป็นคำถามปลายเปิด ซึ่งจะใช้มาเป็นข้ออ้างไม่ได้ เพราะสมัยนี้เป็นยุคเทคโนโลยีที่มีโปรแกรมช่วยเราทำงานได้มากขึ้น ดังนั้นสำนักโพลล์จะต้องแสวงหาวิธีการประมวลให้ได้ดีทีสุด มีคุณค่า อย่าละเลย เพราะเมืองไทยสมัยนี้มักจะมองแต่วิ่งที่เป็นส่วนใหญ่ และละเลยส่วนเล็กๆ และส่วนเล็กๆเหล่านี้จะสร้างปัญหาได้ เช่นการก่อม็อบต่างๆ ดังนั้นถ้าโพลล์มีจุดยืนในกรทำงาน เราสามารถช่วยสังคมได้ โดยไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆตามมา
เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองถูกแบ่งฝ่ายคิดว่าโพลล์ สำนักต่างๆถูกแบ่งแยกตามกระแสหรือไม่
เรื่องแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติของสังคมที่มีความแตกแยก ไม่ว่าจะเป็นในสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาก็เคยตกอยู่ในลักษณะอย่างนี้มาก่อนว่าลำเอียงเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นลักษณะการพัฒนาทางสังคม หากผลโพลล์ที่ต้องตัดสินใจฝ่าย ก. หรือฝ่าย ข. เมื่อผลออกมาก็ต้องมีทั้งคนดีใจและเสียใจ โดยจะไปชดเชยความเสียใจด้วยการแสดงความไม่พอใจออกมา แต่ผมก็คิดว่าเป็นพฤติกรรมขั้นพื้นฐานของมนุษย์
การที่โพลล์ถูกผลักเข้าไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผมว่าเป็นกำไรของโพลล์ เพราะโพลล์จะต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ถ้าโพลล์ตั้งมั่นใจสิ่งที่ดีหรือทำถูกแล้ว ก็ไม่ต้องกังวล แต่เราก็ไม่ควรที่จะมองผ่านไปเฉยๆ โดยทระนงหลงตัวเอง เมื่อโพลล์สามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นได้ เมื่อวันหนึ่งโพลล์กลับถูกวิจารณ์บ้าง ก็ต้องยอมรับ ดูว่าเราบกพร่องตรงไหน อย่างไร ถ้าคิดว่าถูกแล้ว เป็นเพราะเราสื่อสารออกมาน้อยเกินไปหรือไม่ ความลำเอียงอยู่ตรงไหนทำไมจึงถูกมองอย่างนั้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งท้าทายว่าโพลล์ของสำนักนั้นๆ สามารถจะรับร้อนรับหนาวได้มากน้อยแค่ไหน
เรายอมรับว่าสวนดุสิตโพลล์เราทำมาเมื่อปี 2535 2536 2537 มันต่างกับการทำโพลล์ปี 2555 2556 สิ่งที่มีผลกระทบสิ่งที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของทุกฝ่ายได้ ตรงนี้ต่างหาทำให้เกิดช่องว่าง ถ้าเราสามารถพัฒนาได้ แล้วมองต่อยอดไปในอนาคต ผมว่าโพลล์ต่างๆ ที่จะถูกผลักเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็จะกลายเป็นเรื่องดีซะอีก วันนี้เมื่อโพลล์สำนักหนึ่งถูกมองว่าเข้าข้างรัฐบาล อีกสำนักเข้าข้างฝ่ายค้าน นั่นแสดงว่าขณะที่เราทำอะไรอยู่เรากำลังถูกจับจ้องมองทั้ง 2 ฝ่าย เราต้องอย่าเหิมเกริมในสิ่งที่ทำ บางครั้งความไม่เข้าใจ หรือโพลล์ไม่อธิบายอะไรให้มากกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งอาจจะอยู่ที่ข้อจำกัดในเรื่องของพื้นที่การนำเสนอหลายๆ อย่าง เราก็ต้องหาวิธีการพัฒนาจุดบกพร่องต่อไป
สวนดุสิตโพลล์ ถูกมองว่าทำงาน และเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล
ถ้าตอบกันตรงๆ ต้องบอกว่าขณะนี้ตัวผมเองยังเป็นข้าราชการอยู่ถึง แม้ว่าอายุจะ 63 ปีแล้ว แต่อายุราชการและได้รับเงินราชการจากสำนักงบประมาณ เพราะฉะนั้นก็ถือว่าอยู่ในฐานะข้าราชการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า หน่วยงานราชการสั่งการมาแล้วจะต้องทำตามทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ต้องทำตามหน้าที่ และคำสั่งต้องชอบด้วยกฎหมาย เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ต้องทำอย่างหนึ่ง แต่โชคดีตรงที่ว่าผมทำงานในอุดมศึกษาที่มีอิสระทางวิชาการ เพราะฉะนั้นการจะแสดงความคิดเห็น ให้ยึดหลักทางวิชาการ ก็ทำให้สามารถรอดตัวได้ และการที่ผมได้มาเป็นประธานการดำเนินงานสวนดุสิตโพลล์ตรงนี้สำคัญมากๆ เพราะโพลล์นี้ผ่านร่อนผ่านหนาวมาตลอด ผมทำงานร่วมกับรัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา ได้รับแต่งตั้งให้ทำงานร่วมกับรัฐบาลมาทุกพรรคทุกสมัย การที่ราชการให้ทำอะไร เราก็ทำ ถ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การที่จะอยู่เป็นกลางและบอกอธิบายเป็นสิ่งท่าสำคัญที่สุด
แต่บางครั้งถ้าเราไปอธิบายไปแล้วส่งผลกระทบในวงกว้าง เพราะคนเราทำอะไรต่างๆ ก็ต้องบอกว่าตัวเองถูกเสมอ ซึ่งต่อมาเวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ในผลงานต่างๆ ออกมาเอง แต่นิสัยคนไทยใจร้อน เรื่องเกิดขึ้นก็อยากจะพิสูจน์ให้รู้เรื่องเลย เพราะฉะนั้นในสิ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ผมขอย้ำคำเดิมว่าโพลล์ไปตรวจสอบคนอื่น วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นมาพอสมควร ถ้าโพลล์จะถูกตรวจสอบหรือถูกวิจารณ์บ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ต้องเอาคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ มาไตร่ตรองตรอง เรียกประชุมคณะทำงาน ซึ่งจะทำให้โพลล์เราถูกพัฒนามากขึ้น การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของสวนดุสิตโพลล์ทำมาเกือบ 20 ปี เราทำมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะกระทบกระทั่งกับ คุณทักษิณ ชินวัตร คุณบรรหาร ศิลปะอาชา คุณชัย ชิดชอบ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาตลอด เราไม่จำเป็นต้องเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของอาจารย์ในระดับอุดมศึกษา
มีเส้นแบ่งในการทำงานอย่างไรระหว่างความเป็นข้าราชการและการทำงานเพื่อสาธารณชน
เส้นแบ่งที่สำคัญที่สุด คือเส้นแบ่งที่ยึดความถูกต้องเป็นตัวหลัก บางครั้งการทำงานก็ลืมตัวไปเหมือนกันว่าเป็นข้าราชการ ถ้าฝ่ายการเมืองสั่งอะไรต่างๆ มา เราก็เห็นว่ามันไม่ใช่ มันไม่ถูก เราก็แย้งไปบ้าง ไม่รับบ้าง ไม่ใช่ว่าจะรับหมด ขณะเดียวกันตรงนี้จะส่งผลให้เราเกิดความรอบคอบมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่แทงกั๊กนะ เพราะเราทำอะไรในภาวะที่เสี่ยง การเป็นข้าราชการและถ้าเป็นข้าราชการที่ดี หลักของธรรมาภิบาล หลักของความโปร่งใส หลักเรากินเงินเดือนของราษฎร ถือว่าเป็นจุดที่คอยเตือนเราในการทำงานว่าอย่างงทำตรงนั้น ตรงนี้อย่าแรงเกินไปมันทำไม่ได้
ผมยึดหลักในการทำงานปัจจุบันว่าต้องโปร่งใส ต้องตรวจสอบ หลายครั้งที่ผมถูกผลกระทบ ถูกกระแสตีกลับก็มีหลายคนถามว่าทำไม่ไม่รีบออกมาพูด ออกมาชี้แจง ส่วนตัวผมคิดว่าการที่รีบออกมาพูดนั้นรู้สึกว่ามันจะยังไม่ตกผลึก ยังไม่ได้กลั่นกรองทั้งตัวผมเองและข้อมูลจากสังคม ถ้าสังคมไทยตั้งสติ หันหน้าเข้าหากันคุยกันด้วยเหตุด้วยผล อย่าใช้อารมณ์ที่ร้อนใส่กัน สังคมจะไปด้วยดี
ประเด็นที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ถูกตั้งข้อสังเกตว่า นับจากปี 2547-2555 ได้รับว่าจ้างเป็นที่ปรึกษาวิจัยเชิงสำรวจและรับจ้างทำโพลล์ ให้แก่หน่วยงานภาครัฐ รวมแล้วมีรายได้เข้าถึง 141,833,820 บาท ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ทั้งหมดถ้าลองไปตรวจสอบจริงๆ จะพบว่าไม่ใช่อย่างที่เป็นข่าวเลย คืองบรับจ้าง รับทำข้อสอบบรรจุให้กับครูสพฐ. 17 ล้านบาท ตรงนี้สวนดุสิตโพลล์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กลับมีในฐานข้อมูลที่ถูกนำไปเผยแพร่ หรืออย่างเช่นการพัฒนาครู สพฐ. 20-30 ล้านบาท การอบรมต่างๆ เราก็ไม่ได้ทำ เป็นโครงการที่มหาวิทยาลัยทำบริการวิชาการแก่สังคม หรือการที่กระทรวง ทบวง กรม มอบหมายมาให้ ก็จะไปลงในส่วนของเอกสารต่างๆ ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องโปร่งใส ถ้าไล่ดูข้อมูลกันจริงๆ สวนดุสิตโพลล์มีถึง 10 ล้านบาทก็เก่งแล้ว ไม่เพียงกี่โครงการเท่านั้น หลายคนมาบอกผมว่าต้องชี้แจงเพราะทำให้เกิดความเสียหาย แต่ส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่ ว่าพูดออกไปแล้วเขาจะไม่ตรวจสอบ ไม่พูดแล้วไม่ตรวจสอบ สุดท้ายแล้วนิ่งๆ ให้เขาตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นผลพิสูจน์ดีกว่า
คิดว่าขณะนี้ความน่าเชื่อถือของโพลล์สวนดุสิตมีมากน้อยแค่ไหน
เมื่อคนอ่านข่าว รับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในช่วงแรก อาจทำไห้คนฉุกคิด ตั้งข้อสังเกตขึ้นมาบ้างว่า เป็นไปได้อย่างไร สวนดุสิตโพลล์จะทำอย่างนั้นจริงๆ หรือ เพราะฉะนั้นขณะที่เกิดเรื่อง สวนดุสิตโพลล์ไมได้หยุดการทำงาน เราก็ทำหน้าที่ ทำงานตามปกติ อะไรที่ต้องชี้แจงก็ชี้แจงแต่ต้องรอให้ข้อมูลต่างๆตกผลึกเสียก่อน เพราะบางโครงการไม่ใช่ข้อเท็จจริง
ข้อกังขาที่ว่า สวนดุสิตโพลล์ทำโพลล์เอนเอียงไปในทางรัฐบาล ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
ตรงนี้เราไม่ต้องแก้ต่าง แต่ให้ดูโพลล์ที่ออกเป็นประจำทุกเดือน ให้วัดดัชนีการเมืองไทย เช่นเดือนที่แล้วผลโพลล์ที่รัฐบาลดีก็มีเพียง แค่ 2-3 อย่าง แต่สิ่งผลโพลล์ออกมาระบุว่ารัฐบาลสอบตกก็มี แต่เพียงแค่เราไม่ได้นำมาพูด ดังนั้นเราจะต้องมองกันยาวๆ สักหน่อย ถ้าเรารีบออกมาปฏิเสธ ถ้าคนในสังคมเชื่อก็ดีไป แต่ถ้าไม่เชื่อก็จะกลายเป็นข้อแก้ตัว แต่ถ้าเรารอให้ผลงานต่างๆ ออกมา แล้วผลคือรัฐบาลดีหมดเลย สวนทางกับโพลล์อื่นที่บอกว่ารัฐบาลไม่ดี อย่างนี้จึงมาบอกว่ามันผิดแล้วนะ หรืออย่างเช่น โพลล์ผู้ว่าราชการ กทม. ซึ่งผลโพลล์ของเราก็สอคล้องกับโพลล์อื่น แต่ทำไมจึงมาบอกว่าสวนดุสิตโพลล์เข้าข้างรัฐบาล ทุกสิ่งก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
ที่ผ่านมาเคยมีนักการเมืองมาจ้างให้สวนดุสิตโพลล์ ทำผลสำรวจให้หรือไม่
ไม่มีครับ เพราะสวนดุสิตโพลล์เป็นในส่วนของโพลล์สาธารณะ ไม่ต้องมาเสียเงิน เราทำให้อยู่แล้ว
ถ้าไม่ได้จ้างแล้วมีมาร้องขอเสนอประเด็นให้ทำหรือไม่
ถ้าเป็นประเด็นกว้างๆ เช่น ผลงานรัฐบาล รับจำนำข้าว ก็มีมาเสนอทั้งสื่อมวลชน ทั้งนักการเมืองทั้ง 2 ฝ่ายว่าโพลล์ควรจะทำ ดุว่าความคิดเห็นเป็นอย่างไร ซึ่งเราเองก็ทำอยู่แล้วเพราะเป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นการจ้างในสมัยนี้มันยาก เพราะการตรวจสอบง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ สื่อมวลชนก็เยอะ ถ้ามีการมาจ้างทำ และเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ถือเป็นเรื่องทียากและเป็นไปไม่ได้